เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กๆ ตื่นนอนกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเร่งตักน้ำมาเติมใส่โอ่ง เก็บหญ้าเก็บผักป่าให้ไก่และแบ่งมาทำเป็นอาหารเช้า เสี่ยวเหวินที่ตั้งท่าจะแอบไปฆ่าปลาไม่ให้ใครเห็นพอเปิดอ่างมาเห็นว่าปลาตัวใหญ่มันตายแล้วก็ดีใจเป็นที่สุด อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้เป็นคนที่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง
มู่หรั่นชิวยังคงต้มปลาต้มผัก และเอาผักดองที่มีอยู่มาแบ่งให้เด็กทุกคนกินเท่าๆ กันเหมือนเช่นเคย
“วันนี้ให้เด็กผู้ชายขึ้นไปเรียนเขียนอักษรที่อารามขาวกันก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงอยู่ช่วยข้าเอาผ้าห่มที่นอนออกมาตากแดดก่อนที่ฝนจะตกมาอีก” มู่หรั่นชิวสั่งความ นางจำเป็นต้องให้เด็กชายและเด็กหญิงรู้จักแบ่งแยกกันบ้าง อีกหน่อยพวกเขาต้องเติบโตเป็นชายหนุ่มหญิงสาว จะให้มากอดคออุ้มกันไปมาจนเคยชินไม่ได้
เสี่ยวเหวินและมู่หรงฉี เดินนำกลุ่มเด็กชายขึ้นบันไดไปเงียบๆ พอถึงที่อารามขาวไม่นึกว่านักพรตที่อาราม 3 คนก็รอพวกเขาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
“ไปที่อารามเขียว นักบวชทำกระบะทรายไว้ให้พวกเจ้าคนละอันแล้ว จากนั้นก็ไปตักทรายทางนั้นมาคนละ 5 กำมือใส่กระบะ พวกเจ้าต้องหัดเขียนอักษรกันบนทราย” นักพรตชุดขาวอายุราว 30 กว่าปีบอกกับเด็กด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
บนวัดหนานผูวันนี้มีผู้คนเดินทางมาที่วัดราว 10 กว่าคน พอได้เห็นเด็กชายเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ 7 คน ก็แปลกใจพวกเขาไม่เคยเห็นเด็กเหล่านี้มาก่อน และเด็กทั้งหมดก็ไม่ได้เดินทางมาที่วัดพร้อมกับพวกเขาด้วย
“นี่เป็นเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในอารามดับทุกข์ พวกเขาขึ้นมาเรียนอักษรกันน่ะ” นักพรตอารามแดงอธิบายให้กลุ่มคนได้รับรู้
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาล้วนเป็นเด็กที่ถูกปีศาจสิงสู่หรอกหรือ ดูเหมือนพวกเขาจะแข็งแรงสมบูรณ์กันดี เพียงแค่บางคนดูแปลกประหลาดไปอยู่บ้าง” ชาวบ้านเริ่มตั้งข้อสงสัย
“ที่ป่วยก็หายแล้ว เด็กเหล่านั้นก็เป็นคนปกติเหมือนกับพวกเรานั่นล่ะ ดูอย่างเด็กที่เดินนำหน้าผู้นั้นสิ ตอนเล็กๆ ฟันของเขาแหลมคม แต่พอโตขึ้นมาฟันชุดแรกหลุดร่วงไป ฟันชุดใหม่ก็เป็นปกติดี นักพรตทำการขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามสิ่งที่เรียนรู้มา มีปีศาจสิงสู่อยู่หรือไม่นั้นล้วนเป็นจิตใจของแต่ละคนที่จะกำจัดมันเช่นไร”
ชาวบ้านฟังแล้วก็คล้ายได้คำตอบ คล้ายไม่ได้คำตอบ แต่พวกเขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเด็กเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ข่าวร่ำลืออกไปสักนิด บ้างก็ว่าเด็กในอารามดับทุกข์กลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้วบ้าง ตายกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปแล้วบ้าง แต่ที่พวกเขาเห็นตรงหน้าเป็นกลุ่มเด็กตัวผอมที่สุภาพนอบน้อมนอบน้อมเป็นอย่างมาก
ในหมู่บ้านหรือในเมือง ใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นเด็กที่มีปานดำ หรือมีรูปร่างผิดแปลกเสียเมื่อใด เด็กเหล่านี้ก็เหมือนกับเด็กข้างนอกที่มีบิดามารดาเลี้ยงดูอยู่ไม่ผิด แต่ในเมื่อบิดามารดาของเด็กเหล่านี้นำพวกเขามาทิ้งไว้ที่นี่ได้ย่อมมีมูลความจริงอยู่บ้าง คงเป็นด้วยเดชของนักพรตอารามแดงที่กำจัดปีศาจจนสิ้นไปแล้วแน่นอน
“ข้าพาบุตรชายมาวันนี้ก็ด้วยเรื่องเจ็บป่วยเท่านั้น แม้แต่ปีศาจนักพรตยังจัดการได้อยู่หมัด เด็กอารามดับทุกข์รอดชีวิตกลับเป็นมนุษย์ปกติได้ เช่นนี้บุตรชายข้าย่อมหายป่วยในเร็ววันอย่างแน่นอน” ชายสูงวัยในกลุ่มชาวบ้านกล่าวออกมาด้วยความเลื่อมใสสุดแรง
ชาวบ้านคนอื่น ๆ พอได้ยินก็คิดตามว่าเห็นควรจะเป็นเช่นนั้นจริง สายตาที่มองไปยังเด็กชายทั้ง 7 ยิ่งอ่อนโยนลงไปเรื่อย ๆ
เสี่ยวเหวินผู้เคยมีฟันแหลมคม เสี่ยวเจ๋อตาดำเล็ก เสี่ยวอ่างพูดติดอ่าง เสี่ยวฉ่ายที่ไม่มีดั้งจมูกแต่มีปลายจมูกใหญ่เชิดรั้นเหมือนหมู เสี่ยวซีมีปานขนาดใหญ่บนใบหน้า เสี่ยวคงแขนซ้ายของเขามีขนยาวผิดปกติคล้ายลิง และมู่หรงฉีที่ปกติทุกประการ ทั้ง 7 เดินผ่านกลุ่มคนด้วยหัวใจที่เต้นระรัว พวกเขาไม่เคยพบเจอคนมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดรังเกียจพวกเขาหรือไม่ จะมีคนมาทำร้ายหรือขับไล่พวกเขาออกจากวัดไปหรือไม่
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก พวกเขาลอบชำเลืองมองกลุ่มคนและได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมา ทุกคนยกเว้นมู่หรงฉีน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว คำกล่าวของพี่สาวมู่หรั่นชิวพลันดังก้องเข้าในโสตประสาท พวกเขาไม่จำเป็นต้องก้มหน้าหลบสายตาใคร พวกเขาเก่งและกล้าหาญ
คิดได้แต่ละคนก็ยืดอกหลังตรง เงยหน้าแย้มยิ้มทักทายตอบกลับกลุ่มชาวบ้าน เดินไปเก็บทรายใส่กระบะแล้วกลับเข้าอารามขาวไปด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
……….
ผ่านไป 1 ชั่วยาม เสียงเฮฮาดังลั่นสนั่นของเด็กชาย 7 คน ที่วิ่งลงบันไดทางหลังเขามาถึงอารามดับทุกข์ ก็ดึงความสนใจจากเด็กหญิงทั้งหมดที่รอคอยฟังข่าวความเคลื่อนไหวอยู่ก่อนแล้ว
“พี่เสี่ยวเหวิน พวกเจ้าถืออะไรมาด้วยน่ะ” เสี่ยวอิง เด็กหญิงที่มีดวงตาห่างกันเกินปกติ ร้องถามเมื่อเห็นกลุ่มเด็กชายถือถาดไม้ในมือมาคนละ 2 อัน
“นี่คือกระบะทราย เอาไว้ใช้เรียนเขียนอักษร ท่านนักบวชอารามเขียวทำไว้ให้เราทุกคนแล้ว ข้าใส่ทรายมาให้พวกเจ้าด้วย อีกเดี๋ยวจะสอนสิ่งที่เราเรียนวันนีให้พวกเจ้านะ” เสี่ยวเหวินโอ้อวดอุปกรณ์ชิ้นใหม่ในมือ พร้อมทั้งแจกจ่ายไปให้เด็กหญิงแต่ละคน
“ข้างบนวัดวันนี้สุดยอดมากเลย” เสี่ยวเจ๋อรีบกล่าว แต่ในทันใดก็มีมือข้างหนึ่งมาปิดปากเขาเอาไว้
“ข..ข้า..ข้า..เล่า..เอ..เอง” เสี่ยวอ่างอยากจะเป็นคนเล่าจึงรีบปิดปากสหายเอาไว้
“ไม่ต้อง!!”
“หยุดเลย!!”
14 เสียงประสานขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง ทำเอาเสี่ยวอ่างทำปากจู่ ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความเขินอาย หันไปพยักหน้าให้เสี่ยวเจ๋อเป็นผู้เล่าต่อ
มู่หรั่นชิวได้ยินเรื่องราวทั้งหมดรวมทั้งเห็นสีหน้าเบิกบานของกลุ่มเด็กชาย จึงมีความคิดว่าวันนี้นางควรจะพาเด็กผู้หญิงขึ้นไปบนวัดบ้าง เพื่อให้เด็กเหล่านี้มีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น เพราะไม่แน่ว่าจะมีกลุ่มชาวบ้านที่ใจดีเช่นนี้ขึ้นมาทุกวัน หากสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจไว้ให้พวกเขาก่อนน่าจะเป็นผลดีในภายหน้า
ช่วงบ่ายมู่หรั่นชิวจึงเป็นผู้นำเด็กหญิงอีก 7 คน ขึ้นมาบนวัดหนานผู ให้เด็กหญิงแต่ละคนช่วยยกป้านชาถ้วยชาไปส่งให้กับกลุ่มชาวบ้านที่กระจายกันอยู่ทั่วบริเวณวัดตามอารามต่างๆ โดยเว้นไม่เข้าไปยุ่งที่อารามเขียวตามที่นักพรตหลิ่วสั่งเอาไว้
เด็กหญิงแต่ละคนแม้จะมีผมแห้งแดง แต่ก็ถูกมู่หรั่นชิวหวีผมผูกเชือกรัดเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย เดินส่งน้ำชากันอย่างน่ารักน่าเอ็นดู รวมทั้งช่วยเก็บกวาดกระดาษยันต์ที่ถูกเผาไฟกระจายอยู่ที่อารามแดงเป็นจำนวนมากอีกด้วย
นักพรตอารามแดงที่ได้ยินชาวบ้านพูดกันถึงเรื่องเด็กๆ ในอารามดับทุกข์ที่ถูกขับไล่ปีศาจออกจากร่างแล้ว พวกเขายิ่งศรัทธาในตัวนักพรตอารามแดงกันมากขึ้นก็ยิ่งพอใจ เมื่อเห็นเด็กๆ มาช่วยงาน ปล่อยให้ชาวบ้านได้พูดคุยทักทายกับเด็กเหล่านั้นได้อย่างอิสระ
มู่หรั่นชิวก็ใช้โอกาสนี้สำรวจลู่ทางหาเงินของนางไปด้วยอย่างไม่รีบร้อน พลันสายตาก็มองเห็นของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่หน้าภาพเทพเจ้าหลายภาพ นางมองแล้วมองอีกจนเริ่มจะมั่นใจว่าของสิ่งนี้ใช้แทนสิ่งใด จากนั้นก็ลองไปดูที่อารามขาวบ้าง
“อารามขาวก็มีสิ่งนี้เช่นกัน” มู่หรั่นชิวรำพัน เมื่อเห็นวัตถุแปลกตาวางอยู่ในอ่างตรงหน้าภาพพระอาทิตย์ พระจันทร์ กลางอารามขาว นางตัดสินใจจะไปดูที่อารามเขียวอีกที่หนึ่ง แต่ต้องรอจังหวะให้มีสตรีเดินเข้าไปในบริเวณนั้นก่อน นางจะได้ไม่ถูกตำหนิ
รออยู่ไม่นานก็มีสองสามีภรรยา เดินเข้าไปในอารามเขียว เด็กสาวจึงรีบฉวยโอกาสเดินตามคนทั้งสองเข้าไป เมื่อเห็นว่ามีของสิ่งนั้นวางอยู่ในอ่างตรงหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์หนึ่งเช่นกัน เด็กสาวก็แทบจะกระโดดตัวลอย
นางเดินออกมาข้างนอกอารามด้วยความตื่นเต้น เงยหน้าอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องดีใจโดยที่ไม่เปล่งเสียงออกมา พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น พอสายตารู้สึกว่ามีคนมองนางอยู่ก็รีบหดมือลงมาแสร้งทำเป็นดูพระอาทิตย์ดูท้องฟ้า เลียนแบบนักพรตในอารามขาวบ้าง
“หาข้อมูลอีกนิด หรั่นชิวใจเย็นๆ เจ้าทำได้แน่!!” เด็กสาวยักไหล่สองข้างไปมาด้วยความสุข