กระจกแปดทิศ(1)

2005 Words
ผาวู่เฉ่าเป็นผาที่มีพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้มข้น แม้ทิวทัศน์จะงดงาม และเป็นผลดีต่อเทพที่ต้องการเพิ่มพูนพลังฝึกปรือ แต่ด้วยเป็นสถานที่ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นจึงทำให้เหล่าเทพที่อยู่บนผาวู่เฉ่าไม่อาจใช้พลังของตนได้มากตามใจคิด จะเหาะเหินเดินอากาศ ณ ที่แห่งนี้ก็ทำได้ยากยิ่ง ราวกับว่าพวกเขายังไม่ทันไปถึงแดนเจ็ดดาราก็ต้องมาโดนทดสอบด้วยความตายใต้หุบเหวนี่เสียแล้ว เยี่ยนหรงที่ยืนก้มหน้ารออินทรีทองอย่างใจจดจ่อ เมื่อได้ยินเสียงฮือฮาจากบรรดาเทพรอบด้านนางจึงได้แหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ส่องลงมา ได้ปรากฏจุดสีทองเล็กๆเจ็ดจุดทอประกายตัดกับสีครามของท้องฟ้าอย่างลงตัว พวกมันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ ไม่นานก็สามารถมองเห็นรูปร่างของอินทรีทองได้อย่างชัดเจน นางรีบหันไปร่ำลาเฉินเซียง และยิ้มอย่างไร้กังวลเพื่อสร้างความมั่นใจให้ภูตรับใช้ที่น่าสงสารของนาง แม้จะถูกกลั่นแกล้ง แต่เยี่ยนหรงก็มิได้หดหู่ถึงเพียงนั้น ไม่แน่ในเรื่องร้ายอาจจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นก็เป็นได้ แค่พยายามทำให้เต็มที่ก็พอ นางคิดเช่นนั้นมาตลอด หากโลกนี้ไม่มีใครปลอบใจ นางก็ต้องปลอบใจตัวเอง หากโลกนี้ไม่มีใครให้กำลังใจ นางก็ต้องให้กำลังใจตนเอง หากโลกนี้ไม่มีมือที่คอยฉุดให้นางลุกขึ้น นางก็จะต้องลุกขึ้นเองให้ได้ ไม่ว่าต้องเจออะไรก็อย่ายอมแพ้เด็ดขาด นั่นจึงทำให้ภายในเวลาเก้าสิบแปดปีนางก็สามารถมีชีวิตรอดกลับมาทิ่มแทงนัยน์ตาเทียนโฮ่วได้อีกครั้ง จัดเป็นเทพที่อายุน้อยที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุดในการผ่านด่านแดนเจ็ดดาราในประวัติศาสตร์แดนเทพ อินทรีทองบินโฉบลงมาใกล้ผาวู่เฉ่าแต่ไม่ได้ร่อนลงบนพื้นให้เหล่าเทพกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันได้ง่ายๆ มันบินฉวัดเฉวียนอยู่ริมผาด้วยความเร็วเหนือกว่าสัตว์ภูตจำพวกนกชนิดอื่น เหล่าเทพที่มีชื่อปรากฏในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันเตรียมกระโดดออกสู่หุบเหวลงไปบนหลังอินทรีทองให้ทัน เยี่ยนหรงเห็นดังนั้นก็หันมาร่ำลาเฉินเซียงที่เดินตามมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มสดใสราวแสงตะวันตะวัน ต่อจากนี้ก็คงเหลือเพียงตัวนางเองและความเชื่อมั่นเท่านั้น ในเมื่อมีเพียงเท่านี้เหตุใดจะไม่ทุ่มสุดตัวดูสักครั้งเล่า นางจะต้องรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน เฉินเซียงเห็นแววตามุ่งมั่นเปี่ยมพลังของเยี่ยนหรงก็มิได้ร้องไห้ต่อ กลับมองรอยยิ้มเจิดจ้านั้นอย่างตื้นตัน องค์หญิงของนางอยู่ในเงามืดมาเกือบทั้งชีวิต นางคิดมาตลอดว่าองค์หญิงของนางนั้นมีชีวิตที่น่าสงสารและแสนเจ็บปวด แต่นางเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าแท้จริงแล้วองค์หญิงนั้นก็คือดวงตะวันที่ร้อนแรงและอบอุ่นดวงหนึ่ง แม้จะถูกบดบังเหยียบย่ำสักเพียงใดก็ยังเปล่งประกายงดงามได้อย่างสง่าผ่าเผยอยู่เสมอ เห็นเงาหลังเยี่ยนหรงเดินตรงไปที่ริมผาแล้วเฉินเซียงก็ยังมองส่งจนลับตา “ที่แท้ท่านก็เติบโตขนาดนี้แล้ว” นางได้ยินเสียงตัวเองพูดอย่างแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว ภาพนางกับเยี่ยนหรงที่เจอกันครั้งแรกกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง เด็กน้อยครึ่งปีศาจที่เป็นที่รังเกียจ และไม่มีใครอยากคบหาด้วยคนนั้นกำลังนอนร้องไห้เสียใจเรื่องสัตว์ภูตของตนที่ถูกฆ่าตาย เฉินเซียงจึงพยายามปลอบใจโดยการเรียกนางให้มาลองชิมขนมดอกบัวที่ทำเองกับมือ เด็กน้อยน่ารักคนนั้นก็ทำท่าชั่งใจ แต่สุดท้ายก็เช็ดน้ำตาและเดินมาใกล้นางอย่างระแวดระวัง ที่ผ่านมาคงไม่เคยมีใครทำดีกับองค์หญิงผู้นี้เลยกระมัง นางถึงได้ดูไม่ไว้ใจใครเช่นนี้ สำหรับเฉินเซียงแล้วเยี่ยนหรงช่างน่าเวทนายิ่ง เฉินเซียนไม่อาจมองเห็นรายละเอียดผ่านต้นหญ้าขาวโพลนที่บดบังเบื้องหน้า นางยืนรอส่งเยี่ยนหรงอยู่เนิ่นนานจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี มองไปบนฟ้าแสนไกลเห็นอินทรีทองทยอยบินจากไปไกลแล้วจึงถอนใจคราหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไรแสงตะวันของนางจะหวนกลับมาอีกครั้ง ด้านเยี่ยนหรงหลังจากร่ำลากับเฉินเซียงก็มายืนอยู่ริมผาวู่เฉ่า พยายามจับจังหวะอินทรีทองที่บินฉวัดเฉวียนราวกับกำลังเล่นกับสายลมอย่างสนุกสนานพวกนั้นอย่างตั้งใจ บางตัวยังส่งเสียงร้องดังกังวานสดใสเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกมันกำลังอารมณ์ดีถึงขีดสุด เหล่าเทพที่ส่งชื่อตนเข้าทดสอบในแดนเจ็ดดารา รอบนี้มีประมาณห้าสิบคน แต่ละคนมองลงไปที่หุบเหวเบื้องล่างอย่างเคร่งเครียด พยายามเพ่งมองอินทรีทองให้ชัดแจ้งเพื่อที่จะกระโดดลงไปบนหลังพวกมันได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด ขณะที่ทุกคนกำลังจดจ้องไม่กล้าตัดสินใจนั้น ก็มีเทพหนุ่มใจกล้าองค์หนึ่งกระโดดลงไปอย่างเด็ดเดี่ยวเป็นคนแรก สีหน้าและแววตาไม่มีความขลาดกลัวแม้แต่น้อย ร่างของเขาปะทะเข้ากับสายลมอันรุนแรงกลางช่องผาจนเสื้อตัวยาวสีดำปลิวไสวอย่างบ้าคลั่ง ผู้ชมด้านบนต่างลุ้นกันจนเกือบลืมหายใจ เพราะหากพลาดพลั้งไปนั้นก็หมายถึงชีวิต เทพชุดดำอาศัยพลังจากกระแสลมพยุงตัว และเปลี่ยนทิศทางไปมาให้ร่างตนตกลงบนหลังอินทรีทองตัวหนึ่ง ผู้คนด้านบนต่างเงียบเสียง จ้องมองเขาราวต้องมนต์สะกด สรรพเสียงรอบด้านกลับสู่ความเงียบอันน่าอึดอัด แต่ไม่นานเทพผู้นั้นก็ทำสำเร็จ สามารถร่อนลงยืนบนหลังอินทรีทองตัวหนึ่งได้อย่างมั่นคง เยี่ยนหรงได้ยินเหล่าเทพรอบด้านต่างระบายลมหายใจกันอย่างถ้วนทั่ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้ากระโดดตามลงไปเป็นคนที่สอง นางมองลงไปเบื้องล่างพลางคิดว่า นี่ก็คงไม่ยากกระมัง และตั้งท่ากระโดดลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว เยี่ยนหรงเลียนอย่างเทพชุดดำผู้นั้นโดยใช้ประโยชน์จากกระแสลมอันบ้าคลั่งท่ามกลางหุบเหวเป็นตัวพยุงร่างให้ไปในทิศทางที่ต้องการ แต่สิ่งที่นางลืมคิดไปเสียสนิทคือ สายลมพวกนี้มิใช่แค่สามารถพยุงร่างนาง แต่ยังสามารถกรีดผ่านเนื้อหนังสร้างความเจ็บปวดจนหายใจไม่ออกให้นางได้ด้วย ขณะกำลังถลาลงไปเบื้องล่างกลับได้ยินเทพชุดดำที่ยืนอยู่บนหลังอินทรีทองที่บินไปมาตะโกนบอก “ร่ายอาคมคุ้มกาย กางแขนออก และมองมาที่ข้า” เยี่ยนหรงพยายามหันหน้าไปตามเสียงนั้น แต่กระแสลมแรงทำนางต้องหรี่ตามองเขาอย่างยากลำบาก เมื่อตั้งสติรวบรวมพลังร่ายอาคมคุ้มกันตนเองได้ ความเจ็บปวดทั่วร่างก็ทุเลาลง นางทรงตัวกลางอากาศได้ดีขึ้น และมองหาเทพชุดดำผู้นั้นอีกครั้ง เขาตั้งท่ารออยู่บนหลังอินทรีทองที่บินฉวัดเฉวียนไปมา รอจนเมื่อจังหวะเหมาะสม ร่างเยี่ยนหรงเข้าใกล้อินทรีทองตัวที่เขายืนอยู่ ก็เอื้อมมือไปดึงนางมายืนอยู่บนหลังอินทรีได้อย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงเทพบนหน้าผาโห่ร้องยินดีดังแว่วมาแต่ไกล คาดว่าพวกนั้นก็คงลุ่นระทึกกันอยู่ไม่น้อย ทันทีที่นางปลอดภัยอยู่บนหลังอินทรีทอง เยี่ยนหรงก็หันกลับไปประสานมือคารวะเทพชุดดำที่ช่วยนางไว้อย่างจริงจัง เทพองค์นั้นก็คารวะตอบอย่างเป็นมิตร เขามีชื่อว่า ‘หวังจวิ้น’ หลังจากนั้นเหล่าเทพที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ริมผาก็ทยอยกระโดดลงมาโดยใช้วิธีเดียวกันกับสองคนก่อนหน้า เยี่ยนหรงและหวังจวิ้นก็ทำแบบเดิม พยายามไขว่คว้าร่างเพื่อนร่วมทดสอบไม่ให้ตกลงไปด้านล่าง สุดท้ายเทพทั้งห้าสิบคนก็กระโดดลงบนหลังอินทรีทองทั้งเจ็ดตัวได้อย่างปลอดภัย ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผ่านมาแต่ละรุ่นไม่เคยมีเทพรอดชีวิตจากการกระโดดผาวู่เฉ่าครบสักครั้ง และครั้งนี้เกิดจากการช่วยเหลือกันอย่างแท้จริง หลังจากนั้นเรื่องราวก็ไม่ได้ต่างจากที่คาดไว้ ครึ่งเทพครึ่งปีศาจที่ถูกจำกัดพลังไว้เพียงครึ่งเดียวเช่นเยี่ยนหรงก็โดนเหล่าปีศาจอสูรในแดนเจ็ดดาราเล่นงานจนสะบักสะบอม หลายครั้งที่นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่สุดท้ายก็กัดฟันลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง นั่นเป็นเพราะในความทรงจำยังคงหลงเหลือภาพของใครบางคนที่ผลักดันให้นางอยากที่จะมีชีวิตต่อไป ไม่ให้เสียแรงที่ท่านแม่ของนางสละชีวิตเพื่อให้นางมีทางรอด ไม่ให้เสียแรงคนที่ใช้ชีวิตรับรองความภักดีของนางเช่นเทียนตี้ ไม่ให้เสียแรงคนที่ตั้งใจช่วยชีวิตนางเช่นหวังจวิ้น ไม่ให้เสียแรงคนที่รอนางกลับไปหาเช่นเฉินเซียง และไม่ให้เสียแรงคนที่คอยปกป้องนางที่หุบเขาเหนือเมฆา แม้ว่านางจะเป็นครึ่งปีศาจเช่นกู้เฉิง เทพองค์อื่นอาจมีพลังเทพมหาศาล มีพรสวรรค์ที่เก่งกาจจนสามารถกำจัดเหล่าอสูรปีศาจได้อย่างง่ายดาย แต่นางไม่มีอะไรเช่นนั้นแม้สักอย่าง จึงต้องใช้การสังเกตจุดอ่อนศัตรูเพื่อหาโอกาสเผด็จศึกโดยไม่ต้องเปลืองแรงนัก คิดค้นวิธีมากมายขึ้นมาเอาชนะอันตรายตรงหน้าอย่างใจเย็น นั่นจึงทำให้นางหาจุดอ่อนของปีศาจและอสูรได้อย่างรวดเร็ว แม้พละกำลังในตอนนั้นจะเอาชนะไม่ได้ก็ตาม ทำอยู่แบบนั้นหลายสิบปีนางก็ชำนาญ และสามารถตัดสินใจได้อย่างฉับไวเฉียบขาดมากยิ่งขึ้น เมื่อเจอศัตรูร้ายกาจขึ้น เทพที่ใช้พลังเข้าปะทะโดยตรงโดยขาดการพลิกแพลง อาจเพลี่ยงพล้ำจนถึงตาย แต่นางยังคงเอาชนะได้จากการใช้วิธีของตัวเอง จนตอนหลังทุกคนได้ประจักษ์ในความหลักแหลมด้านการต่อสู้ของนาง จึงยอมฟังนางสั่งการครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นอีกไม่ถึงร้อยปี นางและเหล่าเทพที่รับการทดสอบรอบนี้ก็สามารถผ่านการทดสอบออกมาได้ ไม่ว่ารุ่นก่อนจะทยอยกันผ่านด่านออกมาอย่างไร แต่รุ่นของนางต่างช่วยเหลือกันจนฝ่าออกมาด้วยกันทั้งหมดยี่สิบสามคน นอกนั้นไม่ได้กลับออกมาอีกเลย เพราะผู้นำเห็นความสำคัญของชีวิตเพื่อนร่วมรุ่น เห็นความสำคัญของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความแน่นแฟ้นนี้จึงแผ่ขยายไปสู่คนรอบข้างอย่างแข็งแกร่ง ทำให้เทพที่ฝ่าฟันออกมาด้วยกันล้วนยอมรับในตัวเยี่ยนหรงอย่างหมดใจ เมื่อแม่ทัพคนเก่าปลดระวาง เยี่ยนหรงก็ขึ้นเป็นแม่ทัพแทนด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว ทุกคนที่ผ่านการฝึกมาด้วยกันต่างไม่คัดค้าน และภักดีต่อนางเป็นที่สุด เทพชุดดำหวังจวิ้นในตอนนั้นก็คือรองแม่ทัพขวาของนางในเวลาต่อมานั่นเอง ดีที่ภายในกองทัพตัดสินตามความสามารถมิใช่ชาติกำเนิด นางถึงยังพอมีตัวตนในแดนสวรรค์อยู่บ้าง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD