มู่หรั่นชิววัย 13 ปี เป็นลมจากความหิวโหยและถูกแสงแดดร้อนแรงแผดเผา นางไม่ได้เสียชีวิตในทันทีหลังจากที่ล้มลงไป เด็กสาวมีบาดแผลที่มีเลือดไหลออกมาจำนวนมากบริเวณขมับด้านซ้าย นางลืมตาขึ้นมามองเห็นใบหญ้าและพื้นดินแห้งแล้งแต่ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะลุกขึ้นมาได้ ก่อนที่จะค่อยๆ หมดลมหายใจไปในที่สุด
เมื่อปรับความเข้าใจและสงบสติอารมณ์ลงได้ มู่หรั่นชิวก็พยายามลุกออกจากหลุมตื้นๆ ที่คาดเดาว่าจะเป็นน้องชายและน้องสาวของนางในชีวิตใหม่เป็นผู้ขุดเตรียมจะฝังร่างของนางขึ้นมา เพราะแถวนี้ไม่มีบ้านเรือนผู้อื่นอยู่ใกล้ๆ มีเพียงนางและน้องสองคนอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ บริเวณชายป่าเท่านั้น มองไปรอบตัวก็เห็นเด็กน้องสองคนที่นอนกอดกันกลมอยู่ข้างๆ ตน
“หยวนเอ๋อร์ ฉีเอ๋อร์” เด็กสาวเขย่าตัวเด็กสองคนเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาเบาๆ อย่างอ่อนแรง
“พี่รองอยากได้อะไรหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กๆ ของมู่หย่วนถามพี่สาวขึ้นมา นางเพิ่งตื่นและยังคงสับสนจนลืมไปว่า พี่สาวคนรองได้เสียชีวิตไปแล้ว คิดว่าพี่สาวเรียกเพื่อให้ช่วยหยิบน้ำหรือต้องการอะไร
มู่หรงฉีได้ยินเสียงของมู่หยวนและเด็กหญิงก็สลัดตัวออกจากอ้อมกอดของตนเพื่อลุกขึ้นจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกคน พอเห็นว่าเป็นมู่หรั่นชิวที่ลุกขึ้นนั่งแล้วยังกำลังพยายามลุกขึ้นยืนอยู่อีก มู่หรงฉีก็ตัวแข็งค้างไป รีบดึงน้องสาวมาหาตนแล้วขยับร่างถอยหลังออกมา
“หรงฉี พี่ยังไม่ตายไม่ต้องกลัว” มู่หรั่นชิวรีบบอกน้องชายเมื่อเห็นอาการตื่นตกใจของเขา ในใจก็นึกว่ายังดีที่เด็กคนนี้ใจแข็งนักไม่ตกใจจนตายไปเสียก่อน
มู่หยวนได้ยินพี่สาวบอกว่าตนเองยังไม่ตายก็เพิ่งจะนึกได้ ว่าตนและพี่ชายกำลังช่วยกันฝังศพพี่สาวอยู่ แต่พี่สาวลุกขึ้นยืนได้แล้วนี่ นางยังไม่ตายจริงๆ เด็กหญิงก็สะบัดมือของมู่หรงฉีออกแล้ววิ่งไปพยุงร่างพี่สาวตามความเคยชิน
“พี่รองพี่ฟื้นแล้ว หยวนเอ๋อร์ดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ต่อไปนี้หย่วนเอ๋อร์จะเชื่อฟังพี่รองทุกคำ จะแบ่งอาหารให้พี่รองกินก่อน พี่รองอย่าตายไปอีกเลยนะเจ้าคะ” เด็กหญิงซุกหน้าเข้าไปหาอ้อมอกพี่สาวด้วยความดีใจ
“หยวนเอ๋อร์เป็นเด็กดี หรงฉีมาเร็ว รีบกลับบ้านก่อนแล้วคุยกัน นี่มันดึกมากแล้ว” มู่หรั่นชิวรู้ดีว่าน้องชายยังคงตกใจอยู่ นางจงใจจูงมือมู่หยวนก้าวเดินไปยังทิศทางของตัวบ้านตามความทรงจำที่ได้รับมา เพื่อให้มู่หรงฉีเดินตามมู่หยวนมาด้วยอีกคน นางอ่อนกำลังและไม่รู้ว่าจะเป็นลมล้มลงไปอีกหรือไม่ การกลับไปตั้งหลักที่บ้านปลอดภัยกว่าอยู่กันสามคนในพื้นที่โล่งนอกบ้านเช่นนี้
มู่หรงฉี เห็นมู่หยวนถูกพี่รองจูงมือไปก็ร้อนใจ นึกขึ้นได้ว่ายามเขาไปขออาหารที่วัดเคยได้ยินชาวบ้านที่ไปหานักบวชในวัดกล่าวว่า หากมีปีศาจสิงสู่อยู่ในร่างมนุษย์ให้สังเกตดูที่เงาของคนผู้นั้น เพราะเงาจะแสดงตัวตนที่แท้จริงของปีศาจออกมา
เด็กชายมองพี่สาวด้วยสายตาสั่นไหว ภาวนาในใจขอให้พี่สาวฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาจริงๆ เขากลัวเหลือเกินว่าหากมองเงาของนางแล้วเห็นเป็นผู้อื่น เขาและน้องสาวจะอันตราย
มู่หรงฉีกลั้นใจมองเงาที่ทอดยาวลงมาเบื้องหลังร่างสองร่างที่เดินจูงมือกันนำหน้าเขาอยู่ พอเห็นว่าเงาทั้งสองเป็นพี่สาวและน้องสาวไม่ผิดเพี้ยน เด็กชายถึงกับร้องไห้โฮออกมาอย่างโล่งใจ วิ่งไปคว้ามืออีกข้างของพี่สาวเอาไว้
“พี่รอง เดินดีๆ เดี๋ยวจะล้มเอาได้” เด็กชายสะอึกสะอื้นกล่าวเอาใจพี่สาว
ก่อนหน้านี้ที่ช่วยกันลากร่างของมู่หรั่นชิวลงหลุม เนื้อตัวของพี่สาวเย็นเยียบ แต่เวลานี้มือของพี่สาวที่เขาเกาะกุมอยู่กลับมีไออุ่น ทำให้มู่หรงฉียิ่งมั่นใจว่าพี่สาวฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาแล้วจริงๆ เขาก้มหน้าแอบร้องไห้เบาๆ อยู่คนเดียวไปตลอดทาง ต่อจากนี้ต้องทำงานหนักเพียงใดเพื่อดูแลพี่สาวรอง เขาจะไม่โมโหจะไม่ขี้เกียจอีกต่อไปแล้ว ขอให้พี่รองยังมีชีวิตอยู่ก็พอ
สามพี่น้องเดินมาถึงกระท่อมชายป่ากันเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำเดียว มีเพียงมู่หยวนที่ดึงมือพี่สาวไปกอดไปหอม ลูบหน้าลูบตาตนเองอย่างรักใคร่และดีใจเพียงเท่านั้น
มู่หรั่นชิวเดินคิดมาตลอดทาง นางหิวและคาดว่าเด็กสองคนคงจะยังไม่ได้กินอะไรเช่นกัน จึงเอ่ยปากถามมู่หรงฉี
“น้องสาม ในบ้านเหลือสิ่งใดที่พอจะกินได้อยู่หรือไม่?”
“มีข้าวเหลือติดกระสอบหยิบมือหนึ่งขอรับ พอจะต้มน้ำข้าวให้อิ่มท้องได้หน่อย เดี๋ยวข้ารีบไปก่อไฟก่อน พี่รองรอเดี๋ยวนะ” เด็กชายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันที วิ่งไปหาหินจุดไฟ ตักน้ำในบ่อมาตั้งเตรียมต้มข้าว
มู่หรั่นชิวเดินตามน้องชายไป รื้อค้นหาของกินอย่างอื่นแต่ก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากเกล็ดผงสีเทาๆ ที่ลองชิมดูว่าเป็นเกลือที่มีรสฝาดขมและรสเค็มปะปนอยู่เล็กน้อย
“เวลานี้พวกเราปลูกอะไรไว้บ้าง” มู่หรั่นชิววางขวดเกลือในมือลงแล้วถามน้องชาย นางรู้ดีกว่าครอบครัวตนเพาะปลูกพืชผักไว้กินเองรอบบ้าน แต่นางร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงและไม่เต็มใจจะทำงานบ้านใดๆ สักอย่างจึงไม่รู้
“เหลือแต่ต้นมันที่พี่ใหญ่ปลูกทิ้งไว้ให้ก่อนไปเป็นทหารขอรับ แต่ข้าดูแลพวกมันไม่ดีพวกมันไม่โตแล้วก็ขุดเอามากินจนเกือบจะหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะลองไปค้นดูอีกว่ายังหลงเหลือหัวมันอยู่บ้างหรือไม่”
“ไม่ต้อง เจ้าดูหม้อข้าวอยู่ที่นี่เถิด เดี๋ยวข้าออกไปขุดหัวมันกับหยวนเอ๋อร์เอง” มู่หรั่นชิวเห็นแล้วว่ามือของน้องชายเต็มไปด้วยบาดแผลจากการออกแรงขุดดินฝังศพนาง จึงหันไปคว้าจอบชักชวนมู่หยวนเดินออกนอกกระท่อมไป
“พี่รอง พี่ทำได้หรือ?” มู่หรงฉีตะโกนตามหลังไปอย่างงงงัน เขาไม่เคยเห็นพี่สาวคนรองทำงานใดๆ เลยสักอย่าง นางรู้จักต้นมันด้วยเช่นนั้นหรือ?
“หรงฉีทำตามที่ข้าสั่ง ไม่ต้องถาม” หญิงสาวส่งเสียงตอบกลับไป ไม่สนใจท่าทางตกอกตกใจของเด็กทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
เดินออกมานอกกระท่อม ภายในรั้วไม้ที่บิดามารดาของสี่พี่น้องช่วยกันสร้างรั้วล้อมเอาไว้กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างเพื่อป้องกันสัตว์มากัดกินพืชผลที่พวกเขาปลูกเอาไว้ แต่เวลานี้ไม่มีผักหรือพืชใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงต้นมันไม่กี่ต้นที่แห้งเหี่ยวจนไม่รู้ว่าพวกมันตายไปหรือยังเท่านั้น
หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขุดเอาหัวมันเล็กๆ แห้งเหี่ยวขึ้นมาได้ 3 หัว โดยความช่วยเหลือจากมู่หยวนที่ทำได้เพียงช่วยโกยดินด้วยมือเปล่าทิ้งออกไปห่างๆ
“พอก่อนหยวนเอ๋อร์ เท่านี้ก็พอให้พวกเรากินบรรเทาหิวผ่านคืนนี้ไปได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูกันอีกที” มู่หรั่นชิวพาน้องสาวกลับเข้ามาในกระท่อมที่เป็นเพียงผนังสี่ด้าน ที่นอน ครัว โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งกินอาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกระท่อมหลังเล็กนี้รวมกันหมด
มู่หรงฉีรับเอามันสามหัวไปจัดการด้วยความคล่องแคล่ว ไม่นานข้าวต้มน้ำใสแจ๋วกับมันเผาก็สุกพร้อมให้ทุกคนได้กินกัน
“พี่รองเอาของข้าไปกินเพิ่มอีกนิด จะได้มีแรง ข้าไม่ค่อยหิว” มู่หรงฉีแบ่งมันหัวเล็กออกไปครึ่งหนึ่งส่งให้พี่สาว
“ของหยวนเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ ข้าก็ไม่ค่อยหิว” เด็กหญิงทำตามอย่างพี่ชายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้ว่าตนจะหิวมากแต่ยอมทนเพื่อให้พี่สาวได้กินก่อน
มู่หรั่นชิวส่ายหัวช้าๆ นางไม่เหลือแรงจะตอบโต้ใดๆ กับเด็กทั้งสองคนแล้ว ร่างกายนี้อ่อนแอและหิวโหยอย่างหนัก ทำเพียงแค่ผลักมือที่ยื่นมันชิ้นเล็กๆ มาให้นางกลับไป และกัดกินส่วนของตนเองสลับกับยกน้ำข้าวต้มขึ้นมาดื่มกิน