สำรวยกำลังใช้แส้ปัดที่นอนอยู่ในเวลาที่แจ่มจันทร์เดินเข้ามาในห้อง แล้วจู่ๆ แจ่มจันทร์ก็หัวเราะขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จนนางต้องหันไปมองและถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“หัวเราะบ้าบออะไรของแกนังจันทร์”
“หัวเราะนังก้อยนะสิแม่ แหมพูดจาเหมือนคนเพ้อฝัน มันบอกฉันว่าไอ้เทวัญพามันไปอยู่เมืองนอก ฮ่าๆ เด็กกำพร้าแบบไอ้เทวัญนี่นะมีปัญญาพานังก้อยหนีไปไกลขนาดนั้น เอ...” แจ่มจันทร์ทำท่าครุ่นคิด แล้วตบมือผางก่อนพูดกลั้วหัวเราะ
“หรือมันหมายถึงเขมร พม่า ลาว พวกนี้แม่” แจ่มจันทร์หัวเราะร่วนอย่างขบขันเมื่อนึกถึงใบหน้าเทวัญผู้ชายที่กณิศาหนีตามไป แม้ว่าเทวัญจะหน้าตาดีแต่เป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ของกณิศาอุปการะส่งเสียให้เรียนหนังสือหลังจากพ่อแม่ที่เป็นคนงานในไร่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เทวัญเองก็ช่วยงานในไร่อย่างขยันขันแข็งสมกับได้รับความเมตตา
เทวัญไม่ได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไหนๆ ถึงแม้จะเป็นคนเรียนดีเข้าขั้นเรียนเก่ง แต่เลือกที่จะเรียนมหาวิทยาลัยเปิด แล้วช่วยงานทำไร่ทำสวนอยู่ที่นี่ยิ่งเพิ่มความรักใคร่เอ็นดูจากทั้งพ่อแม่ของกณิศามากขึ้น จนเมื่อเทวัญเกิดชอบพอกับกนกกรเพราะความใกล้ชิดขึ้นมาจึงไม่มีใครกีดกันความรักของคนทั้งสอง และพร้อมจะจัดงานมงคลสมรสให้หลังจากนกรกรเรียนจบ แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่ากณิศาจะชักชวนเทวัญให้หนีตามกันไปก่อนวันงานแต่งไม่กี่วัน งานที่ตระเตรียมไว้ต้องล้มเลิก ชุดบ่าวสาวที่เช่าไว้ต้องบอกคืนสูญเงินค่ามัดจำ มีแต่ภาพชุดวิวาห์ที่ถ่ายไว้กระมังที่ไม่สามารถบอกคืนไปได้ กนกกรต้องรับรูปแต่งงานตัวเองมานั่งมองแล้วทำหน้าเศร้า น้ำตานองครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นที่สมเพชเวทนาของใครต่อใคร
แต่ไม่ใช่เธอแน่นอน เพราะเธอไม่อยากให้กนกกรแต่งงานกับเทวัญสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้เทวัญจะจนเป็นแค่เด็กในบ้าน แต่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการ บ่อยครั้งที่เธอชายตามองแล้วส่งยิ้มมีเสน่ห์ ทอดสะพานทั้งท่าทางและวาจา แต่เทวัญไม่มีท่าทีจะสนใจ ก็แน่อยู่แล้วคนอาศัยอย่างเธอหรือจะสู้ลูกสาวเจ้าของบ้านได้ เมื่องานวิวาห์ล่มแจ่มจันทร์จึงเป็นคนที่หัวเราะอย่างสะใจดังที่สุด และยิ่งสะใจเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เมื่อกณิศาเป็นคนแย่งเทวัญไปจากกนกกร
“จะไปอยู่ที่ไหนก็เรื่องของมัน จำไว้ให้ดีแกอย่าทำตัวเป็นศัตรูมันออกนอกหน้าละ เรานะมาอาศัยบ้านเขาอยู่จำใส่กะลาหัวเอาไว้”
“จ้า” แจ่มจันทร์ลากเสียงอย่างขัดใจ ก่อนกระโดดขึ้นเตียงนอนตะแคงหันหลังให้แม่ทันที จึงไม่เห็นนางสำรวยส่ายหน้าระอา
นางสำรวยเดินไปปิดไฟแล้วมาล้มตัวลงนอนข้างๆ แต่หัวยังไม่ทันถึงหมอนแจ่มจันทร์ก็ลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาถามเสียงกระตือรือร้น
“แม่ว่าคุณเคนเขาเป็นยังไงบ้าง”
“เคนแฟนนังเกดนะหรือ” นางถามอย่างแปลกใจ แจ่มจันทร์รีบพยักหน้ารับทันทีแล้วถามย้ำ
“แม่ว่าไง เหมาะกับฉันไหม”
“เหมาะกับแก” นางสำรวยเสียงดังอย่างคาดไม่ถึง ก่อนลดเสียงลงมา
“แกคิดอะไรของแก แฟนเขาตายไปยังไม่เผาเลยนะ”
“โธ่แม่ มันก็ต้องใช้ช่วงเวลานี้แหละแสดงความห่วงใจปลอบใจเขา ยิ่งเวลาเขาเมามายไม่ได้สติเพราะเสียใจ ฉันก็จะเข้าไปหารับรอง เสร็จ เหมือนในละครไงแม่” แจ่มจันทร์ดีดนิ้วเป๊าะกับความคิดของตน ก่อนจะร้องโอดครวญเมื่อนางสำรวยตีเพี๊ยะเข้าที่ต้นขา
“โอย แม่ตีทำไมเล่า”
“อย่าให้มารหัวขนมันเล็ดออกมาก่อนแต่งงานแบบนังก้อยละ ฉันฆ่าแกตายแน่นังจันทร์”
“ไม่มีทางฉันไม่โง่แบบนังก้อยหรอกน่า ฉันรู้จักป้องกันตัวนะแม่”
“เออให้มันจริงอย่างปากพูดเถอะ นอนเสียทีพรุ่งนี้ต้องไปวัดแต่เช้าอีก” นางสำรวยตัดบท ล้มตัวลงนอนจะชักผ้าขึ้นมาห่มแต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เปิดพัดลมเหมือนเช่นทุกคืน นางจึงไม่ห่มผ้า แต่แจ่มจันทร์ก็บ่นกระปอดกระแปดออกมาอีกจนได้
“ร้อนจะตายนอนยังไงละนี่”
“อย่าบ่นได้ไหม ร้อนมากแกก็ไปเปิดหน้าต่างกว้างๆ ม่านก็รวบไว้เสียด้วย”
แจ่มจันทร์ลุกจากเตียงเดินไปทำตามที่นางสำรวยบอกโดยไม่ปริปากบ่นอีก หญิงสาวเปิดมุ้งลวดออกไปแล้วผลักบานหน้าต่างให้กว้างขึ้น พลันสายตาเธอประสานเข้ากับสายตานายชาติที่มองขึ้นมาพอดี หญิงสาวอ้าปากจะถามแต่ยั้งปากเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นฝ่ายชายชี้นิ้วหย็อยๆ ไปที่ทางห้องของกณิศา คงมีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกณิศาไว้ค่อยถามเมื่อสบโอกาสจะดีกว่า
แจ่มจันทร์จึงพยักหน้าเล็กน้อยหวังว่านายชาติคงมองเห็นได้แม้จะอยู่ในความสลัว ก่อนขยับออกห่างแล้วปิดหน้าต่างมุ้งลวดไว้อย่างเดิม รูดม่านไปไว้ด้านหนึ่งมัดเอาไว้เพื่อไม่ให้ขวางทางลม แล้วพาลแค้นเคืองกณิศาที่จู่ๆ ก็มาแย่งพัดลมไป
ฉันต้องมาลำบากเปิดหน้าต่างเพราะแกคนเดียวนังก้อย
นางสายบัวเตรียมตัวไปวัดแต่เช้าตรู่ เพื่อไปดูแลตระเตรียมภัตตาหารหวานคาวไว้ถวายเพลพระ และต้อนรับเพื่อนบ้านที่อาจแวะเวียนมาตอนกลางวัน บ้างมาช่วยตระเตรียมของไว้รับแขกที่จะมาฟังสวดในตอนค่ำ บ้างมาชวนพูดคุยให้คลายความทุกข์ใจ
นางสายบัวเดินผ่านห้องที่กณิศานอนก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงเด็ก นางถอยกลับไปตะแคงหูฟังใกล้ประตูก่อนจะผลักเข้าไปเมื่อแน่ใจว่าเป็นเสียงร้องของเด็กหญิงที่กณิศาบอกว่าชื่อรวงข้าว
เด็กน้อยนั่งร้องไห้เบาๆ อยู่บนเตียง ดวงตาเปียกชุ่มนั้นแลกวาดอย่างหวาดผวา และเหมือนจะมองหาใครสักคน พอเห็นหญิงวัยกลางคนเปิดประตูเข้ามา เด็กน้อยก็เหมือนจะคลานมาหาทันที
“ว้าย! ไม่มาลูกเดี๋ยวตก” นางสายบัวร้องห้ามอย่างตกใจแล้วถลาไปถึงเตียงกอดเด็กหญิงที่ยังสะอื้นไห้อยู่แนบอก ใจนางเองก็เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ยามคิดหวาดเสียวถ้าหากเข้ามารับร่างน้อยไว้ไม่ทัน
ประตูห้องน้ำเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของกณิศาในชุดกระโจมอกผ้าขนหนูพรวดพราดออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นลูกสาวของตนเองอยู่ในอ้อมกอดของแม่
“ปล่อยเด็กเล็กๆ ไว้บนเตียงตามลำพังได้ยังไง ดีนะไม่ตกลงมาหัวร้างข้างแตก” นางสายบัวตำหนิเสียทันทีที่เห็นหน้ากณิศา แม้จะเห็นอยู่แล้วว่ากณิศามีสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“คือ เมื่อกี้รวงข้าวยังหลับอยู่ค่ะแม่ ก้อยเลยรีบไปอาบน้ำจะได้ไปช่วยที่วัดแต่เช้า” กณิศาบอก มันอาจฟังเป็นการแก้ตัวแต่มันก็คือความจริง ทว่าคำของแม่ทำให้ความตั้งใจของเธอต้องชะงัก รอยยิ้มที่พยายามมอบให้หุบลงด้วยความสะท้อนใจ
“อยู่บ้านเลี้ยงลูกไปเถอะ อย่าไปประจานฉันที่วัดอีกเลย”
“แม่” กณิศาพ้อเสียงหลง น้ำตาเอ่อล้นจนหลั่งรินออกมาทางร่องแก้มโดยเธอเองอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เพราะคำพูดของแม่นั้นชี้ชัดยังไม่ให้อภัยเธอเลย
สายตาแข็งกร้าวและติเตียนของนางสายบัวที่มองกณิศาอ่อนลงทันทีที่เห็นน้ำตาของลูก แต่เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ความเจ็บปวดจากการกระทำของกณิศาในครั้งก่อนก็ย้ำเตือนไม่ให้นางใจอ่อน แต่ยังมีความปราณีอยู่บ้างที่เห็นความตั้งใจจะมาร่วมงานศพของกนกกรพี่สาว นางจึงพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ใกล้เพลจะให้คนมารับ”
“ขอบคุณค่ะแม่” กณิศายกมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจ รอยยิ้มบางๆ ปรากฎตรงมุมปาก อย่างน้อยแม่ก็มีท่าทีอ่อนลงและเธอก็มั่นใจว่านางสายบัวยังตัดเธอไม่ขาด ไม่เช่นนั้นคงไม่สนใจลูกของเธอขนาดนี้ ถึงแม้เวลานี้แม่จะเมินไม่ยอมรับการไหว้ขอบคุณจากเธอ
“อาบน้ำเสร็จหรือยังละ เอาลูกแกไปเสียทีฉันต้องรีบไปวัด” นางสายบัวบอกเสียงตวัดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงวัดที่มีร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวอีกคนรออยู่
กณิศารีบรับเด็กหญิงรวงข้าวมาอุ้ม ก่อนบอกลูกเบาๆ
“บ๊าย บายคุณยายสิลูก”
นางสายบัวอ้าปากจะท้วงอย่างถือทิฐิไม่ยอมให้เรียกตนเองว่ายาย ทว่าแค่เด็กน้อยที่ร้องไห้สะอื้นอยู่เมื่อครู่หันมาส่งยิ้มจนเห็นฟันซี่เล็กๆ สี่ซี่ด้านหน้า พร้อมทำมือโบกไปมาใจนางก็อ่อนยวบ นิ้วมือเหี่ยวตามวัยจับแก้มยุ้ยๆ ที่ชื้นน้ำตาของเด็กหญิงรวงข้าวแล้วยิ้มให้แม้ไม่มีคำพูดใดๆ แต่นางก็โบกมือตอบก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
โดยกณิศายืนมองยิ้มด้วยความตื้นตันใจ