ยุติสงคราม(1)

1104 Words
ริมหน้าผาสูงชันที่กั้นขวางระหว่างเขตแดนเทพกับแดนอสูร… เยี่ยนหรงจ้องมองหูหมิงจี๋ที่ถูกผนึกอยู่อีกด้านหนึ่งของข่ายอาคมเทพอย่างอ่อนแรง ท่ามกลางหิมะขาวโพลนรอบบริเวณ ใบหน้าของนางซีดขาวจนแทบกลืนไปกับสีสันโดยรอบ ชุดสีฟ้าครามแสนเรียบง่ายผิดกับฐานะองค์หญิงแห่งแดนสวรรค์ปลิวไสวไปตามแรงลม ผมยาวสีดำสนิทดั่งท้องฟ้าในยามราตรีที่ปกติถูกเกล้าเป็นหางม้าสูง บัดนี้หลุดสยายคลอเคลียอยู่บนแผ่นหลังอย่างไร้ทิศทาง ยิ่งขับเน้นให้ร่างที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่นอกเขตแดนอสูรดูเดียวดายไร้ความหมายเหมือนดังชีวิตของนางที่ผ่านมา แดนสวรรค์เพิ่งจะสงบสุขมาได้หนึ่งพันห้าร้อยปี แต่แล้วบัดนี้สงครามเทพกับอสูรกลับปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเหล่าเทพตั้งตัวไม่ทัน สาเหตุเนื่องมาจากเหล่าอสูรที่ถูกกักขังไว้ในแดนอสูรต่างถูกมนต์สะกดที่ชั่วร้ายของหัวหน้าเผ่าอสูรวารีหูหมิงจี๋ จึงสูญเสียสติสัมปชัญญะ บุกฝ่าเข้าจู่โจมแดนสวรรค์อย่างไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย สังหารผู้บริสุทธิ์ และเหล่าเทพไปเป็นจำนวนมาก เยี่ยนหรงผู้เป็นแม่ทัพแดนสวรรค์จึงต้องหยุดยั้งสงคราม กวาดล้างเหล่าอสูร และกักขังพวกมันไว้ภายใต้ข่ายอาคมเทพดังเดิม เมื่อครู่นางเพิ่งจะเรียกอัคคีนิลกาฬขึ้นมาจากขุมนรกเพื่อทำลายล้างเหล่าอสูร และขับไล่พวกมันกลับเข้าเขตแดนอสูร เปลวเพลิงสีดำสนิทสูงเสียดฟ้าลามเลียไปรอบบริเวณราวกับโลกันตนรกใต้พิภพผุดขึ้นมาบนแผ่นดิน สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ถูกแผดเผาย่อมกลายเป็นผุยผงทั้งร่างกายและวิญญาณภายในชั่วพริบตา เทพที่ถูกอัคคีนิลกาฬแผดเผาก็อาจถึงขั้นดวงจิตแตกสลายดับสูญไปจากสามภพ ไม่สามารถเข้าสู่วัฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดได้อีก หากย้อนไปเมื่อหนึ่งพันห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว เหล่าเทพที่ยังมีชีวิตรอดจากสงครามเทพปีศาจต่างรู้ดีว่าเปลวเพลิงสีนิลนี้สามารถทำลายล้างทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ในชั่วพริบตา จึงจัดเป็นอาคมต้องห้ามร้ายแรงที่หายสาบสูญไปพร้อมกับการล่มสลายของเผ่าปีศาจ แต่ ณ ตอนนี้อัคคีนิลกาฬกลับปรากฏขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง ย้ำเตือนเหล่าเทพว่าบนโลกนี้ยังมีปีศาจหลงเหลืออยู่ และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือนางมิใช่ปีศาจธรรมดา แต่เป็นปีศาจที่มีสายเลือดของราชาปีศาจผู้เลื่องชื่อในอดีต หากเป็นเพียงปีศาจธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะมีความสามารถเรียกอัคคีนิลกาฬจากขุมนรกขึ้นมาได้ แม้ที่ผ่านมาพยายามปกปิดไว้ แต่เยี่ยนหรงรู้ดีว่าอัคคีนิลกาฬสามารถกำราบอสูรได้ทุกชนิด และเป็นเพียงหนทางเดียวที่สามารถใช้ต่อกรกับกองทัพของหูหมิงจี๋ได้ทันเวลา นางจึงเลือกทางนี้โดยมิได้ลังเล แม้รู้ว่าสุดท้ายอาจต้องตายก็ตาม ชีวิตนี้ของนางเดิมก็ไม่ได้มีค่าอะไร ไม่เคยมีใครอยากให้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ต้น ที่ทนอยู่ก็เพราะต้องการตอบแทนบุญคุณเทียนตี้ผู้ปกครองแดนสวรรค์ หรือก็คือบิดาแท้ๆ ของนางที่ให้ชีวิต ทันทีที่หูหมิงจี๋และเหล่าอสูรถูกอัคคีนิลกาฬแผดเผา และไล่ต้อนจนถอยร่นเข้าไปในแดนอสูร ข่ายอาคมสีทองก็เปล่งประกายขึ้นอย่างแข็งแกร่งผนึกกองทัพอสูร และกักขังพวกมันไว้ด้านในอย่างแน่นหนา เมื่อภารกิจลุล่วง เยี่ยนหรงจึงรั้งพลังสลายอาคม อัคคีนิลกาฬที่ลุกไหม้รอบบริเวณจึงมอดดับลง และลับหายไปใต้พิภพตามเดิม บรรยากาศรอบรัศมีสามสิบหลี่เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกในชั่วพริบตา ไอน้ำและของเหลวรอบบริเวณจับตัวกันเป็นน้ำแข็งตกลงสู่พื้นดินราวกับตกอยู่ในดินแดนเหมันต์ที่มีเพียงฤดูหนาวตลอดกาล นางหันมองไปรอบตัว เห็นเพียงหิมะขาวโพลนกองทับถมบนพื้น ต้นไม้และสิ่งต่างๆ รอบตัวหายไปดังไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบสงัดและความเวิ้งว้างที่ชวนให้อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก หูหมิงจี๋โดนอัคคีนิลกาฬทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ร่างกายบางส่วนถูกแผดเผาจนเป็นผุยผง เผยให้เห็นท่อนกระดูกสีขาวภายในร่างอย่างน่าสยดสยอง เลือดสีดำเหนียวข้นไหลซึมออกมาจากต้นขาซ้ายที่ขาดรุ่งริ่งไม่เหลือสภาพเดิม ไม่มีความสามารถพอที่จะฝ่าข่ายอาคมเทพออกมาก่อความวุ่นวายได้อีก แต่ถึงกระนั้นนางก็มิอาจปล่อยอสูรจิตวิปริตตนนี้ให้มีชีวิตรอดไปได้ ไม่ว่าจะร้อยปีพันปีหรือหมื่นปีข้างหน้า นางล้วนไม่อนุญาตให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ซ้ำขึ้นอีก เยี่ยนหรงแม้บาดเจ็บไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ฝืนเรียกกระบี่เฟิงหวาออกมาอีกครั้ง เพียงขยับมือ กระบี่สีเงินยวงก็เปล่งประกายด้วยกระแสวายุสีฟ้าครามพุ่งทะลุข่ายอาคมเทพ ปักตรึงที่กลางอกของหูหมิงจี๋อย่างไร้ไมตรี ร่างที่น่าเกลียดน่ากลัวนั่นค่อยๆ สลายกลายเป็นผุยผงปลิวไปตามลมภายในเขตแดนอสูรอย่างไร้ค่า เมื่อกระบี่เฟิงหวากลับมาข้างกาย เยี่ยนหรงที่พยายามฝืนตนเองก็ทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างยากต้านทาน บาดแผลจากการต่อสู้กับหูหมิงจี๋เจ็บปวดอย่างสาหัส เลือดที่ไหลย้อมอาภรณ์สีฟ้าไปครึ่งแถบหยดลงบนพื้นหิมะจนเกิดเป็นจุดเล็กๆ สีแดงราวดอกเหมยบานสะพรั่งท่ามกลางลมหนาว เยี่ยนหรงพยายามยันตัวลุกขึ้นเพื่อไปจากที่ตรงนี้ นางรู้ดีว่าอีกไม่นานเหล่าเทพก็จะแห่กันมาเพื่อสังหารนาง หากตอนนี้ยังหนีได้ก็นับว่าประเสริฐ แต่หากหนีไม่รอดนั้นก็มิได้เหนือความคาดหมายเท่าไรนัก ก่อนตัดสินใจทำเช่นนี้นางก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว เพิ่งยันตัวลุกขึ้นกลับได้ยินเสียงอันคุ้นชินดังขึ้นที่ด้านหลัง "ในที่สุดเจ้าก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจนได้" น้ำเสียงเย้ยหยันเสียดแทงนี้ หากมิใช่องค์ชายรองแห่งแดนสวรรค์ ‘เวยเจี๋ย’ แล้วจะเป็นใคร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD