บทที่ 5 เด็กในปกครอง
ใต้ตึกคณะนิเทศศาสตร์
“เป็นอะไรยะ ทำหน้าเหมือนกับโลกถล่ม”
กีตาร์ถามขึ้นเมื่อเห็นตะวันนั่งทำหน้าบูดหน้าบึ้งไม่ยอมพูดจากับใคร
“พ่อกับแม่ไปดูงานต่างประเทศ 2 เดือน”
ตะวันตอบออกมาเพียงเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาเพื่อนสนิททั้งสองคนต้องมองหน้ากันไปมา
“แล้วมันมีปัญหาอะไรแกถึงต้องมานั่งเครียดอยู่แบบนี้ พวกฉันไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร”
คราวนี้สโนถามขึ้นมาบ้าง จะว่าไปเพื่อนตรงหน้าก็ไม่ใช่เด็กประถมที่จะอยู่คนเดียวไม่ได้สักหน่อย
“ปัญหามันอยู่ตรงที่ 2 เดือนนี้ฉันต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอีตาพี่เคลนั่นต่างหากล่ะ”
“เป็นเด็กในปกครองพี่เคล!!”
สองสาวเพื่อนซี้แทบจะพูดออกมาพร้อมกัน พร้อมกับทำสายตาเป็นประกายระยิบระยับ
“นี่พวกแกดูท่าทางจะตื่นเต้นนะ เป็นอะไรมากปะ”
ตะวันหันใบหน้าสวยไปมองเพื่อนทั้งสองคนที่ทำท่าทางยังกับเพ้อฝันอะไรอยู่สักอย่าง
“โห..ตะวัน แกฟังนะ พี่เคลนะเป็นหนุ่มสุดฮอตในมหาวิทยาลัยของเรา แถมยังหล่อ บึกบึน แล้วจู่ ๆ แกก็ต้องไปเป็นเด็กในปกครองของเขาตั้ง 2 เดือน ต้องอยู่ใกล้ชิดกัน แค่คิดฉันก็รู้สึกวูบวาบแทนแกแล้ว”
กีตาร์พูดขึ้นพลางทำท่าทางประกอบอาการวูบวาบที่เธอหมายถึงไปด้วย
“พวกแกหยุดคิดอะไรอัปมงคลเลยนะ นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิยายที่พระเอกนางเอกเป็นคู่กัดกันแล้วจะมารักกันเพราะความใกล้ชิดน่ะ แค่คิดก็ขนลุก อี๋”
คราวนี้เป็นตะวันที่พูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางแสดงอาการขนลุกขนพอง
“พูดไปเถอะ ระวังจะกลืนน้ำลายตัวเองนะยะ”
เพื่อนซี้ยังเย้าหยอกเธอไม่หยุด ทำเอาตะวันต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ
“อีตานั่นมีแฟนแล้วพวกแกอย่าลืม แถมขี้หวงยิ่งกว่าหมาหวงเจ้าของอีก ใครจะไปอยากได้คนแบบนั้นกัน”
ดวงตากลมโตก้มมองหนังสือเรียนที่เปิดอยู่อย่างไม่สนใจอาการของเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า แต่เธอไม่รู้ว่าคำพูดต่าง ๆ นั้นเคลลี่ได้ยินหมดทุกคำ
“คนอย่างฉันมันเป็นแบบไหนฮะ ยัยเตี้ย”
เสียงยียวนลอยมากระทบโสตประสาทในการรับฟังจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมอง ตะวันก็เห็นเจ้าของเสียงยืนเอามือกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างหลัง
“ก็เป็นอย่างนี้ไง กวนประสาท ว่าแต่พี่มีธุระอะไร มายืนทำหน้าเหมือนกำลังตามหาเจ้าของอะไรแถวนี้”
ปากว่าเขากวนประสาท แต่เธอเองก็ไม่น้อยหน้า ทุกคำพูดที่สนทนากันไม่เคยคุยดีสักครั้ง
“จะกลับไหมบ้านน่ะ ถ้าไม่กลับฉันจะกลับก่อน ส่วนเธอก็เรียกแท็กซี่เอาแล้วกัน”
เคลลี่พูดเสร็จก็หมุนตัวเดินออกไปโดยที่ไม่สนใจว่าเธอจะกลับพร้อมตัวเองหรือเปล่า
“กลับดิ รอหนูด้วย”
เมื่อเห็นท่าว่าเขาจะไม่รอแน่ ๆ คนตัวเล็กที่ว่าเขาแจ้ว ๆ ก็รีบเก็บของลงกระเป๋าด้วยความไวเพื่อที่จะได้ตามไปขึ้นรถได้ทัน
“เห้ยพี่! ขับให้มันช้าลงหน่อยสิ หนูกลัวนะ”
มือเล็กจับอยู่ตรงที่ยึดแน่น เมื่อคนตัวโตเหยียบคันเร่งแรงไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนเบาลงเลยแม้แต่น้อย
“ถ้ากลัว ทีหลังก็หัดพูดถึงฉันให้มันดี ๆ หน่อย อุตส่าห์รับเธอมาเป็นภาระตั้ง 2 เดือน”
“ภาระอะไร หนูไม่ได้ให้พี่ต้องมาคอยซื้อข้าวซื้อน้ำให้ซะหน่อย แค่อาศัยติดรถนิดเดียวเอง อีกอย่างก็ไม่ได้ขอให้มาดูแลด้วย”
สายตาคมตวัดมองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลง นัยน์ตาเฉี่ยวแสดงอารมณ์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“นี่รู้ไว้นะถ้าพ่อฉันไม่บังคับ ฉันก็ไม่มีทางดูแลเธอหรอกยัยเตี้ย”
“เลิกเรียกหนูว่ายัยเตี้ยนะ”
“ก็เธอมันเตี้ยจริง”
“เขาเรียกว่าคนตัวเล็กย่ะ”
เพราะไม่อยากจะทะเลาะต่อ เคลลี่เลยโฟกัสสายตาไปยังถนนที่คราคร่ำไปด้วยรถแทน ส่วนตะวันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดเมื่อถูกเขาแกล้งว่าอยู่หลายครั้ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ก็ตอนนี้เขาขับรถอยู่เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่
“ตอนเย็นเธอจะกินอะไร”
เคลลี่ถามขึ้นเมื่อรถมาจอดอยู่หน้าบ้านของตะวัน ขาเรียวก้าวลงจากรถโดยที่ไม่สนใจคำถาม
“นี่ ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือยังไง”
“ได้ยิน จะทำกับข้าวกินเอง กินอะไรพี่ก็ไม่ต้องมาสนใจหรอก”
“ดี ทำเผื่อฉันด้วย เดี๋ยวมืด ๆ จะมากิน”
ตะวันกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่เขาก็ขับรถออกไปและเข้าจอดในบ้านตัวเองเรียบร้อย
2 ทุ่ม
“นี่ ทำไมเธอทำกับข้าวช้าจัง ฉันหิวแล้วนะ”
เสียงทุ้มบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดเมื่อเคลลี่มานั่งรอทานข้าวที่บ้านของตะวันราวครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ก็แล้วทำไมไม่สั่งเดลิเวอรี่มากินเองเล่า หนูก็มีการบ้านที่ต้องทำก่อนเหมือนกันนะ”
ตะวันที่กำลังจัดแจงอาหารลงใส่จานพูดขึ้น ที่จริงเขาจะออกไปทานข้างนอก หรือสั่งอาหารมาทานเองก็ได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะรอเหมือนกับว่าต้องการยั่วโมโหเธอเสียมากกว่า
“เอ้า รีบกิน แล้วก็รีบกลับบ้านตัวเองไปซะ”
จานข้าวถูกวางลงตรงหน้าชายหนุ่ม พร้อมท่าทีที่อยากให้เขาออกไปจากบ้านเร็ว ๆ
“พ่อฉันบอกว่าให้อยู่จนกว่าเธอจะขึ้นไปนอน”
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับเอือมระอาเต็มทน ไม่รู้พ่อกับแม่คิดอะไรถึงได้ฝากเธอไว้กับผู้ชายคนนี้
“อิ่มแล้วก็กลับบ้านตัวเองไป มาอยู่ทำไมบ้านคนอื่น”
“ไม่อะ ฉันจะดูทีวีก่อน เธอจะทำอะไรก็ไปทำดิ”
คนที่โดนไล่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว เคลลี่เดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ดูรายการต่าง ๆ โดยที่ไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านจะว่ายังไง
เมื่อไล่ก็ไม่ไปตะวันก็ทำได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วก็เก็บโต๊ะอาหารที่พึ่งทานเสร็จ แต่ยังไม่ทันจะเรียบร้อยเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายวิดีโอคอลจากเพื่อนสนิท
/ตะวัน! ดูอะไรนี่พวกฉันมีอะไรจะให้แกดู แกว่านี่ใช่พี่นาราแฟนของพี่เคลหรือเปล่าวะ/
เสียงของกีตาร์ดังออกมาจากสมาร์ทโฟนพร้อมกับสลับกล้องไปอีกทางที่มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งจู๋จี๋กันอย่างกับคนรัก และตะวันจำได้ดีว่านั่นคือนาราแฟนสุดที่รักของเคลลี่
/แกว่าใช่แฟนพี่เคลลี่หรือเปล่าตะวัน แต่ฉันว่าใช่นะ/
/กีตาร์ เบา ๆ อย่าเสียงดัง/
ตะวันทำท่าจุ๊ปากให้เพื่อนเบาเสียงที่พูดลงพร้อมกับพยายามเบาเสียงจากสปีคเกอร์ของโทรศัพท์ตัวเองด้วย เพราะตอนนี้เคลลี่ยังอยู่ในบ้านของเธอ
“มีอะไร ไหนเอามาดูซิ”
ไม่ทันรู้ตัวว่าเขามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่ตอนไหน แต่ว่า สมาร์ทโฟนของเธอก็ไปอยู่ในมือเขาเรียบร้อยแล้ว
ใบหน้าคมจ้องมองภาพในวิดีโอคอลนิ่ง มืออีกข้างที่ไม่ได้จับโทรศัพท์กำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
“พะ พี่เคล ไอ้กีตาร์อาจจะแค่เห็นคนหน้าเหมือนก็ได้นะ พี่อย่าพึ่งโกรธดิ”
“อยู่ที่ไหน”
เสียงทุ้มที่ข่มอารมณ์โกรธไว้ดังเข้าไปในสาย ทำให้กีตาร์ต้องรีบสลับกล้องมาทางตัวเอง
“พี่เคล!”
เพื่อนซี้ของตะวันก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในหน้าจอ
“ฉันถามว่าอยู่ที่ไหน!”
เขาตวาดดังเข้าไปในสายที่ยังค้างอยู่จนคนที่โทรมารีบตอบคำถามแทบไม่ทัน เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นเกิดขึ้นที่ไหน เคลลี่ก็รีบกลับไปเอารถที่บ้านตัวเองแล้วขับออกไปด้วยความเร็ว
///////