บทที่ 1 คนข้างบ้าน
ตอนค่ำ บรรยากาศในบ้านของตะวันเริ่มครึกครื้น เพราะนอกจากจะมีครอบครัวของเธอแล้ว เพื่อนของพ่อที่อยู่ข้างบ้านก็มาร่วมทานอาหารเย็นด้วยตามคำเชิญ รวมถึงผู้ชายคนที่เธอเจอเมื่อเช้าด้วย
“ตะวันอายุเท่าไหร่แล้วล่ะลูก ขึ้นมหาวิทยาลัยหรือยังล่ะ”
ลุงคาร์ลผู้เป็นเพื่อนสนิทของพ่อถามขึ้นระหว่างที่ทุกคนกำลังร่วมกันทานอาหารเย็นอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ปีนี้หนูอายุ 19 ปีแล้วค่ะ ขึ้นปี 1 พอดี หนูเลือกสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ค่ะ เพราะหนูอยากเข้าคณะนิเทศฯ แล้วที่นี่ก็ดังมาก ๆ ด้วยค่ะ”
เสียงเล็กพอ ๆ กับตัวตอบกลับเจื้อยแจ้ว โดยที่ไม่รู้ตัวว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอกำลังมองมาด้วยสายตาบอกบุญไม่รับเท่าไหร่
“อื้อ พอดีเลย เจ้าเคลลูกชายลุงก็เรียนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน อีกอย่าง พี่เขาก็เรียนอยู่คณะเดียวกันกับที่หนูเลือกด้วย อย่างนี้ก็เท่ากับเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกันน่ะสิ แหม..บังเอิญจังเลยนะ”
คุณลุงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นดีใจที่เด็ก ๆ ได้เรียนที่เดียวกัน แต่สำหรับตะวันและเคลลี่นั้น เหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลกกับพวกเขาเสียมากกว่า
แค่เห็นหน้าวันแรกก็ไม่ถูกชะตากันซะแล้ว แล้วนี่ต้องเรียนที่เดียวกัน แถมยังคณะเดียวกันอีก อะไรมันจะโชคร้ายขนาดนี้
“แล้วนี่ตะวันจะไปเรียนยังไงล่ะลูก มีรถหรือยัง”
เพื่อนสนิทของพ่อยังถามต่อ
“ฉันซื้อรถให้ลูกแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้รับรถ อีกสักเดือนกว่า ๆ รถถึงจะพร้อม ช่วงนี้ก็กะว่าจะไปรับไปส่งเองก่อน หรือยังไงก็ค่อยให้ตะวันนั่งแท็กซี่เอา”
คุณพ่อของตะวันเป็นคนตอบคำถามนี้ขึ้นมาแทนลูกสาว
“เฮ้ย ไม่ต้อง ไม่ต้อง เดี๋ยวให้ไอ้เคลไปรับไปส่งหนูตะวันเอง เรียนที่เดียวกัน คณะเดียวกัน ไปทางเดียวกัน ไม่ลำบากอะไรหรอก ใช่ไหมไอ้เคล”
“ครับ พ่อว่าไงผมก็ว่างั้นแหละ”
แม้จะไม่ได้อยากจะทำหน้าที่นี้ แต่ในเมื่อผู้เป็นพ่อพูดขึ้นมาแล้วมีเหรอที่เขาจะขัดคำสั่งได้ ลองขัดดูสิ คงได้โดนพ่อไล่ออกจากบ้านกลายเป็นเด็กกำพร้าตอนอายุ 21 ปีแน่ ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุงคาร์ล หนูไปเองได้ค่ะ เกรงใจพี่เคล เผื่อพี่เคลติดธุระอะไรจะลำบากพี่เขาเปล่า ๆ ค่ะ”
ตะวันรีบปฏิเสธทันควัน เพราะดูจากสีหน้าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วคงไม่ได้อยากจะทำหน้าที่นี้เท่าไหร่ แถมเธอเองก็ไม่ชอบฝีปากเขานัก จะให้ไปนั่งรถร่วมทางกันไปเรียนทุกวัน มีหวังคงได้ระเบิดลงสักวันแน่ ๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ พ่อหนูเป็นเพื่อนสนิทลุง หนูตะวันก็เท่ากับเป็นลูกสาวลุงอีกคน ให้เจ้าเคลรับส่งน่ะดีแล้ว จะได้ปลอดภัยด้วย”
ทางผู้ใหญ่สรุปเองเรียบร้อยแล้วเธอจะขัดอะไรได้อีก แต่ไอ้คำว่าปลอดภัยนี่ไม่น่าจะใช่ คิดว่าน่าจะอยู่ในความเสี่ยงสูงเสียมากกว่า
////////
2 อาทิตย์ต่อมา
วันนี้เปิดเทอมวันแรก ตะวันในอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยตามระเบียบของเด็กปี 1 เธอยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยก็หยิบกระเป๋าลงมาข้างล่าง
“หนูไปเรียนก่อนนะคะ คุณพ่อคุณแม่”
ตะวันพูดขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้พ่อกับแม่แล้วก็ออกมายืนรออยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง
เธอต้องรอให้เคลลี่มารับตอน 8 โมงเช้า แต่เมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือตอนนี้มัน 8 โมงกว่าเข้าไปแล้ว
ยืนรออยู่สักพัก รถสปอร์ตสีดำเหลืองก็แล่นมาจอดตรงหน้าเธอพอดิบพอดี
“วันหลังถ้าพี่จะออกมาช้ารบกวนช่วยบอกหนูก่อนนะคะ หนูจะได้ขึ้นแท็กซี่ไปก่อน หนูไม่อยากไปเรียนสายค่ะ”
ตะวันบ่นคนตัวโตที่กำลังขับรถอยู่เบา ๆ ประสบการณ์ในวันแรกที่เจอกันสอนให้เธอรู้ว่า ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเคลลี่มากนักก็ไม่เป็นไร เพราะเขาก็ไม่ได้มารยาทดีเด่มาจากไหน
“แทนที่จะสำนึกบุญคุณที่ฉันอุตส่าห์ไปรับไปส่ง”
เป็นไปอย่างที่เธอคิด คนอย่างเขาน่ะเหรอจะพูดดี ๆ กับเธอ ด้วยความเร็วของรถที่เคลลี่เร่งเหยียบจนเกือบมิดไมล์ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานที่เป้าหมาย
สองขาเรียวเล็กก้าวลงจากรถ ตอนนี้เองที่ตะวันพึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่เธอ
“ตะวัน ตะวัน ทางนี้ ทางนี้”
มีเสียงเรียกชื่อมาจากอีกด้าน เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นเป็นเพื่อนซี้สองคนที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกันตะโกนเรียกอยู่
“กีตาร์ สโน พวกแกมาถึงกันนานแล้วเหรอ”
ตะวันเอ่ยถามเพื่อนระหว่างที่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะม้าหินอ่อน
“พวกฉันก็พึ่งมาถึงไม่นาน แต่ว่า แกต้องตอบคำถามพวกฉันก่อนนะตะวัน”
“คำถาม?”
ตะวันเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย วันนี้พึ่งเปิดเทอมวันแรก ยังไม่ได้เข้าเรียนสักวิชา แล้วเพื่อนสองคนมีคำถามอะไรที่ต้องการจะรู้ในตอนนี้
“พวกแกมีคำถามอะไรจะถามฉันอะ”
“แกมากับพี่เคลลี่ได้ไงอะตะวัน”
คำถามของเพื่อนทำเอาเธอหันไปมองชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่อีกฝั่งของตึก
“อ่อ อีตาขี้เก๊กหน้าเหมือนบอกบุญไม่รับนั่นเหรอ คนข้างบ้านน่ะ แต่พอดีพ่ออีตานั่นเป็นเพื่อนสนิทพ่อฉัน ท่านก็เลยให้ฉันมากับเขาก็แค่นั้นแหละ ว่าแต่ พวกแกรู้จักด้วยเหรอ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเธอทำเอาเพื่อนซี้ทั้งสองคนทำท่าเหมือนอยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ
“นี่แกไปอยู่ไหนมาฮะตะวัน แกไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าพี่เคลลี่น่ะเป็นหนุ่มที่ฮอตที่สุดในคณะเราเลยนะ ไม่สิ ที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้เลยก็ว่าได้ แกทำบุญมาด้วยอะไรวะ ถึงได้อยู่บ้านข้างบ้านพี่เขาน่ะ”
คำตอบของเพื่อนทำเอาเธอต้องเบือนหน้าหนีมองบนไปหลายตลบ ทำบงทำบุญอะไร สงสัยชาติที่แล้วจะทำบาปหนักเสียมากกว่าถึงได้ต้องมารู้จักกับคนแบบนี้
“เหอะ พวกแกยังไม่รู้จักอีตานั่นนะสิถึงได้กรี๊ดกร๊าดอยู่แบบนี้ ถ้าพวกแกได้เห็นแบบฉันล่ะก็ รับรองจะเปลี่ยนใจแทบไม่ทัน”
ทางด้านอีกฝั่งหนึ่งของตึก เคลลี่วางกระเป๋าและนั่งลงบนม้านั่งที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เฮ้ย ไอ้เคล เด็กใหม่หน้าตาน่ารักที่มากับมึงนั่นใครวะ แล้วนี่ยัยนาราแฟนมึงรู้หรือเปล่าว่ามึงมีกิ๊กใหม่อะ”
เพื่อนของเคลลี่ถามขึ้นทันทีเมื่อเขานั่งลงข้าง ๆ
“กิ๊กอะไรของมึง ยัยเด็กนั่นเป็นลูกของคนข้างบ้านที่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อกู กูก็เลยโดนพ่อบังคับให้ไปรับไปส่งจนกว่ายัยนั่นจะได้รถใหม่น่ะสิ กูรักนาราคนเดียวพวกมึงก็รู้”
เพื่อน ๆ หลายคนในกลุ่มหรี่ตาลงมองอย่างไม่ค่อยเชื่อในคำตอบนัก ถึงแม้จะรู้ดีว่าเคลลี่ชอบผู้หญิงสวยเซ็กซี่อย่างนาราดาวคณะสถาปัตยกรรมที่พึ่งเปิดตัวคบกันได้ไม่นาน แต่ว่ากับเด็กใหม่ที่มาด้วยนั้นจะว่าไม่สวยก็ไม่ได้ เพราะเธอทั้งสวยทั้งน่ารักจนหนุ่ม ๆ หลายคนต้องมองจนเหลียวหลัง
///////