การประลองภายในสำนัก(2)

1595 Words
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงร้านอาหารประจำของพวกนาง เชียนจือหวาก็สั่งอาหารที่อยากกิน ส่วนเยี่ยนหรงแค่กล่าวกับเจ้าของร้านว่าของนางเอาเหมือนเดิม “กินแต่หมี่น้ำเหมือนเดิมทุกวันไม่เบื่อหรือแม่นางน้อย” เถ้าแก่เนี้ยที่เดินมารับรายการอาหารเอ่ยถามเยี่ยนหรงด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าพวกนางสองคนนี้จะมากินอาหารที่ร้านสักกี่ครั้ง แม่นางชุดสีฟ้าครามคนนี้ก็จะสั่งเหมือนเดิมทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน เยี่ยนหรงคิดในใจ นางไม่สามารถรับรสหรือรับกลิ่นได้ กินอะไรก็ล้วนเหมือนกันหมด “หมี่น้ำร้านท่านอร่อยที่สุด กินจนตายก็ไม่เบื่อ” เยี่ยนหรงยิ้มหวานให้เถ้าแก่เนี้ยอย่างเอาอกเอาใจ ทำให้เถ้าแก่เนี้ยท่านนั้นยิ้มร่าหน้าแดงเดินจากไปทำอาหารให้นางอย่างอารมณ์ดี “โรคนี้สามารถรักษาได้หรือไม่” เชียนจือหวาสีหน้าหม่นลง อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานทำไมนางจะไม่รู้ว่าเยี่ยนหรงเป็นโรคประหลาดที่ประสาทสัมผัสหลายอย่างหายไป ยามกินเห็นนางทำสีหน้าเหมือนอร่อยหนักหนา ใครบ้างจะรู้ว่าความจริงแล้วแค่กลัวคนทำอาหารเสียใจเท่านั้น เมื่อรู้สึกว่าศิษย์น้องของนางช่างน่าเวทนายิ่งนัก นางจึงยื่นมือไปกุมมือเยี่ยนหรงไว้ หากมีวิธีรักษาต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟนางก็พร้อมเสี่ยง เยี่ยนหรงงุนงงไปครู่หนึ่ง เมื่อจับต้นชนปลายได้จึงส่ายหน้าช้าๆ “ข้าก็ไม่รู้” เผ่าปีศาจที่เคยใช้อัคคีนิลกาฬก็ล้วนตายไปหมดแล้ว จะถามจากใครก็คงยาก “แต่รักษาไม่ได้ก็ช่างเถอะ ข้าชินแล้ว” เรื่องที่สำคัญกว่ามากคือการประลอง นางจึงหันเหประเด็นกลับมาพูดกับเชียนจือหวาอย่างจริงจัง “หากท่านต้องต่อสู้กับผู้ที่ใช้เสียงเป็นอาวุธ ท่านจะทำอย่างไร” เชียนจือหวาเมื่อโดนถามอย่างปุบปับจึงตอบกลับอย่างกระท่อนกระแท่น “ใช้… ใช้ความรวดเร็วเอาชนะให้ได้ ก่อนที่ตนเองจะโดนเสียงเพลงทำร้ายจนย่ำแย่” ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหล่าผู้อาวุโสสำนักอู่เฉิงต่างต้องทำตัวเป็นกลาง ไม่ได้ชี้แนะศิษย์ของตนในการประลองอย่างใกล้ชิด เพราะผู้อาวุโสแต่ละคนต่างรู้จุดอ่อนของกันและกันอย่างถ่องแท้ หากเอามาขายให้ศิษย์ย่อมไม่เหมาะสม แต่การให้เหล่าศิษย์ในสำนักมีโอกาสได้สังเกตวิเคราะห์การต่อสู้อย่างชาญฉลาดเองย่อมดีกว่า เพราะอนาคตข้างหน้า พวกเขานั้นก็ไม่สามารถตามไปชี้แนะได้ทุกสถานการณ์เช่นกัน เชียนจือหวารู้สึกดียิ่งที่ถึงแม้อาจารย์จะแนะนำนางไม่ได้มาก แต่ก็ยังมีศิษย์น้องคนนี้ที่คอยตามติด เป็นคู่ซ้อม ทั้งยังช่วยวิเคราะห์การต่อสู้ให้นางได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นางซาบซึ้งจากใจจริง “อืม” เยี่ยนหรงเมื่อได้ยินเชียนจือหวากล่าวก็พยักหน้ารับรู้ แต่แววตาคมกริบของนางยังรุกไล่อย่างไม่ลดละ “ที่ว่าเร็วต้องเร็วสักแค่ไหนกัน ต้องเร็วถึงขนาดไหนฝ่ายตรงข้ามจึงไม่อาจทำอันตรายท่านได้” เชียนจือหวาเอียงคอคิด “โจมตีให้ถึงตัวก่อนที่ฮวาอิ๋นมี่จะได้เริ่มบรรเลง” นางคิดเองยังต้องขมวดคิ้วแน่นเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะเคลื่อนไหวเข้าจู่โจมได้ทันฮวาอิ๋นมี่ขยับมือ ฮวาอิ๋นมี่เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสไห่ฉิน นอกจากมีพลังวัตรที่สูงแล้ว ฝีมือการบรรเลงพิณสังหารยังว่องไวเฉียบคมกว่าศิษย์ปกติ แทบไม่มีทางที่นางจะโจมตีได้ทันเลย “หรือไม่ก็ต้องใช้ความเร็วป้องกันการโจมตี” เยี่ยนหรงเริ่มต้นอธิบายหลักการของสายลม เดิมคนเราจะได้ยินเสียงกันและกันล้วนต้องอาศัยอากาศส่งผ่านเสียงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่หากการส่งผ่านถูกรบกวน เสียงที่ส่งมานั้นก็ไร้คุณภาพ ฟังไม่ชัด ฟังไม่รู้เรื่อง “ท่านเคยขึ้นไปยืนบนยอดเขาที่มีลมกระโชกแรงหรือไม่” เยี่ยนหรงกล่าวพลางรับหมี่น้ำชามโตจากเถ้าแก่เนี้ยที่ยกมาถึง ระหว่างรอคำตอบนางก็คีบเส้นหมี่สีขาวนุ่มที่มีไอสีขาวลอยตามขึ้นมา ทำท่าเป่าให้เย็นลงนิดหน่อย เมื่อไม่รับรู้ความร้อนหนาวก็จำเป็นต้องสังเกตไอสีขาวนี้ก่อนกินทุกครั้ง “เคยสิ! ต้องตะโกนดังมากๆ จึงจะได้ยิน หากลมสงบก็จะได้ยินเสียงชัดขึ้น” เชียนจือหวาตาเป็นประกาย ราวกับนางเพิ่งจะค้นพบของดีบางอย่างที่หายสาบสูญไปนับสิบปี แม้แต่หมี่เนื้อตุ๋นที่เถ้าแก่เนี้ยยกมาวางตรงหน้านางก็ไม่สนใจแล้ว “และหากท่านยืนท่ามกลางสายฝนกระหน่ำคุยกับคนผู้หนึ่งล่ะ” เยี่ยนหรงยังคงถามต่ออย่างปลอดโปร่ง นางพูดไม่ช้าไม่เร็ว ไม่เร่งร้อนแต่ก็ไม่เยิ่นเย้อ “ย่อมต้องตะโกนคุยกัน แต่หากเสียงฝนดังมาก อย่างไรก็ยากที่จะฟังกันรู้เรื่อง” เชียนจือหวาสีหน้าราวคนบรรลุอะไรสักอย่าง ทั้งอิ่มเอม ทั้งตื่นเต้น ความพลุ่งพล่านทำให้นางยื่นมือทั้งสองไปกุมมือของเยี่ยนหรงที่กำลังจะคีบเส้นหมี่เข้าปากไว้อย่างรวดเร็ว กล่าวชื่นชมและขอบคุณศิษย์น้องตรงหน้าไม่หยุด เยี่ยนหรงที่กำลังจะอ้าปากเตรียมงับเส้นหมี่ขาวนุ่มๆจำต้องหุบปากวางมือลงและกล่าวต่อ “การใช้เสียงในการต่อสู้แม้ร้ายกาจ มีจุดอ่อนน้อย แต่อย่างไรก็ยังมีจุดอ่อน” ผู้ใช้เสียงคิดจะสู้กับเทพปีศาจธาตุลมเช่นนาง รอไปอีกพันปีเถอะ! เยี่ยนหรงและเชียนจือหวากินอาหารกันไปคุยกันไปอย่างไม่รีบร้อน วันรุ่งขึ้นยังคงเป็นการต่อสู้ของหยางผู่เยว่และจางจิว พวกนางก็จะไปเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย การประลองของหยางผู่เยว่และจางจิวในวันรุ่งขึ้นมีศิษย์สำนักอู่เฉิงให้ความสนใจอย่างล้มหลาม ทั้งศิษย์ชายศิษย์หญิงแทบจะยกกันมาหมดทั้งสำนัก โชคดีที่เชียนจือหวาและเยี่ยนหรงเตรียมตัวตื่นตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเพื่อมาจองที่ จึงได้ยืนดูการประลองที่ด้านหน้าชัดที่สุด เวทีการประลองเป็นเวทีไม้สี่เหลี่ยมยกพื้นสูงขนาดใหญ่ ด้านล่างมีเชือกผูกล้อมรอบห่างจากตัวเวทีไม้ เพื่อกั้นไม่ให้ผู้ชมเข้าใกล้เวทีมากเกินไปจนเกิดอันตราย เมื่อเสียงผู้อาวุโสเจ้าสำนักหลิวเส้าชงกล่าวเปิดการประลองจบ หยางผู่เยว่และจางจิวก็ก้าวขึ้นมาบนเวทีคนละฝั่ง หยางผู่เยว่เหลือบตามองไปทางคนดูด้านล่าง เมื่อเห็นเยี่ยนหรงยืนอยู่ด้านหน้าสุด สีหน้าเรียบเฉยของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มสดใส สร้างเสียงฮือฮาให้เหล่าศิษย์สตรีมากมายที่มายืนรอชมการประลองอยู่ด้านล่าง บ้างมองหยางผู่เยว่อย่างเคลิบเคลิ้ม บ้างความรู้สึกเร็วมองตามสายตาของหยางผู่เยว่ไปจนเจอตัวต้นตอ สายตาคบกริบหลายคู่ถูกสาดมาที่ร่างเยี่ยนหรง แต่ก็น่าเสียดายที่นางกลับไม่รู้สึกรู้สาในเรื่องราวเช่นนี้ มีเพียงเชียนจือหวาที่มองกลับไปด้วยสีหน้าถมึงทึง ในแววตาแทบจะมีไฟลุกออกมาแล้ว ทำให้ศิษย์หญิงพวกนั้นรีบหันกลับไปอย่างพร้อมเพรียง เสียงกลองดังเป็นจังหวะบ่งบอกว่าเริ่มการประลองได้ ทั้งหยางผู่เยว่และจางจิวก็ค้อมตัวคารวะกันและกัน ก่อนกำอาวุธเข้าประลองกันทันที จางจิวมีฝีไม้ลายมือในการวาดอย่างยิ่ง เขาสะบัดพู่กันวาดภาพบนอากาศอย่างคล่องแคล่ว เพียงพริบตาก็ได้เสือสีดำสนิทตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากน้ำหมึก ก่อนที่หยางผู่เยว่จะเข้าถึงตัวเขาได้เสียอีก แต่วิชากระบี่ของหยางผู่เยว่ก็เป็นเลิศทั้งความรวดเร็ว และความรุนแรง เขาทะยานผ่านเสือน้ำหมึกไปในชั่วพริบตา ไม่มีใครมองการแทงกระบี่ของเขาทัน เห็นเพียงเสือน้ำหมึกที่กางเล็บแยกเขี้ยวตัวนั้นได้สลายหายไปราวกับน้ำหมึกที่ถูกชะล้างด้วยน้ำบริสุทธิ์แล้ว ทำให้ผู้ชมด้านล่างโห่ร้องกันอย่างตื่นเต้น จางจิวปราดเปรียวยิ่ง เมื่อเห็นหยางผู่เยว่เคลื่อนเข้าใกล้ตนได้ก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหลบไปทางอื่นราวภูตผี ปลายเท้าสะกิดอากาศอย่างแผ่วเบาราวแมลงปอบนผิวน้ำ แต่ทิศทางกลับแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้ชมด้านล่างต่างมองการเคลื่อนที่นี้จนตาค้าง หยางผู่เยว่ไล่ตามอย่างไม่ลดละ เขาใช้กระบี่ปัดป้อง และแทงหมึกที่จางจิววาดออกมาเป็นสัตว์ร้ายนานาชนิดอย่างคล่องแคล่ว เห็นจางจิวเหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง ไม่นานสัตว์ที่มีขนาดมหึมาก็ค่อยๆ ทะยานออกมาจากน้ำหมึกที่จางจิวเพิ่งวาดเสร็จ ลำตัวของมันยาว และมีเกล็ดปกคลุม ลูกตากลมโตกลอกไปมา ก่อนที่จะทะยานขึ้นฟ้าสู่หมู่เมฆด้านบนอย่างอิสระ เสียงกู่ร้องของมันทรงอำนาจจนทำให้ทั้งลานประลองสั่นสะเทือนไปหมด ใช่แล้ว จางจิววาดมังกรตัวมหึมาออกมาสู้กับหยางผู่เยว่ ผู้คนด้านล่างต่างพากันเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้า จางจิวมีพรสวรรค์มากเกินไปแล้ว!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD