เมื่อดวงตาลืมขึ้นมาอีกครั้งกลับเปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีแดงฉาน
"ข้าสู้เพื่อปกป้องแดนสวรรค์ไว้ ตัวตนข้าเป็นเช่นไรไม่เคยคิดละอาย แต่พวกเจ้ากลับต้องการให้ข้าตาย เช่นนั้นเหล่าเทพผู้บริสุทธิ์สูงส่งจะต่างอันใดกับปีศาจต่ำช้าที่พวกเจ้าเกลียดชังเล่า" นางชี้มือไปที่ข่ายอาคมแดนอสูร "จิตใจพวกเจ้าต่างอันใดกับอสูรเดียรัจฉานพวกนั้น"
คำพูดต่อว่าเหล่านี้ไม่เคยออกจากปากนางมาตลอดหนึ่งพันห้าร้อยปี เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดแค้น แม้นางจะเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอดก็ตาม
เยี่ยนหรงแหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะที่เจ็บปวดและเดียวดายดังก้องไปทั่วบริเวณราวกับเสียงวิญญาณอาฆาตกู่ร้องโหยหวนชวนให้บรรยากาศโดยรอบวังเวงจนน่าขนลุก
เหล่าเทพที่อยู่รอบด้านต่างหน้าถอดสี เริ่มหันมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น
เยี่ยนหรงเดิมเป็นแม่ทัพสวรรค์ที่เก่งกาจมากอยู่แล้ว หลังคลายผนึกปีศาจพลังนางยิ่งไหลเวียนเต็มเปี่ยม อีกทั้งยังสามารถเรียกอัคคีนิลกาฬจากขุมนรกได้ ใครหน้าไหนจะยังเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อีก
เวยเจี๋ยมองน้องสาวต่างมารดาที่ดวงจิตถูกอัคคีนิลกาฬกลืนกินช้าๆ จนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่ากำลังถูกจิตมารเข้าแทรก ช่างสมเป็นอาคมชั่วร้ายอันดับต้นๆ เสียจริง
เขาจุ๊ปาก และยิ้มอย่างสบอารมณ์อยู่ไกลๆ มองเรื่องน่าสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
เยี่ยนหรงกวาดตามองเทพที่อยู่รอบตัวนางด้วยแววตาว่างเปล่า ความคิดเมื่อครู่ย้อนเข้ามาในหัวอีกครั้งราวเสียงกระซิบแผ่วเบาจากขุมนรก
'เผาพวกมันให้หมด ให้พวกมันวิญญาณสลาย ดวงจิตมอดไหม้ดับสูญให้หมด' แววตานางพลันเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายอำมหิต
"พวกเจ้าอยากฆ่าข้ามากนักมิใช่หรือ ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า" เยี่ยนหรงยิ้มท้าทาย "ขี้ขลาดเช่นนี้ช่างไม่สมกับที่บำเพ็ญตบะเป็นพันๆ ปีเลย"
ได้ยินเยี่ยนหรงกล่าววาจายั่วยุ ก็มีเทพเลือดร้อนองค์หนึ่งก้าวออกมาคิดสู้กับนาง
เยี่ยนหรงยิ้มมองเขา กลางฝ่ามือปรากฏเปลวไฟสีดำสนิทส่ายไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่กระบี่ของเทพองค์นั้นจะพุ่งตรงมาแทงทะลุหัวใจนาง เขาก็ถูกเปลวไฟกลืนกินร่าง วิญญาณสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาแล้ว
เทพที่เคยรอดตายจากสงครามเทพปีศาจเมื่อกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีที่แล้ว ต่างเบิกตามองอัคคีนิลกาฬด้วยความหวาดกลัว ในตอนนั้นราชาปีศาจได้เรียกอัคคีสีดำสนิทนี้มาคร่าชีวิตเหล่าเทพแดนสวรรค์ไปมากกว่าครึ่ง ถึงแม้สุดท้ายเหล่าเทพจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม สังหารราชาปีศาจสำเร็จ แต่ทั่วทั้งดินแดนกลับหลงเหลือเทพที่รอดชีวิตอยู่น้อยยิ่ง ผู้ที่ประสบเหตุการณ์นองเลือดย่อมไม่อาจลืมเลือนได้
เยี่ยนหรงกางแขนทั้งสองข้างออก เพียงพริบตารอบบริเวณกลับมีไฟนรกสีนิลพวยพุ่งออกมาจากรอยแยกบนพื้นดิน หิมะและน้ำแข็งละลายกลายเป็นไอน้ำร้อนระอุลอยขึ้นบนฟากฟ้าเป็นสาย เปลวไฟลุกไหม้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังแสงสว่างจากเบื้องบนไปจนสิ้น ราวกับนี่คือนรกโลกันที่ผุดขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
เหล่าเทพโดยรอบพากันเหาะขึ้นฟ้าหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่อัคคีนิลกาฬมิใช่อัคคีธรรมดา เปลวเพลิงสูงเสียดฟ้ากลับกลายคล้ายอสรพิษเคลื่อนตัวติดตามเหล่าเทพพวกนั้นไปอย่างไม่ลดละ ความหวาดกลัว ความลนลานฉายชัดบนใบหน้าเทพเหล่านั้นอย่างน่ารังเกียจ
มีเพียงเทพที่มีพลังตบะแก่กล้าจึงพอจะใช้พลังปกป้องตนเองหรือใช้อาวุธประจำกายต้านไว้ได้ ซืออวิ๋นเสียงสยายปีกหงส์เพลิงปกป้องร่าง มือถือแส้อัคคีประจำกายพยายามจะต้านอัคคีนิลกาฬ และฝ่าเข้าไปเพื่อหยุดยั้งเยี่ยนหรง
ซิ่วเหยาซ่อนกายอยู่ภายในกลีบดอกมู่ตาน แม้กลีบด้านนอกจะเริ่มมอดไหม้แต่ยังคงต้านไว้ได้ นางพยายามร่ายอาคมบุปผาสังหารซึ่งเป็นอาคมสูงสุดของเผ่าบุปผา พยายามบุกฝ่าเข้าไป แต่ก็ไม่อาจเอาชนะอัคคีนิลกาฬได้ จึงทำได้เพียงต้านกันอยู่เช่นนั้น
เยี่ยนหรงที่คลุ้มคลั่งมองเหล่าเทพที่เหาะหนีกันจ้าละหวั่นด้วยอารมณ์เบิกบาน เมื่อมีเทพองค์หนึ่งต้องเปลวเพลิงจนร่างแหลกเป็นผุยผงวิญญาณแตกซ่าน ริมฝีปากบางก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นอย่างพึงพอใจ ผ่านไปไม่นานเหล่าเทพนับสิบต่างร่างสลายภายใต้อัคคีนิลกาฬนี้
นางสนุกสนานกับการฆ่าได้ครู่หนึ่ง ในหูกลับได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกนาง 'เยี่ยนเยี่ยน' เสียงนั้นดังซ้ำไปซ้ำมาจนสุดท้ายนางก็จำได้ เป็นเทียนตี้
"เทียนตี้" เยี่ยนหรงพึมพำเสียงเบา คิ้วนางขมวดเข้าหากันแน่น ภาพเมื่อสองวันก่อนปรากฏชัดเจนขึ้นในความทรงจำ
'เข้ามาใกล้ๆ หน่อย เรียกข้าว่าเสด็จพ่อสิ'
เยี่ยนหรงรู้สึกราวศีรษะถูกบีบ นางเอามือกุมขมับ คิ้วขมวดมุ่น ภาพของเทียนตี้ลอยเข้ามาในความทรงจำ เทียนตี้ผู้ปกครองแดนสวรรค์กำลังนอนประชวรอยู่บนเตียง เขากวักมือเรียกนางเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยกับนางว่า 'อัคคีนิลกาฬจะกลืนกินจิตใจผู้ใช้จนไร้ความรู้สึก คลุ้มคลั่ง และตกสู่จิตมารได้' เขามองนางอย่างเวทนาและอาวรณ์ จากนั้นนางได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยตอบไปว่า 'จะไม่เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด… ไม่มีทาง…'
เยี่ยนหรงได้สติกลับมา เมื่อมองไปรอบกายกลับพบเทพมากมายร่างและวิญญาณแตกสลายไปแล้ว นางทั้งตกใจและเสียใจ ได้แต่รั้งอาคมส่งอัคคีนิลกาฬกลับขุมนรกอย่างรวดเร็ว
เมื่อไม่มีเปลวเพลิงอันร้อนแรง บรรยากาศรอบด้านก็จับตัวเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง ความหนาวเหน็บเสียดกระดูกเข้ามาแทนที่ เสียงคร่ำครวญกรีดร้องดังระงมจากทั่วทุกทิศทาง ความเจ็บปวดสูญเสียฟุ้งกระจายไปในอากาศ ราวกับแมลงนับพันนับหมื่นกัดกินร่างและหัวใจจนเจ็บปวดทรมาน กดดันจนแทบไม่อาจฝืนมีชีวิตต่อไป
เยี่ยนหรงยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไร้วิญญาณ มิได้หลบหลีกแซ่อัคคีของซืออวิ๋นเสียงกับบุปผาสังหารของซิ่วเหยาที่โจมตีเข้ามาพร้อมกัน นางไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว ไม่อยากหนี ไม่อยากได้ความยุติธรรมใดๆ อีก จะอย่างไรนี่ก็คือชะตากรรมของนาง เช่นนั้นก็ก้มหน้ารับมันต่อไปเหมือนตลอดชีวิตที่ผ่านมาแล้วกัน