มู่หรั่นชิวพามู่หรงฉีและมู่หยวนเดินขึ้นบันไดหินทางด้านหลังเขา เพื่อไปขอพบเจ้าอารามทั้งสามบนวันหนานผู ตามคำแนะนำของเสี่ยวเหวินที่ว่าพวกเขาจะเสร็จจากธุระช่วงเช้าในยามซื่อ (09.00-10.59) โดยมีเสี่ยวเหวินเป็นผู้นำทาง
“นี่เรียกว่าอารามขาว นักพรตเจ้าอารามคือนักพรตเซี่ย ข้าจะพาไปพบท่านนักพรตเซี่ยก่อนแล้วกัน” เสี่ยวเหวินกล่าว
ภายในอารามขาวที่เรียกตามสีของกระเบื้องมุงหลังคา เป็นอารามขนาดใหญ่ มีห้องโถงใหญ่กว้างขวางใช้เป็นที่ประกอบพิธีร่วมกันโดยมีที่พำนักของเหล่านักพรตอยู่ด้านหลัง นักพรตส่วนใหญ่จะสวมชุดสีขาวหรือผ้าดิบที่ไม่ย้อมสี พวกเขาบูชาฟ้าดิน พระอาทิตย์ดวงจันทร์ และประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษให้กับชาวบ้าน เน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติกินอยู่เรียบง่าย ไม่สร้างความขัดแย้งกับวิถีของสรรพสิ่งใดๆ และมักจะสนทนาปรัชญาแห่งชีวิต-ธรรมะกับผู้เลื่อมใสอย่างมีแบบแผน
ไม่นานนักพรตเซี่ยชายชราชุดขาวอายุราว 80 ปี บุคลิกสุขุมสง่าผ่าเผยแบบฉบับของคุณปู่ใจดี ใบหน้าราวกับประดับยิ้มเอาไว้ตลอดเวลาก็เดินมาหาเด็กทั้งสามคน
“มาอยู่ใหม่หรือ? แล้วรู้จักบ้านเดิมของตนเองหรือไม่?” ชายชราทักทาย เข้าใจว่าเด็กสามคนคงเป็นเด็กที่พ่อแม่แอบเอามาทิ้งไว้ที่อารามอย่างที่เคยเห็นมา แต่ก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะเด็กที่ถูกทอดทิ้งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กเล็กๆ อายุ 3-5 ปี ไม่ค่อยได้เห็นมีชาวบ้านพาเด็กโตวัยนี้มาทิ้งที่วัดเลยสักคน
“ท่านนักพรต พวกเรามีบ้านอยู่ที่ชายป่านี่เองเจ้าค่ะ แต่บ้านของเราถูกพายุพัดถล่มลงมาอาศัยอยู่ไม่ได้ ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราตายไป 2 ปีกว่าแล้ว พี่ชายก็ถูกคัดเลือกไปเป็นทหาร เราไม่มีญาติพี่น้องที่อื่น จึงจำต้องเดินมาขออาศัยอยู่ในอารามดับทุกข์กันเอง” มู่หรั่นชิวอธิบาย
“สรรพสิ่งล้วนเกิดจากฟ้าดิน สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างก็เป็นฟ้าดินกำหนด พวกเจ้าทั้งสามอย่าได้ร้อนใจไป มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ดีแล้ว มาอยู่ที่อารามดับทุกข์ก็ดี อดทนหาทางเอาตัวรอด วัดหนานผูก็ช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้อยู่แล้วส่วนอื่นๆ พวกเจ้าก็แสวงหาเพิ่มเติมกันเอาเถิด” นักพรตเซี่ยกล่าวพร้อมกับแหงนมองดูท้องฟ้าใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านอนุญาตให้เรามาอาศัยในอารามดับทุกข์ได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” มู่หรั่นชิวดีใจ นางคิดว่าเรื่องราวจะยุ่งยากกว่านี้เสียอีก เพราะรู้มาว่าวัดหนานผูสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดนำเด็กมาทิ้งเอาไว้อีก แต่ก็ยังมีคนลักลอบแอบเอาเด็กมาทิ้งอยู่เรื่อยๆ ปีละคนสองคน
“ก็ไม่เชิง เสี่ยวเหวินเจ้าไปตามเจ้าอารามทั้งสองมาที่นี่ด้วยเถิด ต้องฟังความเห็นจากอีกสองอารามด้วย” นักพรตเซี่ยหันมาสั่งความกับเสี่ยวเหวิน
เสี่ยวเหวินหายไปครู่เดียว ร่างบุรุษสูงวัยอีกสองคนก็เดินเข้ามาในอารามขาว คนแรกมู่หรั่นชิวคนเก่าเคยพบเขามาก่อนเมื่อครั้งที่ท่านพ่อแบกนางมาให้นักพรตหลิ่วผู้นี้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากร่างให้ นักพรตหลิ่วเป็นเจ้าอารามแดงสวมชุดสีเหลือง-แดง ในมือถือไม้เท้าเป็นประจำ ที่อารามของเขาจะบูชาเทพเจ้ามากมายหลากหลายจนจำไม่หมด นักพรตอารามแดงทำพิธีปัดเป่าขับไล่ภูตผีปีศาจ ทำนาย-แก้ไขดวงชะตา รักษาโรค และประกอบพิธีศพให้กับคนตาย
อีกคนหนึ่งเป็นนักบวชที่โกนศีรษะจนโล้น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าอารามสองคนแรก คือราว 80 ปี เช่นกัน มู่หรั่นชิวเพียงแค่รู้ว่าอารามเขียว เป็นอารามของนักบวชที่โกนศีรษะแต่เพิ่งจะเคยเห็นเจ้าอารามหงผู้นี้เป็นครั้งแรก นักบวชในอารามเขียวจะสวมชุดสีเทาคล้องลูกประคำที่มือหรือที่คอ สวดมนต์ภาวนาเป็นหลัก นอกจากสวดมนต์ก็จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน ทำความสะอาดรอบบริเวณวัด ดูแลอาหารการกินให้นักบวชและนักพรตทั้งสามอารามที่มีอยู่รวมกันเกือบ 30 คน ทำงานไม้แกะสลัก ปลูกผัก และออกกำลังกาย การทำงานทั้งหมด พวกเขาก็นับว่าเป็นการฝึกฝนร่างกายและจิตใจไปด้วย
สรุปแล้วในวัดหนานผู มีนักบวชหรือนักพรตที่ปฏิบัติศาสนกิจแตกต่างกัน 3 อาราม แต่พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและลงตัวเป็นที่สุด เมื่อมารักษาตัวขจัดสิ่งชั่วร้ายกับอารามแดงเสร็จ ผู้คนก็จะมาเดินหมาก จิบน้ำชาสนทนาธรรมต่อที่อารามขาวหรือไปสวดมนต์ที่อารามเขียว จากนั้นก็จะเลือกดูสินค้าที่ผลิตจากฝีมือนักบวชเช่น หินบดยา แท่นฝนหมึก โต๊ะเก้าอี้ อ่างไม้ แท่นบูชา แผ่นป้ายบูชา รวมทั้งพวกยันต์ ภาพเทพเจ้า หรือยารักษาโรค โดยที่ทางวัดไม่รับเงินแต่ให้บริจาคเป็นข้าวสาร แป้ง อาหารเจ ประเภทเต้าหู้ เต้าเจี้ยว ผักดอง หมึก กระดาษ พู่กัน สมุนไพร แลกเปลี่ยนกับสินค้าไปแทนให้เหมาะสมตามกำลังศรัทธา
“เข้ามาใหม่อีกแล้วหรือท่านนักพรตเซี่ย” เสี่ยงแหบแต่ก้องกังวานอย่างน่าประหลาดของนักพรตหลิ่วดังขึ้นมา ทำให้มู่หรงฉีและมู่หยวนตัวสั่นเล็กน้อย
นักพรตหลิ่วหรี่ตามองเด็กทั้งสองอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก เขาสั่งห้ามมิให้ผู้คนเอาเด็กมาทิ้งตลอด แต่ก็ไม่วายยังมีคนลักลอบเข้ามาทางหลังเขาเป็นประจำ
“พวกเขามีบ้านอยู่ในบริเวณนี้ แต่เมื่อวานถูกพายุพัดจนบ้านพัง จึงได้เดินมาขออาศัยอยู่ที่อารามกันตามลำพังสามพี่น้อง พวกท่านเห็นควรอย่างไรเล่า” นักพรตเซี่ยกล่าวจุดประสงค์ที่ตนเชิญเจ้าอารามทั้งสองมาพบอย่างสุภาพ
นักพรตอารามขาวเป็นผู้มีจิตใจเมตตามากที่สุด แต่ก็ยังยึดมั่นในหลักความไม่ขัดแย้งและปล่อยทุกสรรพสิ่งให้เป็นไปตามธรรมชาติ เขาจึงไม่ออกหน้ายืนกรานจะรับเด็กไว้เพียงลำพัง หากอีกสองอารามยอมรับเด็กไว้ก็ดี แต่หากไม่ยินยอมรับไว้ก็เป็นเพราะลิขิตฟ้า
“มาขออยู่เองเช่นนั้นหรือ? เหอะ!! ดีนักคนเหล่านี้เห็นวัดเป็นสถานที่รับคนจรตั้งแต่เมื่อใดกัน หากรับไว้กลุ่มหนึ่งจะมีอีกมากมายเท่าใดที่มาขออาศัยในพื้นที่วัด” นักพรตหลิ่วกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นทีหนึ่ง ท่าทางดุดัน
“อมิตาพุทธ อย่างไรพวกเราก็สมควรมีเมตตา อีกอย่างแม่นางน้อยผู้นั้นมีอายุมากกว่าเด็กหญิงเล็กๆ ในอารามดับทุกข์ พวกเราไม่อาจลงจากเขาไปดูแลพวกเขาโดยสะดวก ได้แม่นางน้อยมาช่วยเหลือเด็กๆ ก็อาจจะเป็นผลดีมากกว่าเสีย” นักบวชหงออกความเห็น
นักพรตและนักบวชทั้งสามอาราม จะลงไปที่อารามดับทุกข์ก็ต่อเมื่อมีเด็กขึ้นมาขอความช่วยเหลือ อย่างเช่นไปซ่อมแซมอาราม หรือลงไปมอบสิ่งของให้พวกเขาเพียงเท่านั้น แต่ไม่เคยดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจังแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรที่นั่นก็สร้างไว้ให้เป็นที่พักของชาวบ้านที่มาแสวงบุญ ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่ต้องไปจัดการทั้งหมด อีกทั้งการมีเด็กหญิงอยู่ในอารามดับทุกข์ด้วย ยิ่งทำให้นักบวชในอารามเขียวไม่สะดวกจะลงไปเท่าใดนัก
“ข้าสู้ป่าวประกาศมาหลายปี ว่าที่นี่ไม่ได้รับเลี้ยงเด็ก หากข้ารับพวกเขาเอาไว้เสียเองจะไม่ใช่เป็นการพูดปด กลืนน้ำลายตนเองหรอกหรือ” นักพรตหลิ่วยังไม่ยินยอม
มู่หรั่นชิวฟังเจ้าอารามทั้งสามปรึกษากันอยู่อีกพักใหญ่ นางเข้าใจสิ่งที่นักพรตหลิ่วกล่าว หากวัดประกาศว่าเต็มใจรับคนมาเลี้ยงดู จะมีผู้คนมากมายเพียงใดที่จะมาขออาศัยอยู่ในพื้นที่ของวัด ลำพังว่าพวกเขาไม่ได้ข่มเหงรังแกหรือขับไล่เด็กทั้งหมดไปมา ตลอด 20 ปีนี้ก็มีเด็กหลายรุ่นที่เข้ามาและเติบโตย้ายออกไปเองโดยไม่ได้ถูกบังคับ ก็เห็นว่านักพรตหลิ่วไม่ได้ถึงกับไร้น้ำใจ แต่เป็นการยับยั้งไม่ให้สถานการณ์มันเลยเถิดไปมากกว่านี้ การเลี้ยงดูเด็กหากวัดรับปากเอาไว้เองก็กลายเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่กิจของพวกเขา
“ท่านนักพรตหลิ่ว ข้าและน้องทั้งสองรู้จักมักคุ้นกับเด็กๆ ในอารามดับทุกข์เป็นอย่างดี พวกเรามาเที่ยวเล่นที่นั่นบ่อยครั้ง และรู้ดีว่าเด็กๆ ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกท่านแม้แต่น้อย หากว่าข้ามีหนทางช่วยเหลือเด็กๆ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ให้พวกท่านต้องรู้สึกผิดบาป ท่านจะอนุญาตให้ข้าและน้องสองคนอาศัยอยู่ที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ"