กระจกแปดทิศ(2)

1703 Words
เยี่ยนหรงยืนเหม่อลอยท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ หยาดฝนตกกระทบร่างแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกหนาวแต่อย่างใด ยืนอยู่เช่นนั้นจนได้ยินเสียงเชียนจือหวาตะโกนเรียกมาแต่ไกล เมื่อตื่นจากภวังค์ก็พบว่าร่างงูป๋ายเฉอหายไปแล้ว คาดว่าเป็นเชียนจือหวาทำพิธีส่งวิญญาณจนสำเร็จ กล่าวว่าพิธีส่งวิญญาณแต่แท้จริงแล้วก็ต่างจากการฆ่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การฆ่าอสูรทำให้วิญญาณแตกสลายไปอย่างทุกข์ทรมาน แต่การส่งวิญญาณเช่นที่หลิวเส้าชงพร่ำสอนนางกับเชียนจือหวา จะทำให้เหล่าปีศาจอสูรจากไปด้วยจิตใจสงบ ไร้ทุกข์กังวล ความเมตตาจึงต่างกัน “จัดการอสูรครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้แหละ อย่าได้ตื่นตกใจไป วันหน้ายังมีอะไรมากกว่านี้รออยู่” เชียนจือหวาเอามือตบไหล่เยี่ยนหรงเบาๆ เพื่อปลอบใจ นางคิดว่าศิษย์น้องคงตกใจกลัวกับการปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรกจนยืนอึ้งจิตหลุดลอยไปเช่นนี้ เยี่ยนหรงรับคำเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็รีบออกจากป่าไปรายงานผลกับหลิวเส้าชง หลังจากวันนั้นทั้งสามก็ออกปฏิบัติการกำจัดอสูรปีศาจอยู่เรื่อยๆตามที่ชาวบ้านได้ร้องเรียนมา วันเวลาก็ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ เยี่ยนหรงชินกับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์แล้ว และยังได้เงินจากสิ่งที่นางถนัดอีกด้วย เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปสามปีแล้ว ตลอดระยะเวลาสามปีเยี่ยนหรงแอบเข้าไปในป่าปริศนาเพื่อฟื้นฟูพลังอยู่เรื่อยๆ พลังเทพของนางเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แม้เทียบกับเทพด้วยกันนั้นยังห่างชั้นอยู่มาก แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้การใช้ชีวิตแดนมนุษย์ของนางไม่ลำบากแล้ว หากวัดกับมนุษย์ธรรมดา ในตอนนี้นางก็ถือเป็นผู้เยี่ยมยุทธเลยล่ะ แม้ศิษย์หญิงในสำนักจะไม่ค่อยชอบนางนักเนื่องจากหยางผู่เยว่มักดีกับนางเป็นพิเศษ จนบางครั้งก็เข้ามาหาเรื่องกันดื้อๆ แต่ดีที่ยังมีเชียนจือหวาที่เปรียบเสมือนอันธพาลประจำสำนัก นางทั้งข่มขู่ และใช้กำลังตะเพิดศิษย์หญิงพวกนั้นไป โดยที่เยี่ยนหรงเองทำแค่ยืนมองเงียบๆ ไม่มีปากไม่มีเสียง ไม่มีความโกรธ และไม่รู้สึกอะไรอยู่เช่นนั้น อยู่มาวันหนึ่งหลิวเส้าชงเรียกประชุมทั้งเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สำนักทุกคนที่ตำหนักหย่งเหอตั้งแต่เช้าตรู่ ใจความสำคัญของการประชุมครั้งนี้ก็คือการประลองของแปดสำนักจะมาถึงในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หลิวเส้าชงยังกล่าวเสริมว่าอยากให้ทุกคนตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วมการประลองที่ร้อยปีจะมีครั้งหนึ่ง อีกทั้งครั้งนี้ยังมีความสำคัญมากตรงที่ผู้ชนะจะต้องเดินทางไปในแดนเทพเพื่อทำภารกิจเกี่ยวกับกระจกแปดทิศที่ทั้งแปดสำนักช่วยกันพิทักษ์รักษาไว้ หลังจากเหล่าศิษย์ในสำนักทำหน้างงเมื่อได้ยินคำว่ากระจกแปดทิศ หลิวเส้าชงจึงเล่าขยายความให้ทุกคนฟัง กระจกแปดทิศเป็นกระจกวิเศษที่เทพบรรพกาลสามองค์ช่วยกันสร้างไว้ แต่เทพบรรพกาลเหล่านั้นกลับคิดว่าผู้ที่มีพลังอำนาจที่สุดก็ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์เทพ หากมีวันใดที่จิตใจตกต่ำเข้าสู่ความโลภ โกรธ หลง เช่นนั้นโลกนี้ก็คงจะถึงกาลวิบัติ พวกเขาจึงคิดค้นกระจกแปดทิศที่เล่าขานกันว่าภายในเก็บซ่อนความลับฟ้าดินไว้ ทั้งยังเก็บซ่อนอาวุธเทพที่มีพลังทำลายล้างขั้นสูง แต่ได้ร่ายคาถาให้กระจกแปดทิศนี้เทพไม่อาจสัมผัสโดน ปีศาจอสูรไม่อาจแตะต้อง มิเช่นนั้นร่างจะกลับกลายเป็นเม็ดทรายปลิวสลายหายไปทันที มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถเปิดออกได้ก็คือมนุษย์ การเข้าไปยังด้านในของกระจกแปดทิศนั้นยังคงต้องอาศัย แท่นศิลาเพลิงแห่งหุบเขาวิหคไฟเผาชำระมายาชั่วร้ายด้านนอก และให้มนุษย์เป็นผู้เปิด รวมถึงเทพที่มีจิตใจสัตย์ซื่อเท่านั้นจึงสามารถผ่านเข้าไปได้ เทพบรรพกาลไว้วางใจเผ่าเฟิ่งหวงให้เป็นเทพเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถมีหน้าที่ในการเปิดกระจกแปดทิศ เป็นเพราะมีพันธสัญญาของวิหคเฟิ่งหวงตัวแรกบนโลก ที่ให้คำมั่นรับใช้เทพบรรพกาลจนกว่าฟ้าดินแตกดับ เหล่าลูกหลานในเผ่าจึงยึดปฏิบัติต่อกันมาจนทุกวันนี้ แท่นศิลาเพลิงบนหุบเขาวิหคไฟจนถึงตอนนี้ก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี จัดเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับคนนอก เยี่ยนหรงที่ยืนฟังอยู่ในหมู่ศิษย์สำนักอู่เฉิงสีหน้าครุ่นคิด นางอยากรู้ยิ่งนักว่าเหตุใดแดนเทพจึงเกิดการเคลื่อนไหวเช่นนี้ เหตุใดถึงกับต้องเอากระจกแปดทิศที่ถูกเก็บรักษาในแดนมนุษย์ออกมาใช้ หรือจะมีเหตุร้ายแรงขั้นสงครามระหว่างดินแดนอีก หลังจากเลิกประชุมจึงได้รอพบหลิวเส้าชงอยู่ในตำหนักหย่งเหอ “ได้ข่าวว่าผนึกเทพที่แดนอสูรเกิดรอยร้าวขึ้น” หลิวเส้าชงสีหน้าเคร่งเครียดลงเล็กน้อย เขาเอามือลูบเคราตนเองอย่างใช้ความคิด เพราะหากผนึกที่แดนอสูรแตกออก นั่นหมายถึงทุกดินแดนล้วนสามารถเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแดนมนุษย์เองก็จะต้องเตรียมรับมือไว้เช่นกัน เยี่ยนหรงได้ฟังถึงกับนิ่งเงียบไป หากว่าผนึกถูกทำลายอีกครั้งนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่การจะนำกระจกแปดทิศมาใช้ ทั้งหกแดนเทพจะต้องเห็นชอบทั้งหมดเสียก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ ดังนั้นแสดงว่าหกแดนเทพมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะต้องเตรียมรับมือก่อนที่จะไม่ทันการณ์ หรือว่าในตอนนั้นหูหมิงจี๋ยังไม่ตาย “เป็นไปไม่ได้” เยี่ยนหรงอุทานออกมาอย่างลืมตัว ในตอนนั้นนางเห็นกับตาแล้วว่ากระบี่เฟิงหวาแทงทะลุร่างจอมอสูรผู้นั้นไปแล้วชัดๆ พลังมหาศาลและความเกรี้ยวกราดของกระบี่เทพเฟิงหวานางย่อมรู้ดีกว่าใคร เป็นไปไม่ได้ที่จะรอดชีวิต เว้นแต่ว่า… นั่นไม่ใช่ร่างจริง! เผ่าปีศาจมักมีวิชาลับที่ล่อลวงให้เข้าใจผิดได้ง่าย เช่นวิชาย้ายดวงจิต ไม่ก็วิชาซากศพ แต่นั่นไม่ใช่ว่าเผ่าอสูรคิดจะนำไปใช้ก็จะสามารถทำได้ ขนาดปีศาจเองยังต้องเป็นปีศาจที่มีพลังแก่กล้า ปีศาจทั่วๆไปที่ยังไม่ถึงขั้นก็ไม่อาจทำได้ หลิวเส้าชงเห็นนางแปลกไปจึงลองเลียบเคียงถามสิ่งที่เขาสงสัยมานาน “ข้าเคยได้ยินว่าเมื่อหลายพันปีก่อน มีเทพองค์หนึ่งสละชีวิตเรียกอัคคีนิลกาฬมาขับไล่เหล่าอสูร และผนึกอสูรพวกนั้นไว้อย่างแน่นหนา เจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่านี้หรือไม่” เยี่ยนหรงที่สีหน้าเรียบเฉยเป็นนิจทำเพียงตอบอย่างนิ่งสงบ ราวกับเรื่องราวนั้นเป็นของคนอื่นที่มิใช่ตัวนางเอง “เคยได้ยินมาบ้าง” ความจริงแล้วนางเข้าใจเจตนาของหลิวเส้าชงจึงได้กล่าวเสริมอย่างชัดเจน “แต่ท่านอาจารย์ จากเรื่องเล่าและตำรา เทพองค์นั้นวิญญาณสลายดวงจิตแตกดับไปนานแล้ว หากผนึกแดนอสูรแตกออกอีกครั้ง เทพองค์นั้นคงไม่อาจมาช่วยได้อีกแล้ว” หลิวเส้าชงเพียงพยักหน้ารับ เขายิ้มน้อยๆให้เยี่ยนหรง ความจริงแล้วตั้งแต่วันที่ผู้มีพระคุณนำร่างนางมาฝากฝังไว้ เขาก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา “อืม เป็นเช่นนั้น” หากเป็นเพียงอสูรธรรมดาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพ แต่อสูรที่กินพวกพ้องของตัวเองเข้าไปจำนวนมากเพื่อเพิ่มพูนพลัง อีกทั้งยังฆ่าไม่ตายนั่นเกินความสามารถเกินไป อสูรธรรมดาไหนเลยจะทำเช่นนี้ได้ นอกเสียจากว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากเผ่าปีศาจชั้นสูง มิใช่ว่าโดนฆ่าล้างจนสิ้นไปแล้วหรือ? เดิมนางคิดว่านางเป็นหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่มีสายเลือดปีศาจชั้นสูงไหลเวียนอยู่ในร่างเสียอีก หากเป็นดังที่คาด ยังคงหลงเหลือปีศาจชั้นสูงที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสินะ แต่หลงเหลืออยู่แล้วอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอสูร ปีศาจ หรือมารจากภพใด หากจะสร้างความปั่นป่วน ก่อสงครามให้เกิดการเข่นฆ่าล้มตายขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้ต้องตายอีกรอบนางก็จะต้องขัดขวางให้จงได้ “หากฝ่ายเทพสามารถหาทางเปิดกระจกแปดทิศออกได้ อย่างไรก็ไม่น่าจะเพลี่ยงพล้ำให้กับเหล่าอสูร เรื่องนี้มนุษย์อย่างพวกเราช่วยได้” เยี่ยนหรงฉีกยิ้มเชื่อมั่นมองไปที่หลิวเส้าชง ต่อให้ไม่มีอัคคีนิลกาฬของนาง แต่เทพทั้งหกดินแดนก็มิใช่ธรรมดา นางเองก็จะต้องคิดหาวิธีฟื้นฟูพลังให้เร็วขึ้นเช่นเดียวกัน ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น เชียนจือหวาก็เดินกลับเข้ามาในตำหนักหย่งเหออย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงดังอย่างมาดมั่นกับหลิวเส้าชงว่า “อาจารย์ ข้าจะเข้าร่วมการประลองนี้ จะต้องชนะเป็นที่หนึ่งให้ได้” แววตาเชียนจือหวาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยพลังอันแรงกล้าของเด็กวัยแรกรุ่น “เจ้าเองก็ลงสมัครการประลองครั้งนี้ด้วยสิ” เชียนจือหวาหันมาหาเยี่ยนหรง รอยยิ้มเจิดจ้าและความเชื่อมั่นนี้ใช่จะหาได้จากเด็กสาวธรรมดาทั่วไป เยี่ยนหรงมองเชียนจือหวานิ่ง เหมือนว่านางจะคิดแผนดีๆ ขึ้นมาได้ หากอยากฟื้นฟูพลังเทพอย่างรวดเร็วก็จะต้องไปหาคำตอบที่แดนเทพ ในเมื่อนางไปเองไม่ได้ ก็ให้เทพของเผ่าเฟิ่งหวงพาไปเสียก็สิ้นเรื่อง…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD