ตอนที่ 11 สหาย

1630 Words
ต้มไก่อีกตัวหนึ่งแบ่งกันกินไปครึ่งตัว เด็กทั้ง 15 คนก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปบ้านเก่าของสามพี่น้องสกุลมู่เพื่อช่วยกันเก็บของและดูแปลงผักที่เพิ่งเพาะปลูกใหม่ไปได้ไม่กี่วัน “หยวนเอ๋อร์ข้าไปไม่ได้หรอก ข้าจะรออยู่ที่นี่นะ” เสี่ยวลู่ ยิ้มแหยเอ่ยกับสหายของนาง เสี่ยวลู่เป็นเด็กที่ร่างกายเล็ก ขาลีบเล็กเดินได้ไม่สะดวก ถูกนำมาทิ้งไว้ที่อารามดับทุกข์ตั้งแต่อายุได้ 3 ปี เวลานี้นางอายุ 6 ปีแล้ว จากเดิมที่ช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ต้องคอยมีคนช่วยอุ้ม แต่หลังจากที่นักพรตหลิ่วทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากร่าง รวมทั้งมอบสมุนไพรมาให้นางต้มกินอยู่บ่อยๆ 3 ปีที่ผ่านมาเด็กหญิงก็ค่อยๆ หัดเดินจนเดินได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใดคอยช่วยเหลือแล้ว เพียงแต่ขาของนางก็ยังเล็กลีบอ่อนแรงง่ายอยู่ “เสี่ยวลู่ พวกเราจะเดินช้าๆ หากเจ้าไม่ไหวข้ากับหรงฉีจะช่วยแบกเจ้าไปเอง ออกไปด้วยกันเถิด” เสี่ยวเหวินเดินมาหาเด็กหญิงตัวน้อยอยากให้นางไปมีโอกาสออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน “ข้ารู้ แต่ว่าข้าไม่กล้าออกจากเขตพื้นที่วัด หากข้าถูกปีศาจเข้ามาสิงอีกเล่า ข้ากลัว” เด็กหญิงตัวน้อยทำท่าทางหวาดหวั่น “เสี่ยวลู่ เจ้าดูข้าสิ ข้าเองก็เคยเดินไม่ไหวท่านพ่อต้องแบกข้ามาทำพิธีที่วัดเช่นกัน บ้านข้าอยู่นอกเขตพื้นที่วัดหนานผูตั้งไกลเวลานี้ข้าก็แข็งแรงดีมิใช่หรือ ปีศาจไม่เข้าร่างคนที่นักพรตปัดเป่าให้แล้วซ้ำหรอก เชื่อข้า” มู่หรั่นชิวไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ เด็กคนนี้อาจจะเพียงแค่ไม่แข็งแรง ขาดสารอาหารเท่านั้น หากนางได้ออกกำลังเพิ่มเติมเป็นประจำขาที่เล็กอยู่อาจจะแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ “ใช่แล้วเสี่ยวลู่ พี่ใหญ่ของพวกเราตอนเด็กๆ ชักกระตุกหมดสติตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราก็ให้ท่านนักพรตปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกให้เช่นกัน เวลานี้เขาไปเป็นทหารออกรบด้วยนะ” มู่หยวนคุยฟุ้งด้วยความภาคภูมิใจในตัวพี่ชายคนโต เด็กชายเสี่ยวทั้ง 6 ทำตาโตกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้าไม่เคยเห็นทหารมาก่อนเลย พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นทหารเช่นนั้นหรือ เขาต้องสง่าผ่าเผยมากเป็นแน่หรงฉี” เสี่ยวเจ๋อที่มีตาดำเล็กจิ๋ว พอเบิกตากว้างก็ทำให้มู่หรงฉีต้องผงะไปเล็กน้อยเช่นกัน แม้ว่าจะสนิทสนมกันดีอยู่แล้วแต่ตาดำอันเล็กกับตาขาวกลมโตก็ดูน่าตกใจอยู่ไม่น้อย “สง่าผ่าเผยเหมือนอย่างข้านี่ล่ะ” มู่หรงฉีเชิดหน้ากอดอกโอ้อวดบ้าง “ถุย เจ้านี่หรือผ่าเผย เจ้ามันลูกลิงตัวจ้อยต่างหาก" เสี่ยวเหวินล้อเลียนเเรียกเสียงหัวเราะครืนจากเหล่าหัวไม้ขีดไฟทั้งหมด “พอเลยๆ ห้ามสบถหยาบคายรู้ไหมเสี่ยวเหวิน นั่นไม่น่ารักเลย พวกเจ้าก็ฟังข้ากันให้ดีทุกคน พวกเจ้าได้รับการรักษากันจนหมดแล้ว ควรจะภูมิใจในตัวเองด้วยซ้ำ ที่แม้จะไม่มีบิดามารดาคอยดูแล เจ้าก็ยังเติบโตมีชีวิตรอดกันได้ด้วยตนเอง มีปานเต็มหน้าเต็มตัวแล้วอย่างไร ติดอ่างแล้วอย่างไร มีนิ้วไม่ครบแล้วอย่างไร ขนยาวแล้วอย่างไร พวกเจ้าชนะภูตผีปีศาจกันมาแล้วทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องก้มหน้าหลบสายตาใครอีกต่อไป พวกเจ้าเก่งกว่าเด็กอีกหลายคนที่ยังต้องให้พ่อแม่ป้อนข้าวป้อนน้ำเสียอีก เข้าใจหรือไม่” เสี่ยวลู่มองดูสหายร่วมอารามที่บางคนมีปานสีเขียวสีดำเกือบจะทั้งใบหน้า บางคนก็มีขนที่แขนยาวผิดปกติ บางคนตาสองข้างอยู่ห่างกันจนเกือบจะถึงใบหูสองข้าง นางก้มมองดูตนเองที่มีผิวสะอาดตา เพียงแต่ขาลีบเล็กกว่าปกติเท่านั้น “พี่สาว ข้าจะเดิน ข้าไม่กลัวอะไรแล้ว อีกไม่นานข้าก็จะเดินได้ปกติแน่นอนเจ้าค่ะ” เด็กหญิงวัย 6 ขวบ กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ เด็กคนอื่นพอได้ฟัง ก็พลอยยืดอกยืดคอกันขึ้นมา ใช่แล้วพวกเขาล้วนหายดีแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นปีศาจอีกต่อไป พวกเขาทำงานได้หลายอย่างจริงๆ “ดี!! จากนี้ข้าจะไม่กลัวผู้ใดอีกแล้ว” “ข..ขข้า.ด..ด้วย!!” “ไม่กลัวแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะไปรังแกผู้ใดได้นะ ต้องเชื่อฟังคำสอนของท่านนักพรตบนเขาด้วยเล่า” มู่หรั่นชิวตักเตือน “รีบไปกันเถิด เก็บของเสร็จพวกเรายังต้องกลับมาช่วยกันสร้างเล้าไก่กันต่ออีกนะ” มู่หรงฉีทัก ไก่สองตัวนั้นก็เป็นสหายรอดชีวิตจากพายุมาพร้อมกับเขา เขาจึงรู้สึกเอ็นดูพวกมันเป็นพิเศษ เดินผ่านทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในยามอู่ (11.00-12.59) วันนี้ สามพี่น้องสกุลมู่ไม่รู้สึกว่ามันไกลเลยสักนิด ตลอดทางได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยของสหายกลุ่มใหญ่ไปตลอดทาง แม้แต่เสี่ยวลู่ที่เดินช้ากว่าเพื่อนก็ยังดึงใบไม้ใบหญ้าเล่นไปตลอดทางจนลืมความเหนื่อย แวะพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มู่หรงฉีก็เล่าเรื่องที่ตนและมู่หยวนช่วยกันขุดหลุมฝังพี่สาวให้สหายเสี่ยวทั้งหลายดู โดยมีหลุมที่เพิ่งถูกกลบไปใหม่เป็นหลักฐาน เรื่องนี้ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือเรื่องการเอาชนะภูตผีปีศาจของมู่หรั่นชิวสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เด็กๆ ทุกคนเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว พอถึงที่กระท่อม มู่หรั่นชิวก็เลือกที่จะให้เด็กๆ เก็บเพียงเสื้อผ้า เครื่องนอนของทุกคนรวมทั้งของพี่ชายมู่เกอ เครื่องใช้ในครัวที่ยังใช้การได้ รวมทั้งเก็บไม้ที่ยังแข็งแรงดีติดมือไปด้วย เหลือไว้เพียงอุปกรณ์ทำการเกษตรไม่กี่ชิ้น เพราะยังต้องกลับมาดูแลผักที่ปลูกเอาไว้ รดน้ำผักกันอีกครั้งเสร็จสรรพ ก็พากันกลับไปที่อารามดับทุกข์ ที่อารามดับทุกข์มีแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่นักบวชอารามเขียวใช้ทำเป็นโต๊ะ ตู้หรือเก้าอี้กันเอง แต่ไม้บางแผ่นโค้งงอไม่ได้รูป หรือไม่ได้ขนาด ก็จะนำพวกมันมาเก็บเอาไว้ในโรงครัวที่อารามดับทุกข์ เพื่อไว้ใช่ซ่อมแซมอารามยามจำเป็น มู่หรั่นชิวจึงให้เด็กๆ ใช้ไม้แผ่นใหญ่มาทำเป็นส่วนหลังคาของเล้าไก่ แผ่นที่เล็กลงมาหน่อยก็ทำเป็นผนังสลับกับท่อนไม้เล็กๆ ให้พอมีลมพัดผ่านได้เล้าได้สะดวก จากนั้นก็ช่วยกันหาใบไม้มาให้เด็กผู้หญิงมัดกิ่งไม้ใบไม้รวมกันหลายมัดแล้วเอาไปทับบนหลังคาอีกที ตอนนี้เป็นฤดูฝนแล้ว นางเกรงว่าไก่จะป่วยตายเอาได้ง่ายๆ หากกันแดดกันฝนได้ไม่ดีพอ มู่หรงฉีพาเด็กชายอีกสองสามคนไปถอนหญ้ามาปูที่พื้น เพื่อให้ไก่ได้มีพื้นที่แห้งและออกไข่ เท่านี้เล้าไก่แสนงามของเด็ก 15 คนก็แล้วเสร็จท่ามกลางสายตาเปี่ยมสุขของเด็กๆ วันนี้ไก่ออกไข่เพิ่มมา 1 ฟอง มู่หรั่นชิวจึงเอามันมาผัดกับผักป่าด้วยน้ำเปล่า เติมเกลือสีเทาลงไปเล็กน้อยให้พอมีรสชาติ เมื่อเช้าพวกเขายังเหลือไก่อยู่อีกครึ่งตัว มื้อนี้จึงเป็นอีกมื้อที่จะมีสารอาหารชั้นดีตกถึงท้องเด็กๆ “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงแย่งกันกินแต่ผัดผักเล่า ไม่เห็นมีใครหยิบเนื้อไก่ไปกินเลย” มู่หรั่นชิวรู้สึกประหลาดใจ วันแรกที่เด็กพวกนี้ได้กินไก่พวกเขาต่างก็น้ำตาคลอ อมเนื้อไก่กันเอาไว้ไม่ยอมกลืนด้วยความเสียดายกันด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้จึงมีแต่คนผลักจานไก่ต้มที่นางฉีกเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ให้แล้ว กันไปมาอยู่นั่นเอง เด็กชายหญิง 14 คน เบนสายตาไปยังเล้าไก่ที่อยู่ห่างจากครัวไปเล็กน้อยโดยพร้อมเพรียงกัน แต่เท่านี้มู่หรั่นชิวก็พอจะคาดเดาความคิดเด็กเหล่านี้ได้แล้ว "ไก่สองตัวนั่นกลายเป็นสหายพวกเจ้าไปแล้ว? แล้วเจ้าคิดว่าเจ้ากำลังกินไก่ที่เป็นสหายของสหายเจ้ากันอยู่ เช่นนี้ถูกหรือไม่?” เสี่ยวอ่างมองพี่สาวตัวจ้อยอย่างงงงวย เกาศีรษะยิก พี่สาวจะพูดอะไรให้มันวนไปวนมากันนักหนา เขาคิดตามไม่ทันแล้ว “ใช่แล้วพี่รอง” มู่หรงฉีรับสารภาพมาก่อนผู้ใด “จากนี้เราก็จะได้กินไข่มันไปก่อนก็แล้วกัน เราต้องแบ่งไข่พวกนี้ให้ฟักเป็นตัวบ้าง จะได้มีไข่ไว้กินตลอดไป ไก่เป็นอาหาร พวกเราจะไม่ฆ่ามันกันเอง แต่หากมันตายร่างกายของมันจะเป็นประโยชน์กับพวกเจ้า ทุกคนต้องกินห้ามขัดคำสั่งข้าโดยเด็ดขาด” เสี่ยวเหวินหันมองรอบตัว เสี่ยวทุกเสี่ยวก็เลือกให้เขาเป็นคนตัดสินใจเช่นกัน จึงหันมาสบตาเสี่ยวเหวินกันทั้งหมด “กิน!! ห้ามขัดคำสั่งพี่สาวโดยเด็ดขาด!!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD