Gypsophila 4

1368 Words
Gypsophila 4 “ขออนุญาตถ่ายหน้าสลิปโอนเงินหน่อยนะคะ” เอ่ยบอกลูกค้ามือก็หยิบโทรศัพท์ของร้านขึ้นมากดถ่ายรูป เมื่อส่งลูกค้าเสร็จมายด์ก็เดินมากระซิบแซวทันที เพราะลูกค้าคนนี้มาทีไรก็ชอบชวนฉันไปกินข้าวด้วยทุกที แต่ฉันเองก็ขยันปฏิเสธพอ ๆ กับที่อีกฝ่ายขยันชวน “พี่พิมพ์เสร็จแล้วค่ะ หนูเช็กพวกแจกันแล้วก็กระเช้าด้วยนะคะ” น้องเหมยเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสมุดรายการของในร้าน “ขอบใจนะ กลับบ้านไปพักได้แล้วนะน้องเหมย” “ค่ะพี่ เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” น้องตัวเล็กเก็บของและโบกมือลาเราทุกคนในร้านก่อนจะเดินออกไปโดยมีแฟนเจ้าตัวมารับได้สักพักแล้วล่ะ แฟนน้องเป็นนายแบบชื่อดังเลยนะ ทั้งเพื่อนฉันและน้องมาลีก็ปลื้มอยู่ห่าง ๆ เช่นเดียวกันกัน และนายแบบคนนั้นคือน้องความสุขน่ะ “มาลี เก็บโต๊ะได้เลยนะ ไม่มีออเดอร์แล้ว ส่วนของที่ลูกค้าจะเข้ามารับพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวพี่จัดการเอง” “ได้ค่ะพี่พิมพ์” มาลีขานรับและเริ่มทำความสะอาดโต๊ะกลางร้านที่มีไว้ที่วางดอกไม้และจัดดอกไม้ตามรายการสั่งซื้อของลูกค้า และฉันยังอยู่ที่ร้านจวบจนถึงเย็น หลังจากที่มีคุยงานกับลูกค้าที่จะให้ไปจัดหน้างานให้ฉันเองก็ตอบตกลงและคุยเรื่องเวลาที่จะนัดไปดูหน้างานแล้วเรียบร้อย และระหว่างที่นั่งจัดดอกไม้ให้ลูกค้าที่จะเข้ามารับพรุ่งนี้เช้าอยู่นั้น สายตาก็มองเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินมาทรุดนั่งที่ริมประตูหน้าร้าน ความรู้สึกแรกฉันนึกว่าเป็นลูกค้ามาสั่งดอกไม้ถึงได้วางดอกไม้ในมือลงและเดินออกไปเปิดประตูเพื่อแจ้งว่าตอนนี้ร้านปิดแล้ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าใครอีกคนที่นั่งฟุบหน้าลงบนเข่าตัวเองนั้นคล้ายกับกำลังร้องไห้อยู่เงียบ ๆ จนตอนนี้ฉันเริ่มที่จะลังเลแล้วเช่นเดียวกันว่าควรจะเข้าไปไหม หรือปล่อยให้เด็กคนนี้นั่งร้องไห้ต่อไป ฉันยืมมองเด็กคนนั้นสักพักก่อนจะเดินกลับเข้าร้านเพื่อหยิบทิชชูแล้วเดินออกมาก่อนจะทรุดนั่งอยู่ไม่ไกลจากเด็กคนนั้น ที่พอรู้สึกตัวว่ามีคนนั่งลงก็เหมือนจะหยุดร้องไห้แล้วรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า ฉันจึงยื่นทิชชูให้เงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองแต่ฉันกลัวว่าอีกฝ่ายจะอายเลยไม่ได้หันไปมองแต่มือก็ยังคงยื่นทิชชูไปให้ กระทั่งอีกฝ่ายรับไปเช็ดน้ำตาและเราทั้งสองคนก็นั่งอยู่เคียงข้างกันเงียบ ๆ นานหลายนาที “เหนื่อยเหรอ?” เป็นฉันที่เอ่ยถาม สายตายังจ้องมองไปเบื้องหน้าที่เป็นถนนและมีรถวิ่งผ่านไปมาอยู่เรื่อย ๆ ไร้ทีท่าที่ท้องถนนจะว่างเปล่าจากยานพาหนะ “ครับ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงแผ่ว “หิวข้าวไหม?” กระทั่งถามออกไปแบบนั้นก็รับรู้ได้อีกครั้งว่าอีกฝ่ายสะอื้นและฟุบหน้าลงอีกครั้ง “รอก่อนนะ” ฉันบอกเด็กคนนี้แล้วรีบเดินกลับเข้ามาภายในร้าน เพื่อหยิบแซนด์วิชที่ซื้อมาไว้แต่ยังไม่ได้กินรวมถึงนมกล่องอีกหนึ่งกล่องและไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอหยิบก้านดอกไม้เล็ก ๆ ติดมือมาด้วยหวังว่าคนที่ได้รับจะไม่คิดว่ามันคือของเหลือหรอกนะ “พี่มีแค่แซนด์วิชแล้วก็นม กินรองท้องไปก่อนนะ” ฉันทรุดนั่งไม่ไกลจากเด็กคนนั้นมือก็ยื่นของว่างไปให้ น้องยื่นมือมารับไปอย่างเกรงใจ “ขอบคุณครับ” “พี่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเราไปเจออะไรมา แต่สิ่งไหนที่ทำ ที่เป็นอยู่แล้วมันทำให้เราไม่มีความสุข ไม่สบายใจ แค่ขยับออกมาแค่นั้นเองนะ” “...” “ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรอยู่ อย่างน้อยขอให้รู้ว่าพี่จะเป็นกำลังใจนะ” “ครับ” “กลับไปพักได้แล้ว ฝนจะตกแล้วนะ” ฉันเอ่ยบอกเด็กคนนี้อย่างที่คิด และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเจอหรือกำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่แต่เท่าที่สังเกต บนร่างกายน้องมีรอยช้ำอยู่หลายจุดและมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งท่อนแขนที่พ้นจากขอบแขนเสื้อ หรือมุมปากที่มีรอยช้ำ ท่าทีหวาดกลัวของน้องนั่นอีก ฉันเองก็เป็นห่วงแต่ก็ทำได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น หวังว่าน้องจะไม่ต้องทนอยู่กับความรุนแรงที่ได้รับไม่ว่าจะจากใครก็ตาม ฉันนั่งอยู่เป็นเพื่อนน้องกระทั่งอีกฝ่ายหันมามองหน้าฉันนิ่ง ๆ แววตาเศร้าหมองและเจ็บปวดของน้องกำลังจ้องมองมาที่ฉันเงียบ ๆ ฉันเองในตอนนี้ทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เท่านั้น เด็กตรงหน้าพยักหน้าส่งให้ฉันก่อนจะค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวขอบคุณฉันก่อนจะวิ่งหนีไปอีกทาง “วิ่งช้า ๆ นะขอให้ไม่หกล้มจนบาดเจ็บ” ทำได้เพียงแค่กระซิบผ่านสายลมตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย “เหม่ออะไรคะ?” ช่วงเวลาสองทุ่มพิมพ์ขวัญที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่นั่งเหม่อ และฉันแทบจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองนั่งเหม่อไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งน้องถามเอ่ยเรียกย้ำ ๆ แบบนั้น “อ้อ ไม่มีอะไร คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” “มีอะไรไม่สบายใจบอกหนูได้เลยนะคะ” พิมพ์ขวัญรีบเอ่ยบอกอย่างเป็นห่วงเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นว่าฉันนิ่งและเหม่อไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่จะไปกล้าพูดได้ยังไงกันล่ะว่าที่เหม่อไปเป็นเพราะฉันเอาแต่นึกถึงแววตาเจ็บปวดของเด็กคนนั้นที่ได้เจอเมื่อตอนเย็น ฉันไม่สามารถลบเลือนแววตาคู่นั้นไปจากความคิดได้เลย “กินข้าวเถอะหิวแล้วล่ะ” “ก็ได้ ๆ ไม่ถามแล้ว อ้อ งานที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาพี่จะไปทำไหมคะ?” จู่ ๆ พิมพ์ขวัญก็เอ่ยถามถึงงานที่มีเข้ามา “รับอยู่ หน้างานไม่ใหญ่เป็นงานแต่งเล็ก ๆ น่ะ สตูดิโอนั้นพี่เองก็เคยไปจัดแล้วเหมือนกัน อีกอย่างเจ้าสาวขอดอกไม้หลักเป็นกุหลาบขาวแล้วก็ดอกลิลลี่สีชมพูน่ะ” ฉันเล่าธีมงานให้น้องสาวได้ฟังเบื้องต้นแล้วเช่นเดียวกัน “ต้องสวยมาก ๆ แน่เลย กุหลาบขาวกับลิลลี่สีชมพูน่ะ” “อื้อ เดี๋ยวจะร่างแบบให้ลูกค้าดูก่อนแล้วด้วย พรุ่งนี้นู่นแหละ” “โอเคค่ะ พี่กินข้าวเยอะ ๆ เลยนะคะ พรุ่งนี้ต้องใช้ความคิดเยอะ” พิมพ์ขวัญบอกมือก็คีบหมูที่สุกแล้วมาใส่จานให้อย่างน่ารัก ฉันเองก็คีบกลับคืนไปให้น้องด้วยในบางโอกาส เราสองพี่น้องนั่งกินข้าวและนั่งพูดคุยกันในหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน จวบจนกินข้าวเสร็จถึงได้ช่วยกันเก็บจานชามทำความสะอาดแล้วแยกย้ายกันกลับขึ้นไปพักผ่อน เพราะต่างฝ่ายต่างรู้สึกเหนื่อยจากงานที่ทำในวันนี้เป็นอย่างมาก น้องสาวฉันขับรถวนไปส่งดอกไม้ทั่วแทบจะทุกเขตเลยก็ว่าได้ ส่วนฉันก็มีออเดอร์เข้ามาเกือบเจ็ดช่อหลังช่วงเวลาเลิกงานยังไม่รวมกับของลูกค้าที่สั่งไว้และทุกรายการลูกค้าจะมารับพรุ่งนี้เช้าตอนร้านเปิด ยังดีที่ฉันจัดเสร็จหมดแล้ว พรุ่งนี้อาจจะให้มายด์ช่วยรับลูกค้าแทน เดี๋ยวช่วงเช้ามืดฉันต้องไปตลาดดอกไม้ด้วยเพราะดอกไม้บางชนิดก็หมดแล้วแต่ยังไม่ถึงรอบส่งเลย ต้องไปซื้อมาติดร้านไว้ก่อนน่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD