“ศิษย์น้อง เหตุใดวันนี้เจ้าดูแปลกไป” เชียนจือหวามองหน้าเยี่ยนหรงอย่างพินิจพิเคราะห์ มองแล้วมองอีก แต่ก็ยังบอกไม่ถูกว่าที่แปลกไปคือตรงไหนกันแน่
“ข้าแปลกไปอย่างไรหรือ” เยี่ยนหรงยิ้มน้อยๆ มองเชียนจือหวา เห็นศิษย์พี่ตรงหน้าประเดี๋ยวอ้าปากประเดี๋ยวหุบปากก็ยังไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ นางจึงแน่ใจว่าทำสำเร็จ
เชียนจือหวาเดินไปรอบตัวเยี่ยนหรง สำรวจอยู่ยกใหญ่ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าแปลกไปที่ใด ความจริงแล้วหน้าตาของเยี่ยนหรงก็ยังงดงามเหมือนเดิมทุกประการ แต่ความรู้สึกที่ได้มองกลับไม่ได้ชวนฝันราวกับต้องมนต์สะกดเหมือนดังตอนแรกเจอ
เพราะอะไรกัน
สุดท้ายเมื่อไม่พบสาเหตุ เชียนจือหวาจึงยอมแพ้ “ช่างเถอะๆ ข้าคงคิดมากไปเอง”
ในค่ำคืนที่ผ่านมาหลังจากพักผ่อนเต็มที่ เยี่ยนหรงก็ตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไร้แสง ตรงไปที่หน้าคันฉ่องใบเล็กภายในเรือนพัก มองจ้องใบหน้าของตนเองที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนักเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เหล่านั้นสนใจในตัวนางจนเกินจำเป็น มองอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ่งรู้สึกไม่ชิน หลายร้อยปีที่อยู่แดนสวรรค์นางแทบไม่เคยกลับร่างเดิมเลย อีกทั้งพลังปีศาจก็ถูกเทียนตี้ผนึกไว้ตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บงำมนต์สะกดของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางด้วยตัวเอง แต่บัดนี้ทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว…
นางมองจ้องดวงตาดอกท้องดงามที่สะท้อนในกระจกเงาสีออกเหลือง พบว่าประกายในดวงตาที่สะท้อนออกมานั้นมีสีชมพูอมม่วง แม้ไม่เด่นชัดแต่ก็ยังพอสังเกตได้ แต่ประกายที่เกิดจากมนต์มายาปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนี้ดวงตามนุษย์ไม่อาจแยกแยะ ดังนั้นต่อให้พวกเขาโดนมนต์สะกดให้หลงใหลก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วนางคือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง จนกว่านางจะมีหางฟูฟ่องเผยออกมาเก้าหางอย่างเด่นชัดนั่นล่ะ มนุษย์จึงจะรู้ตัว
เยี่ยนหรงหลับตาลงช้าๆ พยายามควบคุมพลังฝั่งปีศาจที่ตนไม่เคยควบคุมมาก่อนนี้อย่างตั้งมั่น เมื่อลืมตามองเข้าไปในกระจกอีกครั้ง ประกายสีชมพูอมม่วงก็หายไปจากดวงตาของนางแล้ว พอเห็นเชียนจือหวาตื่นขึ้นมาจึงได้โอกาสทดสอบพอดี
ในตอนเช้ามืดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า อากาศบนยอดเขาจะเย็นจัดจนเกิดเป็นน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ใบหญ้า ที่ตีนเขาอากาศก็เริ่มเย็นลงเช่นกัน ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มสวมใส่เสื้อผ้าหนาหลายชั้นก่อนออกมาทำมาหากินด้านนอก
ท่ามกลางเหล่าแม่บ้านที่เดินจับจ่ายซื้อของในตลาด ท่ามกลางควันโขมงสีขาวและกลิ่นหอมฉุยที่ลอยมาจากซึ้งนึ่งซาลาเปาริมทาง หากสังเกตดีๆ ที่มุมถนนลับตาคนจากเดิมเคยว่างเปล่ากลับปรากฏโต๊ะตัวเล็กวางตั้งไว้ตัวหนึ่ง มีม้านั่งตั้งอยู่ด้านหน้าสำหรับลูกค้า ที่ด้านข้างยังมีธงสีแดงเหลืองฉูดฉาด เขียนว่า ‘ทำนายดวงชะตา’ เชิญชวนคนที่ผ่านไปมาให้นั่งลงรับฟังคำทำนาย
เยี่ยนหรงนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะตัวนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ อาภรณ์สีขาวของสำนักอู่เฉิงยิ่งขับเน้นให้นางดูเย็นชาขึ้นไปอีกหลายส่วน แม้จะคลุมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมสีฟ้าสดใสของเชียนจือหวา ก็มิได้ช่วยขับให้บุคลิกนางเชิญชวนลูกค้าเข้ามาดูดวงเลยแม้แต่น้อย
นางลืมปรับสีหน้าให้น่ามองเนื่องจากกำลังใคร่ครวญเรื่องความรู้สึกในร่างที่หายไปหลังจากฟื้นขึ้นมาจากความตาย นอกจากความโกรธ ดีใจ ความรู้สึกเจ็บ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสแล้ว ยังมีความรู้สึกร้อนหนาวที่หายไปจากร่างด้วย
เช้ามืดวันนี้นางไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลย จนกระทั่งมองไปเห็นหยดน้ำบนใบไม้จับตัวกันเป็นผลึกน้ำแข็ง จึงได้ตระหนักถึงสภาพอากาศแดนมนุษย์ในตอนนี้ อีกทั้งเชียนจือหวายังรบเร้าให้นางสวมชุดคลุมกันลมให้จงได้ บอกว่าอากาศด้านนอกหนาวมาก หากไม่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ จะล้มป่วยได้ สุดท้ายนางจึงยอมใส่เสื้อคลุมสีฟ้าตัวนี้
การไร้ความรู้สึกใช่ว่าจะทำให้นางแข็งแกร่ง แต่กลับตรงข้าม มันกำลังจะทำให้นางตายโดยไม่รู้ตัว ไร้ความรู้สึกเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ผลกระทบที่เกิดกับร่างกายนั้นคือเรื่องจริง หากบาดเจ็บหรือหนาวตายก็เกิดขึ้นได้ เพียงแต่เมื่อไม่รู้สึก นางจะไม่ระวัง และไม่ตระหนัก หากต่อไปยังไม่หัดสังเกตสิ่งรอบตัว กระทั่งตายไปแล้วยังอาจไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองถึงได้ตาย
ชีวิตใหม่ช่างลำบากยิ่งนัก…
ขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างใจลอย ก็ได้ยินเสียงของเชียนจือหวาดังขึ้น
"เจ้านั่งหน้านิ่งแบบนี้ใครจะกล้าเข้ามาดูดวง" เชียนจือหวานั่งไขว่ห้างพิงกำแพงอย่างเกียจคร้าน ตั้งแต่ลงจากเขาตอนเช้ามืดนางก็นั่งหาวอยู่ข้างๆ เยี่ยนหรงเกือบสิบรอบแล้ว "ตะโกนเรียกลูกค้าเสียหน่อย จะได้มีคนสนใจ"
"ทำไมต้องตะโกน พวกเขาอ่านป้ายไม่ออกหรือ" เยี่ยนหรงมองไปที่ธงสีฉูดฉาดจนแทบจะแทงทะลุตาด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ ธงผืนนี้เชียนจือหวาไปเอาออกมาจากห้องเก็บของหลังสำนัก ศิษย์ในสำนักบางคนศึกษาวิชาทำนายทายทัก ก็ใช้วิชานี้หาเงินที่ตลาดตีนเขาเหมือนกัน แต่ต่อมาไม่มีใครใช้แล้ว นางจึงนำมาใช้ได้พอดี
เชียนจือหวาได้ฟังดังนั้นก็เอามือกุมขมับอีกครั้ง ใครจะไร้อารมณ์ และทึ่มทื่อเท่าศิษย์น้องของนางนั้นไม่มีอีกแล้ว แต่อย่างไรนางก็ไม่อยากเสียเวลาตลอดเช้าวันนี้ไปกับการนั่งหาว จึงได้ลงมือเอง
"รับทำนายดวงชะตา" เชียนจือหวาลุกขึ้นพูดเสียงดังจนคนได้ยินไปทั้งถนน "พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย วันนี้พวกเราศิษย์สำนักอู่เฉิงได้ลงเขามาเพื่อช่วยเหลือพวกท่านโดยการทำนายทายทัก แก้ไขดวงชะตาเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี..." เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นางก็รู้สึกว่ามีคนดึงชายแขนเสื้อนางไว้
"ชะตาเปลี่ยนไม่ได้ ข้าไม่อาจแตะต้องวงล้อโชคชะตาของเทพชะตา" เยี่ยนหรงกระซิบบอกเชียนจือหวาด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
เชียนจือหวาเอามือป้องปากกระซิบกลับ "เอาน่า ไม่พูดแบบนี้ใครจะมาสนใจ" หลังจากขยิบตาให้เยี่ยนหรงทีหนึ่ง นางก็หันกลับไปตะโกนเรียกลูกค้าอีกครั้ง "ทำนายดวงชะตา! แก้ไขดวงชะตา! ราคาไม่แพง! สองอีแปะเท่านั้น"
เยี่ยนหรงดึงตัวเชียนจือหวาไว้ กำลังจะยืนยันกับศิษย์พี่ว่านางจะไม่ต้มตุ๋นคนอื่น แต่แล้วก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำนาย
เขามีรูปร่างอวบท้วม สวมเสื้อผ้าเนื้อดี ดูแล้วเป็นคนมีเงิน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาราวกับโลกทั้งใบมีแต่สิ่งสวยงาม แม้แต่ก้อนอิฐบนถนนก็ทำให้เขายิ้มอย่างแช่มชื่นได้
เขาเดินมาพร้อมกับหญิงสาวร่างสะโอดสะองนางหนึ่ง นางอิงแอบอยู่กับชายร่างท้วมผู้นั้นราวเถาไม้เลื้อยบอบบางพันรอบต้นแปะก๊วยสีเหลืองขนาดใหญ่
"เชิญนั่งลงทำนายดวงชะตาสักหน่อย ศิษย์น้องของข้าทำนายแม่นดังตาเห็นเลยล่ะ" เชียนจือหวาเชื้อเชิญลูกค้าคนแรกของวันอย่างมีอัธยาศัย
"น้องหญิงวันนี้เราสองคนมาดูดวงชะตากันเสียหน่อย" ชายร่างท้วมนั่งลงตรงหน้าโต๊ะดูดวงอย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดบนโลกมาทำให้เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดได้
หญิงที่มาด้วยก็นั่งลงข้างกายอย่างออดอ้อน “ท่านพี่เป็นคนดี มีบุญบารมีสูงส่ง สวรรค์ต้องคุ้มครองให้เจอแต่สิ่งดีๆแน่” หญิงงามมีวาจาอ่อนหวานน่าฟัง จึงเป็นที่โปรดปรานของคนรักอย่างยิ่ง
“เทพไหนเลยจะว่างมานั่งคุ้มครองทุกคน…” เยี่ยนหรงพึมพำ แต่เมื่อโดนเชียนจือหวาถลึงตาใส่ก็เงียบปากลงทันที
“เจ้าว่าอย่างไรนะ เมื่อครู่ข้าฟังไม่ถนัด” ชายวัยกลางคนทำหน้าฉงนมองเยี่ยนหรง
"ไม่มีอะไร พวกท่านอยากทราบเรื่องอะไรล่ะ" เยี่ยนหรงสีหน้านิ่งเฉยดูน่าเชื่อถือยิ่ง แม้แต่เชียนจือหวาก็อดพยักหน้าชื่นชมไม่ได้