กณิศาเดินลงบันไดที่มีหลอดประหยัดไฟแสงสีนวลเปิดเอาไว้ส่องทาง และเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เธอเริ่มจำความได้ พ่อเคยบอกไว้ว่าประหยัดไฟตรงไหนก็ประหยัดได้ด้วยการปิด แต่ไฟบันไดห้ามปิดเด็ดขาดต้องเปิดไว้ตลอดทั้งคืน เพราะพ่อไม่อยากลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อพาใครต่อใครไปส่งโรงพยาบาลเพราะตกบันไดหัวร้างข้างแตก เช่นเดียวกับไฟตรงระเบียงหน้าบ้านพ่อก็ให้เปิดเอาไว้ คนมองเข้ามาจะได้รู้ว่าบ้านพักอาศัยของคน ไม่ใช่บ้านทิ้งรกร้างจนเกิดความกลัวและร่ำลือกันไป
พ่อบอกว่าบ้านไหนที่คนมองแวบแรกแล้วคิดว่าเป็นบ้านร้างมันจะไม่เป็นมงคลกับคนที่พักอาศัย
กณิศาถอนหายใจ คำพูดของพ่อเหมือนจะมีผลตรงกันข้ามกระมัง จะเป็นมงคลได้อย่างไรเมื่อพ่อเองก็มาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แล้วนี่กนกกรก็เสียชีวิตไปอีกคน ส่วนตัวเธอเองก็มีอันต้องจากบ้านหลังนี้ไปนานเป็นปีๆ แต่ถึงอย่างไรคำสั่งของพ่อคนในบ้านก็ยังปฏิบัติตามเรื่อยมา และสอดคล้องกับนโยบายของอบต.คนใหม่ที่นิพลพร่ำเยินยอ เวลานี้บ้านทุกหลังจึงพร้อมใจกันเปิดไฟหน้าบ้านๆ ละหนึ่งดวง
แสงไฟจากระเบียงหน้าบ้านส่องเข้ามาให้ความสว่างในบ้านทางกระจกหน้าต่าง แม้ไม่มีแสงจ้าเหมือนเปิดไฟกลางบ้านโดยตรง แต่ก็พอมองอะไรเห็นได้จึงไม่จำเป็นต้องเปิดไฟอีกดวง
กณิศามองหากระเป๋าเดินทางที่นิพลหิ้วมาวางไว้ให้ ก่อนชะงักเท้าที่กำลังเดินไปยังจุดที่กระเป๋าวางอยู่ เมื่อเห็นร่างตะคุ่มก้มๆ เงยๆ อยู่ใกล้กระเป๋าของเธอ
“ใครน่ะ” กณิศาร้องถามออกไปพร้อมถอยไปหาแผงควบคุมไฟฟ้า จากที่ไม่คิดจะเปิดก็ต้องเปิดเพื่อดูหน้าคนที่เห็น เธอไม่คิดถึงสิ่งเร้นลับและไม่คิดว่าจะเป็นวิญญาณของกนกกรที่เพิ่งเสียชีวิต แต่คิดไปถึงขโมยพวกย่องเบาเสียมากกว่าเพราะบ้านนี้ไม่มีผู้ชายซ้ำยังจัดงานศพอยู่ คนในบ้านย่อมเหน็ดเหนื่อยจากการต้อนรับคนมาร่วมแสดงความเสียใจทันทีที่หัวถึงหมอนอาจจะหลับเป็นตายก็ย่อมได้ สบช่องให้พวกตีนแมวย่องเบาเข้ามารื้อค้นทรัพย์สินและลักขโมยของมีค่าไป
ทันทีที่ไฟสว่างขึ้น ร่างตะคุ่มที่ก้มๆ เงยๆ ก็สะดุ้งหันขวับไปทางต้นเสียง
“ชาติ”
“ครับคุณก้อยผมเอง” ชายหนุ่มชื่อชาติยิ้มแห้งๆ ให้กณิศา
“จะทำอะไรน่ะ” กณิศาถามอย่างแคลงใจ ไม่คิดว่าลูกชายแม่ครัวที่อยู่กันมาตั้งแต่เธอยังเล็กๆ จะเป็นขโมย เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเข้ามาในบ้านยามวิกาลทำไมถ้าไม่มีคนเรียกหา
“เอ่อ..คุณจันทร์ให้ยกกระเป๋าขึ้นไปให้คุณครับ” นายชาติตอบตะกุกตะกักจนกณิศาอดสงสัยไม่ได้ อีกอย่างคนอย่างแจ่มจันทร์น่ะหรือจะมีน้ำใจขนาดไหว้วานนายชาติให้ยกกระเป๋าขึ้นไปให้เธอ ขนาดหิ้วพัดลมมาให้จากห้องก็ทำท่าไม่พอใจเสียยกใหญ่
“ไม่เป็นไรฉันยกขึ้นไปเองได้ นายกลับไปได้แล้ว” กณิศาออกปากไล่ เห็นนายชาติชายตามองเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนเดินจากไป หญิงสาวมองตามจนนายชาติลับสายตาไป ก็หันมามองกระเป๋าของตัวเอง ใจเธอไม่คิดว่านายชาติจะขโมยของในกระเป๋า เพราะไม่มีของมีค่าอยู่ในนั้น แต่เป้าหมายของนายชาติคืออะไรไม่อาจคาดเดา แต่มั่นใจว่าเห็นนายชาติทำเหมือนจะเปิดกระเป๋าของตนเอง
กณิศาระบายลมหายใจช้าๆ ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เธอรีบยกกระเป๋าไปข้างบนเพราะปล่อยลูกน้อยนอนอยู่บนเตียงคนเดียวนานๆ ไม่ดี แปลกสถานที่เช่นนี้อาจตื่นขึ้นมาไม่เห็นใครแล้วจะหวาดกลัวร้องไห้ได้
หญิงวัยกลางคนมาหยุดยืนมองร่างกระจ้อยร่อยที่นอนหลับสนิทบนเตียง ร่างกายเล็กๆ ถูกล้อมกรอบด้วยหมอนข้างและหมอนหนุนใบโตสำหรับผู้ใหญ่ ผมสีดำหยักศกปลิวหยอยๆ ตามแรงลมระแก้มป่องของเด็กน้อยจนอดรำคาญแทนไม่ได้ นางสายบัวจึงยื่นมือไปจะปัดให้
“อุ๊ย!” กณิศาเปิดประตูเข้ามาแล้วอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นคนในห้อง เมื่อครู่ลงไปก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของนายชาติ พอเข้ามาในห้องก็เห็นคนอยู่ในห้องอีกจึงอดตกใจไม่ได้ แต่พอนางสายบัวหันมาเพราะเสียงตกใจของตนเธอก็ใจชื้นขึ้น
“แม่เองหรือคะ” กณิศาพยายามส่งยิ้มให้
จากอากัปกิริยาเมื่อครู่เห็นได้ว่านางสายบัวกำลังจะทำอะไรสักอย่างกับรวงข้าว อาจจะอยากแตะเนื้อต้องตัว จับแก้มป่องๆ ที่ใครๆ ก็ชอบ ซึ่งเธอหวังให้เป็นเช่นนั้น
นางสายบัวรีบชักมือกลับในทันทีที่ได้ยินเสียงอุทานของบุตรสาว และเมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มของกณิศาใบหน้านางกลับนิ่งเฉยแต่ความเจ็บลึกแล่นพร่านในหัวใจ เมื่อวันที่กนกกรเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทันหันนางเหมือนอยู่เพียงคนเดียวในโลก ลูกสาวสองคนที่เคยมีต่างจากไปแบบไม่หวนกลับ กณิศาจากไปก่อนโดยไร้การติดต่อหรือส่งข่าวคราวใดๆ เหมือนตายจากกันไปแล้ว แล้วกนกกรก็มาตายจากไปจริงๆ อีกคนอย่างไม่มีวันกลับ แต่วันนี้กณิศากลับมาพร้อมเด็กตัวน้อยอีกคน แม้ยังไม่รู้ว่าจะมาอยู่ถาวรหรือแค่มาร่วมงานศพก็ตามที แต่มันก็ทำให้ความรู้สึกว่าเสียลูกไปหมดแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไป ทว่ายังเจ็บปวดกับการกระทำหุนหันพลันแล่นของกณิศาอยู่ดี นางสายบัวจึงไม่มีให้แม้แต่รอยยิ้ม
“หลานสาวค่ะแม่ ชื่อรวงข้าว” กณิศาเองก็ยอมรับว่าเคอะเขินที่จะพูดกับแม่เมื่อพบเจอในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงเสบอกเรื่องลูกสาวเพราะเห็นอยู่ว่านางสายบัวมายืนดู และเหมือนจะเอื้อมมือไปทำอะไรสักอย่างใกล้ๆ เด็กน้อย
นางสายบัวไม่อยากเจรจากับกณิศาแต่ก็อดห่วงเด็กเล็กไม่ได้ จึงบอกออกไปโดยไม่ยอมมองหน้าหรือสบตา
“พัดลมจ่อเด็กแบบนี้ไม่ดี ให้ส่ายจะดีกว่า แล้วขยับไปห่างๆ หน่อยจะได้ไม่เป็นหวัด”
“อ๋อค่ะ ขอบคุณค่ะแม่” กณิศาอยากฉีกยิ้มด้วยความดีใจที่แม่ห่วงใยและใส่ใจเสียเหลือเกิน และอธิบายเหตุผลที่เปิดพัดลมให้ลูกเสียใกล้ขนาดนี้
“รวงข้าวติดแอร์เพราะขี้ร้อนค่ะแม่ ถ้าเหงื่อออกแกจะโยเยไม่ยอมนอน ก้อยเลยเปิดพัดลมจ่อให้”
“ก็เปิดแรงหน่อยแต่ให้มันส่าย อย่ามาจ่อแบบนี้จะไม่สบายเอาได้ หาผ้ามาปิดหน้าอกให้ด้วย จะได้ไม่ตกใจผวา” นางบอกแล้วเดินผ่านหน้ากณิศาที่ยิ้มให้น้อยๆ โดยทำทีไม่แยแส แต่ในใจนางตอนนี้สับสนทั้งดีใจและเสียใจคละเคล้ากันไป
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วงหลาน” กณิศากล่าวตามหลัง แล้วสะดุ้งตกใจเมื่อแม่หันขวับกลับมาสีหน้าไม่พอใจเป็นอันมาก
“ไม่ใช่หลานฉัน ฉันไม่เคยมีลูกชั่วๆ อย่างแก” สายตาเจ็บช้ำของนางมองกณิศาเขม็ง ก่อนละสายตาหนีแล้วเดินจากไป
“แม่” กณิศาพ้อเสียงละห้อย มองตามนางสายบัวอย่างน้อยใจ คำพูดและแววตาของแม่นั้นชี้ชัด ยังโกรธเธอไม่หาย กณิศารีบเงยหน้าขึ้นเพื่อกันมิให้น้ำตาที่กำลังคลอหน่วยไหลย้อยออกมา ก่อนเดินไปปิดประตูให้แน่นหนาเมื่อนางสายบัวออกจากห้องไปแล้ว
แม่ยังโกรธก้อย แม่ไม่ให้อภัยก้อยหรือคะ