กลับมาถึงกระท่อม เด็กสามคนนั่งมองดูไก่ 4 ตัวกันตาละห้อย พวกเขาไม่กล้าฆ่ามัน มู่หรั่นชิวเองก็ไม่กล้า เมื่อนึกถึงว่าต้องถอนขนพวกมันออกมาทีละเส้น ผ่าท้องแหวกไส้ นางก็รู้สึกเวียนหัวจนตาลายแล้ว
“แล้วจะทำอย่างไรกันดีเล่าพี่รอง” มู่หรงฉีส่งเสียงเศร้าสร้อยออกมา เขาไม่ได้ตำหนิพี่สาว เพราะรู้ดีว่าทั้งนางและเขาไม่เคยเชือดไก่กันเองเลยสักครั้ง ตลอดมามีแต่พี่ชายมู่เกอทำให้พวกเขากิน
“ฆ่าไม่ได้ก็ต้องรอให้มันตายไปเอง เราเลี้ยงพวกมันไว้กินไข่ก่อนก็แล้วกัน ช่วยกันหาผักหาหญ้าที่พวกมันจิกกินในป่ามาโยนไว้ให้ก็คงรอดได้กระมังน้องสาม” มู่หรั่นชิวเสนอ
“อย่างนั้นข้าไปตัดไม้มาผูกเป็นเล้าไก่นะพี่รอง”
“ไม่ต้องหรอก ไม้ผุที่สองห้องนั้นก็มีเยอะแยะไป เราดึงออกมาใช้เชือกผูกให้แน่นก็น่าจะใช้ได้
ตลอดทั้งวันสามพี่น้องสกุลมู่ช่วยกันสร้างเล้าไก่อย่างง่ายๆ จนสำเร็จ มู่หรั่นซิวหาอ่างดินเผาแตกๆ มาจัดการทำเป็นอ่างน้ำดื่ม มู่หรงฉีกับมู่หยวนก็ออกไปตัดหญ้ามาปูพื้นให้ไก่ได้นอน
ทำเสร็จสมบูรณ์มู่หรั่นชิวก็หน้าเบี้ยวไปเล็กน้อย นางต้องการอาหารจึงได้หาทางออกไปจับไก่ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นต้องมาเลี้ยงไก่อีก 4 ตัว ยังดีที่เมื่อนางโยนผักป่าหลายชนิดเข้าไป ไก่เหล่านั้นก็จิกกินเป็นอาหารได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องยุ่งยากกว่านี้
“ไข่ฟองสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เราจะเหลือเพียงข้าวเปล่ากับผักป่า อดทนกันหน่อยนะพี่รองจะรีบคิดหาทางให้ได้” มู่หรั่นชิวดึงน้องชายน้องสาวเข้ามาลูบหัวอย่างรักใคร่
ตกกลางคืนมู่หรั่นชิววิตกกังวลจนข่มตานอนไม่หลับ นางและน้องสองคนจะมีชีวิตอย่างนี้ไปตลอดไม่ได้ เงินก็ไม่มี ญาติพี่น้องอื่นก็ไม่มี พี่ชายมู่เกอที่จากไปนั้นก็ฝากความหวังเต็มกำลังไม่ได้ เขาจะกลับมาหรือไม่ก็ยังไม่รู้
พยายามนึกเรื่องเกี่ยวกับการทะลุมิติที่อ่านในนิยาย ทุกเรื่องทุกคนล้วนมีตัวช่วย หรือไม่ก็มีความสามารถพิเศษจนหาเงินได้ร่ำรวย แต่นางผู้มีความรู้หลายอย่าง แต่ก็รู้เพียงผ่านตาไม่เชี่ยวชาญเรื่องใดสักเรื่องจะทำสิ่งใดได้ สิ่งที่เข้ากันกับโลกที่นางทะลุมิติมานี้มีเพียงนางรู้จักสมุนไพรหลายชนิดหน่อยก็เท่านั้น
“ต้นไผ่ หน่อไม้ จับปลา หากุ้ง โสม เห็ด เกลือ” มู่หรั่นชิวนั่งลำดับสิ่งที่นางควรจะหาพบเพื่อหาเงินตามอย่างในนิยายที่เคยอ่าน
“เกลือที่นี่เป็นสีเทา น่าจะเป็นเพราะไม่มีวิธีทำให้มันบริสุทธิ์” นางคิดวนเวียนไปมา ว่าเคยอ่านผ่านตาถึงการเอาเกลือไปต้มน้ำให้มันแห้ง แล้วจะได้เกลือสีขาวบริสุทธิ์ขายได้ราคาสูง แต่นึกเท่าไรก็นึกลำดับขั้นตอนวิธีทำไม่ออกเพราะตนเองไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน ในที่สุดก็ต้องล้มเลิกความคิดไป
“ทำอาหารขายนี่ก็เลิกคิดไปได้เลย เงินจะซื้อเครื่องปรุงยังไม่มี แล้วเราก็ทำอาหารไม่เก่งอีกด้วย”
เด็กสาวว้าวุ่นใจจนเกือบถึงเช้าก่อนที่จะเผลอหลับไปอย่างอ่อนเพลีย
……….
มู่หรงฉีตื่นนอนตั้งแต่เช้าเป็นคนแรกเช่นเคย เมื่อคืนเขานอนหลับไม่สนิทนักเพราะอากาศร้อนอบอ้าวผิดปกติ หลังจากก่อไฟหุงข้าวรอให้พี่สาวและน้องสาวตื่นมากินเรียบร้อย เขาก็เดินไปที่เล้าไก่เพื่อจะเติมน้ำให้พวกมัน
เดินไปถึงเล้าไก่เด็กชายก็หยุดชะงักไปกะทันหัน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความยินดีรีบวิ่งกลับเข้าไปในกระท่อมเพื่อปลุกพี่สาว
“พี่รองตื่นเร็ว” มู่หรงฉีเขย่าแขนพี่สาว หน้าตาเบิกบานผิดปกติ
“ฉีเอ๋อร์มีอะไรหรือ?”
“ไก่ที่พวกเราจับมาเมื่อวานมันออกไข่มา 4 ฟองขอรับ”
“ไข่หรือ? เจ้าไปเก็บพวกมันมาไว้ก่อนเดี๋ยวข้าตามไป” มู่หรั่นชิวกระโดดลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยก็เดินไปทางเล้าไก่ที่สร้างติดกับห้องนอนของพี่ชายไว้นอกบ้าน
“ที่แท้มันเป็นไก่ตัวเมีย 3 ตัว ตัวผู้หนึ่งตัว” เด็กสาวบอกกับน้อง
มู่หรงฉีและมู่หยวนตื่นเต้นกันยิ่งกว่าเดิมเมื่อมู่หรั่นชิวบอกว่า ต่อจากนี้ไก่อาจจะออกไข่ให้พวกเขาได้กินทุกวัน
“เราต้องสร้างเล้าที่ใหญ่และแข็งแรงกว่านี้ให้พวกมันอยู่ พวกมันจะได้อารมณ์ดี ออกไข่ให้เราวันละหลายฟองอย่างไรเล่า”
วันนี้จึงเป็นอีกวันที่เด็กสามคนช่วยกันรื้อไม้ผุเก่าจากห้องนอนของบิดามารดาและพี่ชาย เอามาทำเป็นเล้าไก่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าจะมีไข่ให้กินไปทุกวัน สามพี่น้องก็ยิ่งมีความสุขลืมความเหนื่อยยากไปจนสิ้น
“เล้าไก่เรียบร้อยแล้ว น้องสามเจ้าเอาไข่ไปต้มเสีย กินข้าวกันเสร็จเราจะไปที่แม่น้ำกันดูสิว่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง จะได้ไปเก็บผักเก็บหญ้ามาให้ไก่เพิ่มเสียเลยทีเดียว” มู่หรั่นชิวชักชวน
พี่น้องสามคนถือตะกร้าคนละใบ เดินผ่านทุ่งหญ้าไปทางด้านซ้ายของภูเขา วันนี้เป็นวันที่ร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก แสงแดดตอนเที่ยงตรงทำให้เด็กทั้งสามถึงกับต้องหยุดพักเหนื่อยกันไปตลอดทาง พอถึงแม่น้ำที่น้ำแห้งไปมากมู่หรั่นชิวต้องพาน้องสองคนเอาน้ำมาลูบเนื้อลูบตัวให้บรรเทาความแสบร้อนของผิวที่ถูกแดดแผดเผา
ยังดีที่บริเวณนี้มีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น พอจะมีร่มเงาให้นั่งหลบร้อน หลังจากปล่อยให้เด็กสองคนนั่งเล่นริมแม่น้ำบริเวณที่น้ำตื้นแล้ว เด็กสาวก็ออกเดินสำรวจดูว่านางจะหาปลา กุ้งหรืออาจจะพบพืชผักอะไรที่สามารถกินได้บ้าง
นางใช้แหจับปลาไม่เป็น แต่ก็ยังฉลาดพอที่จะใช้ไม้สามสี่อันปักลงไปที่ชั้นดินในน้ำ เอาแหมาวนรอบไม้แล้วรอให้ปลามาติดเอง ช่วงที่รอปลามาติดแหก็ชวนมู่หรงฉีและมู่หยวนเดินเก็บผักป่าเก็บหญ้าไปเรื่อย
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าก็เกิดลมกรรโชกแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความแรงของลมทำให้ต้นไม้เล็กๆ ลู่เอนไปกับสายลมราวกับเป็นต้นหญ้า กิ่งไม้บนต้นไม้หลายต้นหักโค่นลงมาอย่างน่าหวาดเสียว
“ดูเหมือนจะเป็นพายุก่อนฤดูฝน น้องสามข่วยข้าเก็บแหกลับมาก่อนเร็ว”
มู่หรงฉีเดินลุยลงไปในน้ำพร้อมกับมู่หรั่นชิว ช่วยกันดึงที่ปักดินยึดแหเอาไว้ออกมา เขาเห็นว่ามีปลาตัวใหญ่ติดอยู่ในแหตัวหนึ่ง แต่ไม่มีเวลาดีใจรีบม้วนพันแหพร้อมกับปลามากอดเอาไว้
“รีบกลับบ้านกันก่อนที่ฝนจะตกเถิด” มู่หรั่นชิวกำชับน้องสองคนให้เร่งฝึเท้าให้เร็วขึ้น หากเปียกฝนจับไข้ขึ้นมาพวกตนจะต้องลำบากกันเป็นแน่
ไม่ทันขาดคำพายุฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง จนมู่หรั่นชิวต้องตัดสินใจพาน้องสองคนไปหลบฝนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรงพอให้เด็กสามคนเบียดตัวกันเข้าไปหลบฝนได้บ้าง
ฝนหยุดตกราวยามเซิน (15.00+16.59) เด็กทั้งสามจึงได้ออกมาจากโพรงไม้ และเดินกลับกระท่อม แต่เมื่อมองเห็นกระท่อมหลังเล็กชายป่าอันเป็นที่พักอาศัยของตน สามพี่น้องก็แทบจะเข่าทรุด
“พี่รองบ้านพังหมดเลย” มู่หรงฉีเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
พายุที่รุนแรงก่อนฝนตกพัดเอาหลังคาที่มุงไว้ด้วยหญ้าหนาหลายชั้นพัดปลิวไปจนหมด ส่วนโครงสร้างของบ้านที่มีถึงสองห้องที่ผุพังไปแล้วก็โยกคลอนจนล้มเอียงไปข้างหนึ่ง
มู่หรั่นชิวรีบตั้งสติโดยเร็ว เวลานี้เย็นมากแล้วพวกเขาไม่มีพื้นที่แห้งตรงไหนที่สามารถนอนพักกันได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านล้มระเนระนาดปะปนกันไปหมด หากฝนตกอีกครั้งในตอนกลางคืน เด็กที่เพิ่งจะฟื้นฟูร่างกายกันขึ้นมาได้ไม่กี่วันคงทนหนาวทนเปียกตลอดคืนไม่ไหวแน่
“ฉีเอ๋อร์ หยวนเอ๋อร์ วันนี้เราต้องรีบไปให้ถึงอารามดับทุกข์ ไปนอนที่นั่นกันก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูว่าพอจะเก็บอะไรไปได้บ้าง”
มู่หรงฉีวิ่งไปดูที่เล้าไก่เป็นอันดับแรก เล้าถูกสร้างขึ้นโดยใช้กำแพงด้านหนึ่งของห้องพี่ชายมู่เกอ หากบ้านพังลงมาเล้าไก่ก็คงจะพังไปด้วยเช่นกัน เขานึกเป็นห่วงไก่สี่ตัวที่เป็นความหวังว่าจะมีไข่ให้ได้กินทุกวัน