วันนี้เชียนจือหวาสวมอาภรณ์สีแดงตัวเก่งของนางยามต้องต่อสู้ ยิ่งขับเน้นให้เหล่าศิษย์ที่ชมการประลองเห็นถึงความมั่นใจและแข็งแกร่งของนางทั้งจากสีเสื้อผ้าและสายตา ในด้านของฮวาอิ๋นมี่นั้นใบหน้าถูกแต่งแต้มอย่างประณีตหมดจด ตามแบบฉบับศิษย์ของผู้อาวุโสไห่ฉิน ชุดสีฟ้าอ่อนปักลายดอกไม้สีขาวงดงาม ดวงตาของนางเย็นชาไม่สนโลกเช่นทุกวัน
สองคนนี้ยืนกันคนละฟากเวทีดูเหมือนน้ำแข็งกับเปลวไฟที่เตรียมชี้ขาดกันอย่างดุเดือด ผู้อาวุโสไห่ฉินที่นั่งอยู่กับผู่อาวุโสท่านอื่น ร่ายคาถาสร้างข่ายอาคมจำกัดเสียง เพื่อไม่ให้ผู้ที่ชมการประลองบาดเจ็บจากเสียงผีผาของฮวาอิ๋นมี่
เมื่อเสียงกลองดังรัวเป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้ แส้สีส้มในมือเชียนจือหวาก็เปล่งประกายร้อนแรงน่ากลัว ฟาดลงบนเวทีไม้จนแตกเป็นทางก่อนที่ฮวาอิ๋นมี่ที่อุ้มผีผาในมือจะได้บรรเลงเสียงแรก
รอยแตกของไม้ไล่จากใกล้ตัวเชียนจือหวาไปหาฮวาอิ๋นมี่อย่างรวดเร็ว เศษไม้ปลิวกระจายในอากาศตามความแรงของแส้ที่ฟาดลงไปอย่างดุดัน ทำให้ผู้ชมโดยรอบแทบจะหยุดหายใจอย่างพร้อมเพรียงเมื่อได้ประจักษ์กระบวนท่าการใช้แส้ที่รวดเร็ว และรุนแรงของเชียนจือหวา
ฮวาอิ๋นมี่ก็มีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยกับความเร็วของเชียนจือหวาที่สามารถดักทางนางได้ตั้งแต่ต้น แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังสามารถหลบหลีกแรงฟาดที่ส่งมาตามพื้นเวทีของเชียนจือหวาได้อย่างหวุดหวิด และตั้งสมาธิบรรเลงผีผาอย่างรวดเร็ว
ศิษย์ที่ยืนเก็บกวาดเวทีเมื่อครู่ถึงกับปากอ้าตาค้างกับภาพเวทีที่ถูกทำลายไปตั้งแต่เริ่มการประลอง ที่ผ่านมานางทักทายเขาอย่างเป็นมิตรนั่นคือน้ำผึ้งอาบยาพิษชัดๆ
เชียนจือหวาเมื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียกระบวนได้ นางก็พุ่งร่างฝ่าเศษไม้ที่ปลิวว่อนเข้าใกล้ฮวาอิ๋นมี่ให้พอดีกับรัศมีแส้ของนางราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ผู้คนด้านล่างล้วนหวาดผวากับความเก่งกาจดุดันของนางจนเงียบเสียงกันไปหมด
“ในตอนแรกข้าคิดว่าผู้ใช้เสียงรับมือยากที่สุด” จางจิวกอดอกมองการต่อสู้อย่างตั้งใจ
“ผู้ใช้แส้ที่มีความว่องไวสูงมักแก้ทางได้สินะ” หยางผู่เยว่วิเคราะห์ตาม
“ก็ต้องรอดูกันต่อไป” เยี่ยนหรงเสริม
มีเพียงศิษย์ที่มีหน้าที่ซ่อมเวทีที่ยืนนิ่งเงียบถัดจากเยี่ยนหรง เขาน้ำตานองหน้า ได้แต่เพียงคิดในใจว่า ‘เวทีไม้ของเขาทำผิดอะไรกัน!’
บนเวทีบังเกิดเสียงแส้ฟาดใส่แผ่นไม้ที่ปลิวกระจายอยู่บนอากาศดัง เพี้ยะ เพี้ยะ ไม่หยุด รบกวนเสียงผีผาอันแข็งแกร่งของฮวาอิ๋นมี่ได้หลายส่วน แต่ถึงกระนั้นเสียงของผีผาที่บรรเลงโดยผู้มีพลังวัตรสูงก็ยังดังลอดเข้าโสตประสาทของเชียนจือหวาได้ ทั้งรบกวนสมาธิ ทั้งพยายามทำลายสติและอวัยวะภายในของนางอย่างสุดกำลัง
เสียงกระดานไม้แตกยังไม่พอรบกวนพลังของผีผา จะต้องก่อกระแสลม
เชียนจือหวาคิดถึงคำพูดของเยี่ยนหรง คลื่นเสียงอย่างไรก็ต้องใช้ตัวกลาง เช่นนั้นนางก็ก่อกระแสลมอันรุนแรงรบกวนทุกสรรพเสียงเสียก็จบเรื่อง
เชียนจือหวาอดทนต่อเสียงผีผาที่ทำลายสตินางอย่างร้ายกาจ กัดฟันสะบัดแส้เป็นวงกว้างก่อกระแสลมแปรปรวนขึ้นตามท่วงท่าที่เยี่ยนหรงเคยสอนนางไว้
เสียงหวีดหวิวของลมที่เกิดจากแส้วิเศษสีส้ม รบกวนกระแสพลังของผีผาที่บัดนี้ท่วงทำนองเริ่มบ้าคลั่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถถ่วงการโจมตีของฮวาอิ๋นมี่ได้นานพอสมควร
ฮวาอิ๋นมี่เห็นว่าเสียงผีผาของตนไม่สามารถทำอะไรเชียนจือหวาได้มากนักก็เริ่มร้อนรนขึ้น นางใส่พลังวัตรของตัวเองเข้าไปในเสียงเพลงอย่างหนักหน่วง ร่างก็เคลื่อนที่หลบแส้ของเชียนจือหวาที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรงไม่หยุด แววตาเย็นชาสงบนิ่งในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ
เชียนจือหวากัดฟันแน่น เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่หน้าผากมากมาย การสร้างกระแสลมต้องใช้พลังมาก การจะเข้าใกล้ตัวฮวาอิ๋นมี่ให้โจมตีโดนนางนั้นยิ่งต้องใช้ทั้งพลังกายพลังใจ เพราะยิ่งเข้าใกล้เสียงดนตรีก็ยิ่งดังเข้าหูไม่ว่าจะป้องกันสักแค่ไหนก็ยังเล็ดลอดเข้ามาได้
เวลาที่ใช้ในการต่อสู้ไม่นาน แต่สำหรับเชียนจือหวาและฮวาอิ๋นมี่กลับรู้สึกว่าเนิ่นนานหลายชั่วยาม ทั้งคู่เริ่มล้าลงเรื่อยๆ ในที่สุดเชียนจือหวาก็สบโอกาสที่ฮวาอิ๋นมี่เคลื่อนไหวช้าลงจากความเหน็ดเหนื่อย ทะยานเข้าใกล้ตัวนาง และฟาดแส้ลงไปอย่างรุนแรงโดยไม่หวดแส้สร้างกระแสลมปั่นปวดอีก
เยี่ยนหรงมองการต่อสู้อย่างนิ่งสงบ จนถึงจังหวะที่เชียนจือหวาตัดสินใจเจ็บตัวคู่ นางถึงกับพยักหน้าอย่างชื่นชม หากไม่กล้าเสี่ยง จะได้ผลลัพธ์ที่สวยงามได้อย่างไร จากตรงนี้ความเด็ดขาดของเชียนจือหวายังสูงกว่าฮวาอิ๋นมี่
แส้สีส้มที่ฟาดลงมาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ในขณะที่ฮวาอิ๋นมี่เหนื่อยล้าเต็มทนจึงหลบการโจมตีนี้ไม่ทัน พลังรุนแรงฟาดทำลายผีผาในมือนางจนแหลกละเอียด และการสะบัดแส้ครั้งนี้ยังฟาดลงเวทีไม้จนเสียหายเป็นวงกว้าง ร่างของฮวาอิ๋นมี่จึงถูกแรงกระแทกกระเด็นไปกองอยู่กับพื้นที่ริมเวทีด้านหนึ่ง
เชียนจือหวาเองก็บาดเจ็บจากการฝืนรับเสียงผีผาโดยไม่ป้องกันในจังหวะสุดท้าย แต่อย่างไรนางก็ยังคงฝืนยืนหยัดอยู่กลางเวที ไม่ยอมล้มลงให้เสียหน้าเด็ดขาด
ในจังหวะสุดท้ายที่เชียนจือหวาโจมตี ทั่วทั้งบริเวณพากันลุ้นจนกลั้นหายใจตามนางไปด้วย และยังเงียบอยู่เช่นนั้นจนจบการประลอง ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ชมโดยรอบ เชียนจือหวายังคงยืนหยัดได้อย่างสวยงาม
ผู้อาวุโสไห่ฉินกับผู้อาวุโสเจ้าสำนักหลิวเส้าชงต่างพาศิษย์ของตนกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ตำหนักหย่งเหอ ทั้งคู่ไม่ได้อาการสาหัสมาก พักไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ
เมื่อผู้ชนะคือเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ ทั้งคู่จึงได้เป็นตัวแทนในการเข้าร่วมการประลองระหว่างสำนัก ดังนั้นก่อนที่การประลองใหญ่จะเกิดขึ้น ทั้งคู่จึงต้องเก็บตัว และรับการฝึกฝนจากผู้อาวุโสทั้งห้าของสำนักอู่เฉิงเป็นพิเศษ ซึ่งการฝึกนี้จะไม่มีศิษย์คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
เชียนจือหวารู้สึกไม่ชินนัก จึงร้องขอต่อหลิวเส้าชงให้เยี่ยนหรงมาฝึกกับนางด้วย เพราะที่ผ่านมาก็ได้ศิษย์น้องคอยช่วยเหลือมาตลอด นางจึงฝีมือรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากศิษย์น้องอยู่ด้วยจะต้องยิ่งเป็นผลดีแน่นอน
ในตอนที่นางไปหว่านล้อมหลิวเส้าชงก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก เพราะคิดว่าอย่างไรอาจารย์และผู้อาวุโสท่านอื่นก็คงไม่เห็นด้วย แต่ที่ไหนได้ ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นด้วยกันทั้งหมด หยางผู่เยว่ก็ยิ่งเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อแม้ ดังนั้นการฝึกฝนจึงดำเนินไปเช่นนั้น
เยี่ยนหรงถูกเชียนจือหวาลากตัวไปฝึกวิชาด้วยกันทุกวัน แต่นางก็ไม่ได้มีความรู้สึกอยากหรือไม่อยากอะไรอยู่แล้ว จึงตามเชียนจือหวาไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ และคิดว่าอย่างน้อยนางก็เป็นผู้ใช้กระบี่อย่างช่ำชอง ปัจจุบันยังมีแส้เป็นอาวุธประจำกาย อย่างไรก็คงพอมีประโยชน์กับเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่อยู่บ้าง
ผู้อาวุโสทั้งห้าต่างแวะเวียนกันมาฝึกฝนเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่อยู่ตลอด ไม่ว่าจะมีกลเม็ดอะไรก็ล้วนเผยออกมาจนหมดสิ้นอย่างไม่หวงวิชา ฝีมือของเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่จึงได้รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เยี่ยนหรงเองก็พลอยได้ฝึกไปด้วย
เมื่อสบโอกาส เยี่ยนหรงก็พยายามแนะนำคนทั้งสองเรื่องการใช้กระบี่กับแส้อย่างไรให้สอดประสานกัน เพราะตั้งแต่วันแรกที่เก็บตัวฝึกฝน หลิวเส้าชงก็บอกแล้วว่ากระประลองกับอีกแปดสำนักนั้นจะเป็นการประลองคู่ เชียนจือหวากับหยางผู่เยว่ในการประลองรอบแรกจะต้องต่อสู้เคียงข้างกันให้ได้
ใช้กระบี่มาหลายร้อยปี วิชาแส้ก็ฝึกมาตลอดการอยู่แดนมนุษย์ หากนางไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญอาวุธทั้งสองประเภทนี้ที่สุด ในที่นี้ก็ไม่มีใครเชี่ยวชาญอีกแล้ว เยี่ยนหรงอธิบายหลักการ ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของอาวุธทั้งสองประเภทให้เชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ฟังอย่างละเอียด
ด้านเชียนจือหวานั้นชินกับเยี่ยนหรงที่เป็นแบบนี้นานแล้ว ศิษย์น้องนางทั้งฉลาดและรอบรู้เรื่องการต่อสู้อย่างกว้างขวาง ราวกับเป็นอาจารย์คนที่สองเลยก็ว่าได้ แต่หยางผู่เยว่ไม่เหมือนกัน ที่ผ่านมาเขากับเยี่ยนหรงเพียงแค่พูดคุยกันไม่กี่คำ ในความรู้สึกเขานั้น เยี่ยนหรงคือศิษย์น้องที่ใจกว้าง และงดงามอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในช่วงเวลาที่ฝึกฝนด้วยกันเขากลับมองนางต่างออกไปจากเดิม
เยี่ยนหรงทั้งไร้อารมณ์และสงบนิ่ง ฝีมือการต่อสู้ก็เก่งกาจเกินกว่าจะนับเป็นศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกันได้ การพูดจาสั่งสอนเขาและเชียนจือหวากลับไม่เหมือนบุคลิกของเด็กอายุสิบห้าสิบหกปีแม้แต่น้อย เขาก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกแปลกประหลาดในใจนี้ออกมาได้อย่างไร รู้เพียงแต่เยี่ยนหรงที่อยู่เบื้องหน้าเขาดูสูงส่งกว่าคนทั่วไป ใจเขาไม่กล้าอาจเอื้อมอีก แต่ก่อนอาจเคยคิด แต่ตอนนี้ไม่กล้าแล้ว