รถเก๋งสีขาวแล่นเข้ามาจอดในที่จอดรถของธนาคาร ช่วงบ่ายของเวลาทำงานและเป็นกลางสัปดาห์ผู้คนที่มาติดต่อทำธุรกรรมทางการเงินกับทางธนาคารนั้นมีไม่มากนัก จึงหาที่จอดรถได้ไม่ลำบาก
ชยธรขยับรถไปมาไม่นานก็จอดเข้าที่ก่อนจะชายตามองหญิงสาวที่นั่งหน้านิ่งจนมองเป็นง้ำงอมาตลอดทาง เขารู้ว่าเธอไม่พอใจและไม่เต็มใจจะมากับเขา แต่เพราะเป็นคำสั่งของนางสายบัวกณิศาจึงไม่กล้าปฏิเสธ และเหตุผลที่นางสายบัวให้กณิศามากับเขานั้นเพราะสิ่งที่เธอต้องมาทำที่ธนาคาร คือการนำเงินจำนวนหนึ่งที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในงานศพของกนกกรมาเข้าบัญชี แจ่มจันทร์ก็ไปส่งของต่างอำเภอกับนายชาติ ถ้ากณิศาไม่มากับเขาก็ต้องมาคนเดียวซึ่งนางสายบัวคิดว่าไม่ปลอดภัย และการทิ้งเด็กหญิงรวงข้าวที่กำลังนอนหลับไว้กับนางสายบัวทำให้เธอต้องรีบไปรีบกลับ การมากับเขาจึงเหมาะสมที่สุด
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวใครๆ ก็หาว่าพี่ฉุดเธอมาหรอก” เขาบอกเมื่อดับเครื่องยนต์พร้อมที่จะลงจากรถแล้วจึงถูกกณิศาค้อนให้ เธอสะพายกระเป๋าแล้วผลุนผลันลงจากรถไปทันที ชยธรรีบลงรถแล้วเดินแกมวิ่งตามกณิศาไปติดๆ เมื่อไล่ทันก็ตำหนิเบาๆ
“จะรีบทำไม รอกันก่อนสิ พี่มาเป็นเพื่อนเพราะอะไรก็รู้ดี”
“ใครมันจะรู้ไม่ได้แปะหน้าผากไว้นี่ว่าหิ้วเงินมาฝากธนาคาร” กณิศาหันไปว่าเขา แม้เสียงพูดของเธอจะเบาหวิวแต่ใบหน้านั้นบูดบึ้งเป็นอย่างมาก
“คิดตื้นๆ ทำไมจะไม่รู้ บ้านเราเพิ่งจัดงานไป เงินทำบุญเงินช่วยงาน คนมันต้องคิดว่าเงินเหลือเลยเอามาเข้าธนาคาร ไหนจะเงินค้าขายอีก” ชยธรหยุดพูดทำเสียงฮึแล้วยิ้มแกนๆ ก่อนพูดต่อ
“ไม่ได้อยู่รับรู้ความเป็นไปของที่บ้านก็อย่างนี้แหละ”
“นายเคน” กณิศาเอ่ยชื่อเขาอย่างแค้น ถ้าทำได้อยากกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความเคืองที่ถูกเขาแขวะ
“พี่พูดความจริงแล้วเลิกทำหน้ายักษ์เสียที น่าเกลียดมาก”
“น่าเกลียดก็เรื่องของฉัน” กณิศาสะบัดหน้าใส่เขาแล้วเดินเข้าประตูที่พนักงานธนาคารรอเปิดให้สวนทางกับนิพลที่กำลังเดินออกมาพอดี
“สวัสดีครับคุณก้อย” นิพลยิ้มแย้มทักทายแล้วชายตามองชยธรที่เดินตามหญิงสาวมาติดๆ แต่ทำหน้าเฉย เขาเห็นทั้งสองมาด้วยกันและหยุดพูดคุยเหมือนคนทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว นิพลเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที
“สวัสดีครับคุณนิพล มาทำธุระให้พี่ชายหรือครับ” ชยธรรีบชิงทักทายเพราะเห็นสีหน้าและแววตาก็รู้ว่านิพลไม่คิดจะทักเขา จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันที่ไปรับกณิศาจากบ้านชนกันแล้วกณิศาต้องมากับเขา จากวันนั้นพบกันที่งานสวดศพทุกคืนนิพลไม่เคยยิ้มแย้มทักทายเขาเหมือนเมื่อก่อน
คนถูกทักหน้าม้านเหมือนกับโดนแขวะเอา เพราะตัวเองนั้นยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน ได้แต่ช่วยงานพี่ชายซึ่งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ถ้าหากพ้นวาระไม่ได้รับเลือกเข้ามา ก็เท่ากับเขาเองจะตกงานไปด้วย นิพลจึงรีบขอตัวทันทีแม้ยังอยากพูดคุยกับกณิศาก็ตาม
“ครับ ขอตัวก่อน” นิพลเดินตัวปลิวไปที่จอดรถของธนาคาร
กณิศามองตามอย่างงุนงงที่เขารีบร้อนจากไปทั้งที่เธอยังไม่ได้กล่าวทักทายตอบ และเหตุผลที่นิพลรีบร้อนขนาดนั้นต้องเกี่ยวเนื่องกับชายหนุ่มที่ยืนทำหน้ายิ้มๆ อยู่ใกล้ๆ เธอเป็นแน่ กณิศาค้อนเขาอีกครั้งไม่ว่าเขาจะเห็นหรือไม่ก็ตามที ก่อนรีบเดินเข้าไปในธนาคารทันที โดยชยธรเองก็เดินตามเธอมาติดๆ
เสร็จธุระที่ธนาคารแล้วชายหนุ่มไม่ได้ขับรถพากณิศากลับบ้านในทันที เขาแวะที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในอำเภอที่เพิ่งเปิดบริการเพื่อซื้อของใช้จำเป็น
“ลงมาก่อน พี่ซื้อของแป๊บเดียว” ชยธรบอกเมื่อจอดรถเตรียมลง แต่กณิศาทำเหมือนไม่ขยับ ชายหนุ่มจึงคะยั้นคะยอต่อ
“เร็วสิจะได้รีบซื้อรีบกลับทิ้งลูกไว้ไม่ห่วงหรือยังไง” เมื่อเขาเร่งกณิศายิ่งหน้าง้ำ แต่เขาไม่รอฟังว่าเธอจะว่าอย่างไร ชยธรลงมายืนนอกรถรอพร้อมสำหรับการล็อกประตู เพื่อบังคับให้หญิงสาวลงไปกับเขาด้วยถ้าหากคิดจะให้รีบซื้อรีบกลับอย่างที่บอก
กณิศาปรายตามองชายหนุ่มนอกรถอย่างเคืองขุ่น แล้วรีบผลุนผลันลงจากรถเดินจ้ำอ้าวไปทางหน้าห้างค้าปลีกโดยไม่รอเขา ชยธรล็อกรถเสร็จก็รีบตามไปทันทีเขาฉวยข้อมือเธอเอาไว้พูดน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ทำไมชอบเดินหนีพี่นะก้อย มาด้วยกันรอๆ กันก่อนไม่ได้หรือยังไง”
“ไม่จำเป็น ปล่อย” กณิศามองเขาตาเขียวขุ่น สะบัดข้อมือเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แต่รับรู้ถึงแรงกดที่บีบแน่นลงมาพร้อมน้ำเสียงดุๆ ตามมาสำทับอีกครั้ง
“ไม่ แล้วเลิกหนีเสียทีกลัวอะไรพี่นักหนา เมื่อก่อนไม่เห็นกลัวนี่” น้ำเสียงเหมือนจะเยาะเย้ยอยู่ในที
“ไม่ได้กลัว แต่เกลียด” กณิศาตอบกลับเสียงดังฟังชัดและไม่ใช่ชยธรคนเดียวที่ตะลึง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินต่างหันมองเป็นตาเดียวแล้วก็เริ่มหันมายิ้มให้กัน บทสนทนาบางอย่างเริ่มดังแผ่วออกจากปากต่อปากเพราะต่างก็รู้จักทั้งสองคนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกณิศานั้นเคยตกเป็นตัวละครในบทสนทนาของใครต่อใครมามากแล้ว
ชยธรพูดอะไรไม่ออกเจ็บจุกกับคำว่าเกลียด ล้มเลิกความตั้งใจเดิมทั้งหมดแล้วเดินกลับไปที่รถเสียทันที
กณิศากดมุมปากอย่างสะใจทว่าเริ่มรับรู้ว่าเป็นเป้าสายตา เมื่อเธอปรายตามองก็เห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของหลายคน และมันไม่ใช่ยิ้มที่มีความหมายในทางที่ดี เธออจึงรีบเดินตามชยธรกลับไปที่รถทันที
“ควงว่าที่พี่เขยมาช้อปปิ้งหรือแม่ก้อย” เสียงตะโกนถามไล่หลังและตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักจนกณิศาอยากปิดหูไม่รับไม่รู้
หญิงสาวก้าวขึ้นนั่งคู่กับชยธรอย่างรวดเร็ว เธออยากให้เขาพาไปจากที่ตรงนี้เสียโดยเร็ว ส่วนชายหนุ่มนั้นมองไปข้างหน้านิ่งโดยไม่ปริปากอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวจนเธอไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินเสียงที่ตะโกนถามหรือไม่ แต่ก็ดีใจที่เขาออกรถทันทีที่เธอนั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย
กณิศาอดชำเลืองไปทางเขาไม่ได้ ถ้าตาไม่ฝาดกณิศาคิดว่าสิ่งที่เธอเห็นคือรอยเจ็บช้ำใจในดวงตาที่มองตรงไปเบื้องหน้า
แค่นี้เจ็บหรือ คุณทำฉันเจ็บกว่านี้หลายเท่านัก กณิศาอยากตะโกนคำนี้ใส่หน้าเขาทว่าได้เพียงแค่คิดเพราะไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ที่ไม่มีทางลบเลือนไปจากใจเธอได้ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
“น่าจะให้เทวัญมาอโหสิกรรมให้เกด ไหนๆ คนก็ตายไปแล้ว” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นทำลายความเงียบจนกณิศาคิดว่าหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำ แต่พอปรายตามาทางเขา ก็สบเข้ากับดวงตาคมกล้าที่มองเธออยู่ก่อนแล้วหญิงสาวรีบเบือนหนีทันที
“มันไม่มาเองหรือก้อยไม่ให้มา” ดูเหมือนเขาจะมีคำถามถึงบุคคลที่สามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาวที่นั่งคู่กันอยู่เช่นเคย ทว่าครานี้เขาไม่ยอมให้เธอเงียบ เขาหันไปมองเธอด้วยสายตาตำหนิ ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถมาจับต้นแขนกณิศา แล้วกระชากเบาๆ ให้เธอรู้ว่าควรตอบคำถามเขามิใช่นิ่งเฉยแบบนี้
“ว่าไง ไม่กล้ามาสู้หน้าคนตายหรือคนเป็นละ”
“เอ๊ะ! เจ็บนะ ปล่อย”
“ไม่ จนกว่าจะตอบพี่มาก่อน ไอ้เทวัญมันหัวหดกล้าทำแต่ไม่กล้ารับ มันเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าถึงปล่อยลูกเมียตากหน้ากลับมาตามลำพัง”
“อย่ามาดูถูกคนอื่น ตัวเองนะดีนักหรือยังไง” กณิศาเสียงแหลมอย่างเคืองขุ่นพยายามปลดมือเขาออกจากต้นแขน รับรู้ถึงแรงที่กดลงมาเรื่อยๆ เธอจึงกระชากมือเขาออกเต็มแรง
รถที่ชยธรบังคับส่ายไปมาเพราะอาการยื้อยุดของทั้งสองคนที่ต่างก็ไม่ยอม จนเสียงสัญญาณเตือนจากรถคันที่แล่นสวนมาดังขึ้นระยะกระชั้น
ชยธรรีบหันไปมองด้านหน้าแล้วหักหลบออกข้างอย่างรวดเร็วก่อนที่หน้ารถจะประสานกัน เดชะบุญที่แถวไหล่ทางไม่มีรถหรือคนเดินถนน ไม่เช่นนั้นอุบัติเหตุเพราะความประมาทของทั้งสองต้องเกิดขึ้น ทว่ามันก็สร้างความหวาดเสียวให้กณิศาที่ปิดตาเผลอกรีดร้องด้วยความตกใจดังไม่แพ้เสียงห้ามล้อเมื่อรถเบี่ยงหัวมาใกล้ต้นไม้ใหญ่ริมทางจนน่าหวาดเสียว
“กรี๊ด!”
“ก้อย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชยธรที่ห้ามรถจนหยุดนิ่งแล้วหันไปถามน้ำเสียงร้อนรนระคนห่วงใย มือใหญ่โอบมากุมไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวที่คะมำไปข้างหน้าให้กลับมานั่งตรง ก่อนที่มือทั้งสองจะละมาประคองใบหน้าพิศมอง
เขาปัดผมที่ปรกหน้าผากของกณิศาออกมองหน้าผากโหนกนูนเกลี้ยงเกลาแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่เป็นข้อดีของเข็ดขัดนิรภัยที่กณิศาคาดเอาไว้โดยแท้
“ไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ” เขาบอกน้ำเสียงอ่อนโยนอยากให้เธอคลายกังวล แล้วรั้งทั้งร่างมากอดปลอบอีกครั้ง
กณิศาเองก็ตกใจไม่น้อยจนมือไม้สั่นไปหมด โอนอ่อนตามชายหนุ่มที่กอดปลอบประโลม มือเรียวยกขึ้นกอดกระชับทว่าต้องหยุดเสียกลางคันเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกรถ ทั้งสองรีบหันไปมองแล้วรีบแยกออกจากกันเมื่อเห็นใบหน้าและดวงตาของคนหลายคนกำลังจ้องเข้ามาในรถ ชยธรลดกระจกรถลงเมื่อคนภายนอกเคาะดังขึ้น
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เสียงถามดังทันทีที่กระจกรถลดระดับลง
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” ชยธรรีบขอบคุณในน้ำใจที่ถามไถ่ แต่ประโยคต่อมาคนได้ยินรู้สึกว่าบาดลึกในน้ำเสียงเหลือเกิน ซ้ำร้ายคนพูดยังหันไปยิ้มกับคนที่มามุงดูรอบๆ รถ
“อ้อ คิดว่าใคร ไปไหนกันมาจ๊ะแม่ก้อยกับว่าที่พี่เขย” ประโยคคำถามแบบนี้ทั้งสองคนรู้ว่า คนถามนั้นไม่อยากได้คำตอบ แค่ขอให้ได้พูดเหมือนรู้ดีว่าสองคนไปทำอะไรบัดสีมาเสียมากกว่า จึงไม่มีใครเอ่ยตอบ
กณิศาขยับนั่งมองตรงไปข้างหน้า ส่วนชยธรก็เลื่อนกระจกรถขึ้นแล้วขับรถออกไปทันที โดยไม่ใส่ใจสายตาและเสียงตำหนิที่ได้ยินตามมา ในทำนองว่าทั้งสองคนไม่มีมารยาท ทั้งสองคนก็รู้ดีว่าเรื่องจะไม่จบแค่คำตำหนิที่ได้ยิน แต่จะมีเรื่องราวให้ได้พูดกันไปอีกพักหนึ่ง จนกว่าจะมีเรื่องใหม่ๆ น่าสนใจกว่ามาพูดแทน
“เจ็บตรงไหนไหมก้อย” ชยธรถามอีกครั้งเมื่อพารถมาไกลสถานที่เกิดเหตุพอสมควร แต่เหมือนคนที่นั่งคู่กันจะใช้อาการนิ่งเงียบแทนคำตอบ ชายหนุ่มปรายตามองแล้วถอนใจช้าๆ กับอาการทำหูทวนลม มองออกไปนอกรถนิ่งๆ ของหญิงสาว ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าตั้งใจขับใจเพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกครั้ง