ศิลารัณย์อยู่ปลอบใจปารณีย์เนิ่นนานพอสมควรตามที่ปารณีย์ร้องขอ ดีเหมือนกันกับการตัดสินใจของหล่อน เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครยึดถือว่าเขาเป็นสมบัติส่วนตัวหรือพวกหล่อนจะจับจอง วิธีการแบบนี้คือการตัดไฟแต่ต้นลมแต่ปารณีย์ก็เป็นเพื่อนที่ดี เขารู้มาแต่ไหนแต่ไร
แม้ในวัยรั้วมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันการที่ปารณีย์ห้ามตัวเองอย่างนี้ได้ เพื่อนสาวทำถูกใจ เขาไม่เคยมีใจในเชิงชู้สาวให้กับเพื่อนคนนี้คบกันมาห้าปีเต็มและยังจะคบต่อไปอีก
การที่ปารณีย์คบโดยไม่วาดหวังในตัวเขาทำให้เขาคิดว่ามันมีอิสระนี่คือชีวิตที่เรียบเป็นธรรมชาติ
ความรักแม้คนทั่วไปจะมองว่าเป็นความรัก เพื่อนของเขาและฝ่ายของหล่อนพยายามเชียร์ให้เป็นอย่างนั้นแต่เป็นได้แค่ลมปาก เพราะความเป็นจริงแล้ว ที่เขาแสดงความรู้สึกต่อปารณีย์แบบเดิมๆ จนหล่อนไม่กล้าอาจเอื้อม คิดใฝ่ฝันสูง
“สบายใจแล้วใช่ไหมวันงานของคุณผมจะไปร่วมแสดงความยินดีแน่ถ้าให้ผมไปในฐานะเพื่อนเจ้าสาวอย่างคุณ”
การตอกย้ำคาดการของเขาเป็นสิ่งที่หล่อนรับรู้อย่างเรียบและเงียบๆปารณีย์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาคบกับศิลารัณย์มานาน อย่างน้อยทุกครั้งเขาทำให้หล่อนสบายใจตลอดมาหล่อนพยักหน้า
“ค่ะณีย์ ก็คิดว่า ณีย์เลือกไม่ผิดชีวิตนี้ของผู้หญิงนี่คะ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องการความสมบูรณ์”
หล่อนมีชื่อเรียกแทนตัวเองถึงสองชื่อคือปากับณีย์ ซึ่งอยู่ในยามที่จะใช้ตามแต่อารมณ์ซึ่งศิลารัณย์รับรู้แต่เขาติดจะเรียก ตามหล่อนมากกว่า
“ถ้าเขารักคุณและคุณรักเขาชีวิตนี้สมบูรณ์แน่ณีย์”
เขาตอบหล่อน
“ค่ะ ณีย์คิดอย่างนั้น”
“ผมถึงอวยพรให้คุณมีความสุขกับการตัดสินใจของคุณ”
“จะไม่ถามสักคำหรือคะว่าเจ้าบ่าวของณีย์เป็นใคร”
“ผมพอจะรู้” เขาตอบเรียบ
ยอมรับว่าใจหายหล่อนเคยยึดว่าเขาเป็นแฟนแต่เขาไม่เคยรับรู้คำนี้เพื่อนๆต่างหากที่รับรู้แต่หล่อนก็ต้องการสิ่งนี้แต่เขาให้หล่อนไม่ได้ เขากลับยอมรับกับเพื่อนฝูงทั้งของหล่อนและเขาแต่ไม่เคยทำจริงจัง
หล่อนรู้แล้วล่ะ บาดแผลเจ็บปวดเกิดจากการรักเขาข้างเดียวที่หล่อนชี้แจงเขาแบบนี้ไม่เคยมีความสูญเสียหรืออาลัยเกิดบนใบหน้าของเขาดูเรียบและเป็นธรรมชาติเช่นเดิมหัวใจของเขาแกร่งยิ่งกว่าเพชร
รถแท็กซี่กำลังส่งนันทิกาหน้าบ้านแต่แลเห็นรถยนต์คันหรูจอดอยู่ในบ้านหล่อนขมวดคิ้วเมื่อเห็นเจ้าของรถร่างสูงโปร่งที่มองครั้งแรกหล่อนก็ตะลึง นันทิกาเคยเจอมาแล้ว เขาเป็นคนรักของพี่สาวหล่อน
หล่อนแปลกใจที่ปารณีย์ไม่คว้าเอาไว้เพราะไม่เช่นนั้นหล่อนกับพี่สาวอีกคนก็สุขสบาย แต่หล่อนก็ทราบเรื่องที่พี่สาวจะตัดสินใจแต่งงานคนที่เป็นเจ้าบ่าวกลับไม่ใช่เขา แต่กลับกลายเป็นชายสูงอายุหน้าตาธรรมดา
“มาหาพี่ณีย์หรือคะ” หล่อนยิ้มทักเขา
“กำลังจะกลับครับ”
เมื่อทราบอย่างนั้นรู้สึกว่าหล่อนมาช้าคงเป็นเพราะหล่อนถูกช้องม่วงทำให้อับอายและเจ็บปวดหล่อนไม่เลิกหรอกที่จะราความแค้นตรงนี้ไว้ถึงเวลาของหล่อนจะเอาคืนให้สาสม
“รีบกลับเลยหรือคะ”
“พี่มาอยู่ตั้งนานแล้วนะคุยธุระเสร็จ ขอตัวก่อนนะ” เมื่อเขาเอ่ยจะผ่านหน้าของหล่อนไปยังรถยนต์ที่หยุดจอด
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” อุบายถูกคิดขึ้นทันควัน ที่หล่อนไม่รอช้า ถ้าได้ตีชิดสนิทสนมกับเขา เพราะหล่อนรู้ว่า เขาเป็นคนที่น่าสนใจ
สิ่งที่หล่อนต้องการคือความหล่อเหลาอบอุ่นสุภาพอย่างเขา
“นีน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของขอติดรถไปด้วยนะคะ”
เมื่อฝ่ายนั้นเอ่ย เขาพยักหน้า นันทิกาไม่รอช้าที่หล่อนจะก้าวตามเขาขึ้นรถ ปารณีย์เห็นภาพนั้น มองอย่างกังวลใจ เพราะรู้อุปนิสัยของน้องสาวคนเล็กดี
ศิลารัณย์หมุนพวงมาลัยเมื่อรถพ้นจากประตูปารณีย์เดินเข้ามาปิดประตูเองโดยที่นันทิกาไม่ได้ลง ทั้งๆที่หล่อนเป็นเจ้าของบ้านเช่นกันเช่นนั้นก็ดี หล่อนจะได้นั่งรถเขานานๆ อยากจะนั่งไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมายปลายทางด้วยซ้ำ
“ถึงปากซอยแล้วพี่มีธุระคงส่งได้แค่นี้”
คำราบเรียบสุภาพนุ่มแต่คำพูดของเขาทำให้ใจของหล่อนขุ่นขึ้นทันที
“เอ้อ ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ศิลา”
จำต้องเอ่ยคำนี้ ทั้งๆที่อยากตามติดไปไหนต่อไหนกับเขามากกว่า ลงมาแล้ว หล่อนยิ้มให้
“ขอบคุณมากนะคะ”
รถของศิลารัณย์แล่นไปแล้ว เขาไม่หันกลับมามองทางหล่อน ขณะที่นันทิกายิ้มปลื้มประทับใจ กับหน้าตาที่หล่อเหลา ซึ่งหล่อนหมายปรารถนาผู้ชายแบบนี้ในสเปกต์
ช้องม่วงหงุดหงิด สติสะตังของหล่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเองเสียเลย เหมือนภาพฟิล์มจากม้วนวีดีโอฉายซ้ำ ทำให้หล่อนโกรธจัด บางภาพวนเวียนซ้ำจนเบลอในสมอง หล่อนถือว่าการทรยศหักหลังของชายคนรักเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับหล่อน ไม่อยากกลับบ้านแล้ว อยากจะหาสถานที่สักแห่งคลายทุกข์ หล่อนตกใจ ตรงหน้า มอเตอร์ไซค์ส่งของที่แล่นปาดหน้าเข้า
“ว้าย” กะทันหันเสียจนช้องม่วงกรีดร้อง หล่อนแน่ใจว่าเกิดอุบัติเหตุ ตรงนี้หล่อนชะลอบ้างแล้ว เพื่อหาร้านอาหารที่อยากนั่งอยู่ในนั้นสักชั่วโมง ค่อยกลับบ้าน สายตาที่มัวแต่หาร้านรวงที่ต้องการ
“โครม” คู่กรณีของหล่อนล้มแน่นิ่ง รถไถลครูดไปกับพื้น ความเสียหายของรถหล่อนล่ะ ได้สติช้องม่วงรีบลงมาดู เห็นรอยถลอกของรถหรูไม่ถึงกับบุบ หล่อนใจชื้น
“เป็นไงมั่ง” หล่อนเดินไปหาคู่กรณี รถหลายคันหยุด เพราะรู้ว่าเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ชายหนุ่มลงจากรถ เขาแล่นผ่านถนนสายนี้พอดี เห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางถนนจำได้ ไม่นึกว่าจะเป็นหล่อน
“เดี๋ยวผมช่วยเอง” ช้องม่วงได้แต่มอง เขาเอง หล่อนจำได้ ยอมรับว่าตัวหล่อนยังสั่น ตระหนก แน่ล่ะกะทันหันแบบไม่คาดคิดเลย
รู้ตัวว่าหล่อนทำอะไรไม่ถูกแน่ หล่อนต้องรอประกัน และฝ่ายคู่กรณีเช่นกันเพื่อเจรจา
“คุณโทร.เรียกประกันแล้วยัง”
“ยังค่ะ”
“รีบโทร.ไปเลย”
หลังจากที่ช่วยกันเข็นรถหล่อน เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ขอให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเองก่อน เด็กหนุ่มเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์สามารถลุกขึ้นเองได้ มีบาดแผลถลอกที่เข่าเล็กน้อย ช้องม่วงยังมีแก่ใจถาม
“เข้าโรงพยาบาลมั๊ย”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ครับ ผมจะรีบไปส่งของให้ลูกค้าซอยฝั่งโน้น”
“แล้วก็เล่นขับเร็วเหลือเกิน ฝ่าไฟแดงด้วยซ้ำ”
ช้องม่วงตำหนิ
“รถพี่มีรอยถลอก”
เด็กหนุ่มคนนั้นใบหน้าซีด “ผมเพิ่งออกรถคันนี้มาไม่ถึงเดือน เพิ่งได้งานครับ”
“แล้วจะให้พี่ทำไง” ช้องม่วงยืนอยู่ข้างรถของหล่อน ขอบทางฟุตบาธ ซึ่งมีที่จอดรถฉุกเฉิน กรณีรถเสียพอดี ศิลารัณย์จอดรถเขาด้านหลัง และอยู่กับหล่อน
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ผมมีติดตัวไม่ถึงร้อยบาทเลยพี่ แฟนให้มา เงินเดือนยังไม่ออก”
เด็กหนุ่มยังกลัวลนลานและหน้าซีดอ้อนวอนน้ำเสียงน่าสงสาร หล่อนเลยตัดใจ
“เอาล่ะ พี่จะไม่เอาเรื่อง คราวหน้าคราวต่อไปถ้าเจอคนอื่น ที่ไม่ใช่พี่ น้องจะไม่ได้ไปง่ายๆ ฝากเตือนขับรถด้วยนะ ถ้ามีแฟนมีครอบครัว อย่าขับรถเร็ว ถึงแม้จะทำงานก็เหอะ คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังด้วย”
อบรมเพื่อให้ซึมเข้าสมองเด็กหนุ่มส่งพิซซ่า
“ครับ ผมจะระวังตัวมากกว่านี้”เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
แล้วช้องม่วงถอนใจมองรถของหล่อน หล่อนอาจจะเสียเงินซ่อม หรือไม่ก็แก้ตัวเอาตัวรอดกับประกัน เพราะหล่อนไม่อยากจะเอาเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้น อายุน่าจะเพิ่งสิบแปด