ตอน พรานน้ำผึ้ง

4994 Words
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 63 เวลา 07.00 น. ผมได้ยินเสียงประตูเหล็กหน้าบ้านเลื่อนเปิด มีเสียงฝีเท้าเดินย่ำถนนกรวดเข้ามา ผมรีบออกจากห้องเตรียมอาหาร เสียงก้าวสวบๆ หยุดแค่บันได ผมชะโงกตัวออกไปที่ระเบียง ผู้ที่ยืนมองขึ้นมาคือปานนั่นเอง เมื่อวานเย็นเขาบอกผมว่าวันนี้จะหยุดงานหนึ่งวัน ผมบอกปานว่าเขาสามารถหยุดงานได้ทุกเมื่อที่จำเป็น แต่หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาปานไม่เคยหยุด ผมบวกค่าแรงวันอาทิตย์เพิ่มให้ไปโดยที่เขาไม่ได้เรียกร้อง ปานมาเป็นผู้ช่วยผมซ่อมแซมและตกแต่งบ้านตั้งแต่วันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่โคชนะจนถึงวันนี้ เขาไม่เคยฝึกวิชาช่างอะไรมาทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนเขามีสิ่งที่เรียกว่า “พรสวรรค์” อยู่ในตัว ผมแค่แนะเขาคำสองคำ เขาเข้าใจและลงมือทำในสิ่งที่เป็นภาพอยู่ในหัวผมจนเสร็จ “ผมจะไปเอาน้ำผึ้ง” ปานพูด ผมรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ “ไปไหม” ผมกะพริบตาหนึ่งปริบ ผมวางแผนไว้ว่าวันนี้จะออกไปคุยกับคนที่จะให้ข้อมูลเรื่องต่างๆ เพื่อที่ผมจะได้บันทึกคำสัมภาษณ์ส่งให้พี่ภูษิตตามที่เขาบังคับผมให้ทำ เรื่องนั้นรอได้เพราะมีเวลาถึงสิ้นเดือน แต่คำชวนของปานมีอายุเพียงนาทีเดียว เพราะถ้าผมไม่ตอบในอีกสองสามอึดใจ เขาจะพูดคำว่าไม่เป็นไรแล้วหันหลังเดินดุ่มออกไป “ไปสิ ไกลไหม” ผมตอบและถาม “หนองหญ้าปล้อง” เขาตอบ ผมพยักหน้าและบอกเขาให้รอสิบนาที ผมกลับเข้าห้อง ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบของในตู้เย็นสองสามอย่างใส่กระเป๋าสะพายข้าง สวมรองเท้าผ้าใบ ล็อกประตูหน้าห้องโถงที่ติดนอกชาน ลงบันไดแล้วเดินไปตามถนนปูอิฐที่เรียงกรวดสลับไปถึงประตูเหล็กหน้าบ้าน ผมเหลียวกลับไปมองไม้ดอกชนิดต่างๆ ที่ปานและผมหามาปลูกไว้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มันกำลังผลิดอกอย่างน่ารัก ผมเดินตามร่างผอมเพรียวออกจากประตู ปานตรงไปยังมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่จอดหน้าบ้าน ผมหันไปล็อกกุญแจประตูเหล็กแล้วก้าวไปยืนข้างรถของเขา ปานส่งหมวกแก๊ปให้ผมและสตาร์ทเครื่องยนต์ ผมใส่หมวกแล้วยกขาขึ้นคร่อมอานด้านหลังเขา เท้าซ้ายวางบนที่วางเท้า ส่วนเท้าขวาผมยกขึ้นวางบนขอบกระบะพ่วงข้างที่มีเชือกหลายขนาดและหลายสีม้วนพันอยู่ด้วยกัน มีถังพลาสติกปิดฝาและย่ามใบหนึ่งวางอยู่ข้างๆ ผมวางมือข้างขวาบนหน้าขาของตนเอง ส่วนมือข้างซ้ายจับบ่าปานไว้เพื่อทรงตัว ลมแรงพัดปะทะใบหน้า ผมขยับหมวกแก๊ปให้กระชับศีรษะ ปานขับรถออกถนนเส้นริมคลองชลประทานและเข้าแยกเล็กผ่านหมู่บ้านดอนกรวดซึ่งเป็นพื้นที่สูงเต็มไปด้วยกรวดหินก้อนโต ผ่านบ้านโคกตาลซึ่งมีต้นตาลเยอะสมชื่อ จากนั้นก็ถึงถนนลาดยางที่จะนำไปสู่อำเภอหนองหญ้าปล้องซึ่งต้องขึ้นภูเขาสามสี่ลูกในระยะทางสามสิบกิโลเมตร ผมแหงนมองยอดไม้ที่เราแล่นผ่านไปด้วยอัตราความเร็วประมาณห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง อากาศเย็นสบายเพราะยังเช้าอยู่ ถนนคดเคี้ยวที่กำลังขึ้นสู่ที่สูงมีรถแล่นสวนมาไม่กี่คัน ผมหวนนึกถึงช่วงหลังปีใหม่ เมื่อเดือนที่แล้ว ... ...วันที่ 5 มกราคม ผมยกกระเป๋าเสื้อผ้าและกล่องของใช้ส่วนตัวอัดใส่รถตู้ของผมจนเต็มแล้วขับออกจากบ้าน แม่ผมเดินออกมายืนส่งที่หน้าประตู ท่านไม่ได้มีท่าทีเศร้าโศกหรือน้ำหูน้ำตาไหลแบบในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ส่วนใหญ่ และไม่ได้พร่ำคำอำลาอาลัยที่ลูกชายจะย้ายออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวที่ชนบท ท่านเพียงแต่โอบบ่าผมแล้วพูดว่า “มีอะไรก็โทรมาคุย เงินไม่พอใช้ก็บอกนะ แม่จัดการให้ได้” “ผมไปอยู่ที่นั่นคงไม่สิ้นเปลืองมากหรอกครับ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่ากับข้าวถุงละสิบบาทก็มีขาย” แม่หัวเราะคิกและบอกผมว่า “ถ้างั้นเงินเอกคงเหลือบาน เก็บเอาไว้แต่งลูกสะไภ้มาอยู่กับแม่นะ” ผมหัวเราะและพนมมือลาหญิงผู้เป็นทุกอย่างของผม เธอเดินผ่านรถตู้ลายดอกไม้ที่ติดเครื่องไว้ไปเปิดประตูใหญ่หน้าบ้าน ผมแสร้งทำหน้าทะเล้นก่อนส่งจูบและโบกมือให้ ผมรู้สึกลิงโลดใจที่จะได้เริ่มทำสิ่งใหม่ให้ชีวิต แล้วผมก็มาถึงตำบลห้วยกระทบในเวลาประมาณสิบโมงเช้า ขณะที่ผมผ่านสี่แยก ผมเห็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง ในกระบะข้างเต็มไปด้วยขวดเปล่า เจ้าของรถกำลังยืนรื้อค้นที่ถังขยะ เขาดึงขวดเบียร์สองขวดออกมาจากในถัง ผมหยุดรถ เปิดกระจกและทักทายเขา “สวัสดีครับ จำผมได้ไหม” ชายหนุ่มคนนั้นมองผม เขาจำผมได้แน่นอน เพราะระยะเวลาเพียงสามอาทิตย์จากวันนั้นที่เขาข้ามถนนไปดึงโซ่ที่คล้องประตูเหล็กริมกำแพงและนำผมข้าไปในบ้านหลังนั้นคงไม่ทำให้เขาลืมเหตุการณ์ หรือหากเขาจำผมไม่ได้เขาก็น่าจะจำรถที่ผมขับได้ เขาพยักหน้า ผมพูดต่อ “ผมย้ายมาอยู่ที่นี่วันนี้” ผมมองชายตรงหน้าที่กำลังโยนขวดเบียร์ที่เก็บจากถังขยะเข้าไปในกระบะพ่วงข้าง แล้วผมก็ได้ความคิด “ผมต้องซ่อมบ้านและต้องเอาต้นไม้รกๆ ออกจากกำแพง แล้วก็ต้องแต่งสวน คงทำคนเดียวไม่ไหว” ผมเว้นระยะ “คุณมาช่วยผมได้ไหม” ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังมัดปากถุงปุ๋ยที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยขวดเปล่า ผมนึกชื่อเขาขึ้นมาได้จากเรื่องที่ป้าหมัยบอกเล่า “ผมชื่อเอกพล คุณชื่อปานใช่ไหม” เขาพยักหน้า ผมพูดต่อ “ปานมาช่วยผมนะ ผมอยากได้คนช่วยสักสองสามเดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น” ผมพูด ปานมองผ่านกระจกรถตู้ที่บรรทุกของมาจนเต็มแน่นทั้งบนเบาะหลังและท้ายรถ เขาเลื่อนสายตามองตัวถังรถดีไซน์ลายเถาไม้เลื้อยที่กำลังออกดอกสะพรั่งซึ่งผมออกแบบเอง เขาพยักหน้าพร้อมกับพูดเสียงเบา “เดี๋ยวไป” “ขอบใจมาก ปาน” ผมยิ้มอย่างดีใจ ผมแวะหน้าบ้านผู้ใหญ่สมจิตและแจ้งกับเขาว่าวันนี้ผมจะเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น ซึ่งเขารู้เรื่องตั้งแต่วันที่ผมมาทำสัญญาซื้อขายกับป้าหมัยแล้ว แม้ว่าผมจะไม่ได้เช่าบ้านของป้าเพ็ญภรรยาเขา แต่ผู้ใหญ่ยังแสดงอัธยาศัยที่ดีต่อผม “มีปัญหาอะไรก็มาบอกนะ ถ้าคุณจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่นี่ก็ไปแจ้งที่อบต.ได้เลย ที่ทำการอยู่ไม่ไกลหรอก เลยสี่แยกไปอีกทาง ขับตรงไปสักเดี๋ยวก็เจอ จะขอไวไฟ อินเทอร์เน็ตก็ไปที่องค์การโทรศัพท์ อยู่ข้างอบต.นั่นแหละ จะเอาเจ้าอื่นก็ได้ คนแถวนี้เขาใช้ของทุกค่ายแหละ พวกเคเบิลโทรทัศน์จานดาวเทียม ของทันสมัยที่ห้วยกระทบมีทุกอย่าง ไม่ต้องห่วง” “ขอบคุณครับ” ผมเตรียมลา “เดี๋ยวผมจะขนของไปลง ต้องรีบเคลียร์ห้องสำหรับนอนคืนนี้ หลังจากนั้นก็จะซ่อม ตกแต่ง และจัดการสวนครับ” “อ้อยังงั้นเหรอ ดีๆๆ ซ่อมบ้านนี่งานสนุก มีร้านขายเครื่องมือเล็กๆ น้อยๆ แถวตลาดบ้านเราสองสามร้าน แถวหมู่บ้านจัดสรรมีร้านสรรพสินค้าใหญ่ของยายกิมฮวย มีของใช้ในบ้านทุกอย่าง ไม่มีอย่างเดียวก็พวกอิฐ หิน ปูน ทราย กระเบื้องแผ่น ต้องไปสั่งที่เขาย้อยโน่น ร้านใหญ่โต เขาเอารถเข้ามาส่งให้ได้ อยากได้คนงานก็บอก ผมจะหาให้” “ผมได้คนช่วยแล้วครับ” “อ้าว เหรอ ว่องไวแท้ ใครล่ะ” “คนแถวนี้เองครับ ผมเจอเขาครั้งแรกที่มาเดือนที่แล้ว รู้สึกถูกชะตา โชคดีเมื่อสักครู่บังเอิญเจอตรงสี่แยก ผมเลยขอให้เขามาช่วยเป็นลูกมือสักสองสามเดือน ผีมือช่างผมพอมีนิดหน่อยครับ คงจะสอนงานเขาได้” “อ้อ ชื่ออะไรล่ะ “ชื่อนายปานครับ” ผู้ใหญ่สมจิตนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ผมได้โอกาสจึงพนมมือลาและขับรถไปยังบ้านร้าง ซึ่งมันได้กลายเป็นบ้านของผมตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว ก่อนเที่ยง ขณะที่ผมกำลังขนของกล่องสุดท้ายลงจากรถ ปานก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา มีมีด จอบ เสียมอยู่ในกระบะพ่วงข้าง เขาจัดการกำจัดหญ้าที่ขึ้นรกรอบบริเวณบันไดบ้านเป็นแนวกว้างเพื่อกันสัตว์เลื้อยคลาน และถางสองข้างทางที่ผมจอดรถอย่างรู้งานโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปาก ช่วงบ่ายผมขับรถออกไปซื้ออาหารและหิ้วมาเผื่อเขาหนึ่งชุด หลังจากวันนั้นปานก็มาทำงานที่บ้านผมทุกวัน ผมเริ่มทำความสะอาดและจัดข้าวของเครื่องใช้ เอาของในบ้านที่ผมไม่ต้องการใช้ออกมากองที่ระเบียงและบอกให้ปานยกใส่รถพ่วงไปขายและเก็บเงินไว้นอกเหนือจากค่าจ้าง ผมออกไปซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ วัสดุต่างๆ รวมทั้งอาหารการกินจากร้านค้าท้องถิ่นทั้งในหมู่บ้านโคชนะ และที่อำเภอเขาย้อย จนพวกพ่อค้า แม่ค้า เจ้าของร้านและลูกจ้างรู้จักหน้าผม พวกเขาทักทายผมด้วยสำเนียงเหน่อเขาย้อยซึ่งมีหลายคำที่ผมฟังไม่ออกหรือเข้าใจผิด เสียงสูงเสียงต่ำของพวกเขาที่ผมเข้าใจพลาดทำให้ผมเรียกชื่อคนผิดมาแล้วหลายคน ซึ่งเมื่อรู้ภายหลังผมก็ได้แต่หัวเราะตัวเอง ขณะที่ผมคิดมาถึงตรงนี้ปานชะลอรถมอเตอร์ไซค์และเลี้ยวขวาเข้าสู่ป่าโปร่ง ผมได้กลิ่นน้ำค้างที่ยังไม่ระเหย กลิ่นใบไม้สดและใบไม้แห้ง ผมหลับตาสูดกลิ่นที่คละเคล้าอวลอยู่ในอากาศ รอบๆ ตัวผมเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติ ผมไม่เคยรู้เลยว่าอำเภอหนองหญ้าปล้องจะเต็มไปด้วยภูเขาและมีป่าไม้เต็มพื้นที่เช่นนี้ รถมอเตอร์ไซค์เริ่มกระเทือนจากเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงและขรุขระ สิบห้านาทีต่อมาปานจอดรถไว้ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง “เข้าไปในป่านั่นใช่ไหม” ผมถามพลางยกขาลงจากอานรถ ปานพยักหน้าแล้วยกย่ามที่ดูหนักอึ้งขึ้นสะพายบ่า ส่วนอีกมือหิ้วขดเชือกยาวที่กองอยู่ ผมรีบก้มตัวหิ้วถังพลาสติกเปล่าและเดินตามหลังเขาไป เราเดินผ่านป่าที่หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ผมส่งถังเปล่าให้ปานถือและเอาขดเชือดมาสะพายเอง มันหนักไม่ใช่เล่น กลิ่นเปลือกไม้บางต้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนความทรงจำลึกลับที่แฝงอยู่มุมใดมุมหนึ่งในร่างผมกำลังพยายามเล็ดลอดออกมา เกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผมเดินตามหลังปานโดยไม่มีการพูดคุยกัน ผมได้ยินเสียงนก เสียงไม้ไหว เสียงย่ำเท้าของผมเองและของปานที่เดินออกหน้าไปประมาณสองสามเมตร ทางเท้าเล็กๆ หายไป เหลือแต่ทางแคบที่เป็นรอยน้ำไหลมีหินมีกรวดก้อนโตให้เหยียบปีนขึ้นสู่ที่สูง หญ้ารกสองข้างทางถูกมีดพร้าในมือปานปัดป่ายพอให้เราเดินผ่าน นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลาเก้าโมงครึ่ง ผมเริ่มหิวนิดหน่อย เมื่อมาถึงดงไม้แห่งหนึ่ง ปานเก็บมีดและเขย่งตัวขึ้นเด็ดลูกพุทราจากกิ่งที่ยื่นระอยู่ข้างทางแล้วส่งให้ผมที่แบมือรับและโยนเข้าปาก มันมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวและมีเมือกลื่น ผมคายเม็ดออกพร้อมกับก้าวเข้าไปจะช่วยเขารั้งกิ่งเพื่อเด็ดลูกที่เหลือ ปานไม่ทันเห็นว่าผมอยู่ข้างหลัง เขาปล่อยมือ ยอดพุทราสะบัดถูกหน้าผมจนหมวกแก๊ปตกลงบนพื้นหญ้า หนามเล็กๆ กรีดเป็นทางจากต้นคอด้านขวาพาดแก้มไปถึงหู เจ็บทีเดียว ปานหันขวับเมื่อได้ยินเสียงอุทาน เมื่อเห็นผมยกมือคลำแก้มที่เริ่มมีเลือดออกซิบ เขากะพริบตาและกระชากมีดพร้าที่สะพายกับเอวออกมาเอี้ยวตัวฟันฉับ กิ่งพุทราขาดสะบั้นลงมากองกับพื้น เขายื่นมือมาที่ต้นคอผม ใช้นิ้วปาดหยดเลือดที่กำลังไหลแล้วเช็ดกับชายเสื้อยืดของเขา จากนั้นก้มหยิบหมวกขึ้นมาส่งให้ผม ผมมองหลังของปานที่ปีนเนินเขาขึ้นไป ย่ามหนักอึ้งที่เขาสะพายถ่วงให้ร่างผอมเคลื่อนไหวได้ช้า กางเกงยีนส์หนาและรองเท้าผ้าใบหุ้มตาตุ่มช่วยปกป้องเขาจากแง่งหินแหลมๆ ที่เขาเขี่ยมันให้พ้นทาง เพื่อที่ผมจะได้ไต่ปีนง่ายๆ เมื่อถึงแนวป่าด้านหนึ่ง เราสองคนหยุดยืนนิ่ง ผมแหงนมองยอดไม้เบื้องบนที่บังแสงแดดไว้ มันให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังอยู่ในฉากภาพยนตร์ที่อีกสักครู่หนึ่งจะมีสิ่งประหลาดมหัศจรรย์บังเกิดขึ้น ครู่ใหญ่ผ่านไปหลังจากลงเนินสูงชันไปยังป่าอีกด้านเราก็ถึงลำห้วยสายเล็ก ผมทรุดตัวลงนั่งอิงโขดหินแล้ววางขดเชือกลงกองกับพื้นใกล้กระเป๋าสะพาย ปานควักห่อข้าวเหนียว น้ำพริก และหมูปิ้งออกมา เขาเอามาเผื่อผมด้วย ผมเปิดกระเป๋าหยิบขวดน้ำ ขนมปัง และผลไม้จากตู้เย็นออกมาวาง ผมเอามาเผื่อปานด้วยเช่นกัน จากนั้นเราสองคนก็จัดการกับอาหารมื้อสิบโมงเช้าอย่างเอร็ดอร่อยเพราะความหิว มีร่มไม้สูงบังแดดที่ส่องลอดลงที่พื้นเป็นด่างเป็นดวง เราไปล้างมือกันที่ลำห้วยหลังจากกินอาหารที่กองตรงหน้าจนหมด เสร็จแล้วปานก็เดินนำผมเข้าไปยังพงไม้ที่ปรกลงบนเนินดินคล้ายจอมปลวก เขาใช้มือแหวกใบไม้และกิ่งไม้ออกเป็นช่องกว้าง ผมมองเห็นโพรงดินลึกเข้าไป ผมถอดหมวกเก็บลงในถังแล้วมุดเข้าไปในโพรงนั้นหลังจากที่ปานมุดนำเข้าไปก่อนพร้อมด้วยขดเชือกและย่าม ในโพรงนั้นมีกลิ่นหอมของดินที่ซึมซาบเข้าสู่สมอง ผมคลานเข้าไปในความมืดโดยมีเสียงแสกสากของปานนำทาง ครู่หนึ่งเราก็โผล่ออกไปยังปากโพรงอีกด้านที่แดดส่องจ้า ผมยืนตะลึงกับภาพต้นไม้สูงที่ขึ้นอยู่ห่างๆ กันในผืนป่าโปร่งยาวสุดตา แต่ละต้นมีรังผึ้งขนาดใหญ่อยู่บนกิ่ง ผมเห็นเมฆสีขาวบนท้องฟ้าที่ใสสะอาด ได้ยินเสียงนกและเสียงผึ้งที่กำลังบินอยู่ ปานเดินเข้ามาปลดเชือกจากบ่าผมเมื่อเราเดินถึงต้นไม้ที่เขาแหงนหน้าเลือกรังผึ้งไว้ จากนั้นเขาก็ดึงกระป๋องเล็กๆ ออกมาจากย่ามและเปิดฝาออก “อะไร” ผมถามเมื่อเขายื่นกระป๋องมาตรงหน้า มีกลิ่นเหมือนยาหม้อโชยออกมา “น้ำมันว่าน กันผึ้งต่อย” เขาตอบ “ทาบางๆให้ทั่วตัว” “ปานจะให้ผมปีนต้นไม้ขึ้นไปเอาน้ำผึ้งด้วยหรือ” ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก “งั้นรออยู่นี่” ปานตอบ “ผมจะขึ้นไปสักชั่วโมง” “อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว เอาผมไปด้วย!” ผมตอบพลางถอดหมวกออกและใช้มือควักน้ำมันข้นคลั่กขึ้นมาจัดการทาบางๆ ทั่วใบหน้า หัว หู ลำคอ และแขนสองข้าง “แล้วปานไม่ทาหรือ” ผมถาม ปานสั่นหน้า เขาเริ่มลงมือผูกเชือกยาวเส้นเล็กกับหูถังพลาสติกอย่างแน่นหนา “ปาน ผมไม่เคยปีนต้นไม้สูงขนาดนี้นะ” ผมเสียงสั่นขณะแหงนมองขึ้นไปยังยอดไม้ ความสูงน่าจะราวยี่สิบเมตร ปานย่างเข้ามาชิดตัวผม เขาผูกเชือกเส้นที่ถืออยู่ในมือรอบเอวผมและมัดเงื่อนสองทบ เขาทดลองดึงจนตัวผมเซ เมื่อแน่ใจว่าแน่นหนาพอแล้วเขาจับปลายเชือกอีกข้างผูกรอบสะโพกบนของเขาและมัดเงื่อนสองทบแบบเดียวกัน ระยะห่างของผมกับเขาคือประมาณสามเมตร ต่อมาเขาดึงเข็มขัดผ้าใบเส้นหนาออกจากย่ามแล้วคาดเอว มีห่วงเหล็กขนาดต่างๆห้อยออกมาจากเข็มขัดนั้น “ไปกัน” ปานพูด มือหนึ่งของปานหิ้วหูถังเปล่าที่ผูกเชือกยาวไว้โดยมีขดเชือกที่เหลือทุกเส้นกองอยู่ก้นกระถัง เขาหยิบตะขอรูปตัวเอสเกี่ยวหูถังขึ้นมาแขวนกับห่วงที่เอว ส่วนบ่าของเขาสะพายย่ามอันหนักอึ้ง “แล้วปานไม่ต้องจุดคบไฟแบบคนอื่นเขาเหรอ ผมเคยเห็นในหนังทีวี พวกคนที่ไปตีผึ้งเขาจะจุดคบใบไม้ใช้ควันไล่ผึ้ง แถมต้องใส่หมวกคลุมรุงรังไปหมด” ผมเอ่ยปากถาม ปานสั่นศีรษะอีกครั้ง ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะมองปานเดินไปที่โคนต้นไม้พลางแหงนมองรังผึ้ง “พี่เอกอย่ามองลงไปข้างล่างตอนที่กำลังปีนขึ้นนะ” เขากำชับ ปานปล่อยถังใบนั้นให้ห้อยอยู่ข้างตัว จากนั้นล้วงมือเข้าไปในย่าม ดึงค้อนด้ามสั้นออกมา เขาคล้องมือเข้ากับเชือกที่ผูกเป็นวงไว้ที่ด้ามกันหลุดมือ จากนั้นล้วงทอยเหล็กรูปร่างเหมือนตะปูขนาดใหญ่ยาวประมาณคืบกว่าๆ ออกมา มันเป็นเหล็กปล้องอ้อยที่มีลายขรุขระ ด้านปลายแบนแหลม ส่วนหัวเป็นหมวกคล้ายเห็ด เขาเริ่มใช้ค้อนตอกทอยลูกแรกลงไปในเนื้อไม้ เท้าข้างหนึ่งปีนขึ้นไป เขาล้วงหยิบทอยลูกที่สองออกมาแล้วตอกเหนือลูกแรกขึ้นไปห่างกันประมาณหนึ่งช่วงแขน เขาปีนขึ้นไปตอกทอยลูกที่สามและดึงห่วงเหล็กจากเอวของเขายึดหัวทอยไว้ เขาก้มบอกผม “พี่เอกขึ้นมา จับลูกทอยไว้ ก้าวขึ้นตามเมื่อผมก้าว ถ้าขึ้นไปสูงๆ แล้วกลัวก็บอก ผมจะพาลง” ผมก้าวเท้าขึ้นบนทอยลูกแรก ใช้มือเกาะทอยลูกที่สอง จากนั้นก็ปีนขึ้นไป ใช้มือเกาะทอยลูกที่สาม ผมมองขึ้นไปเห็นปานกำลังตอกทอยลูกที่หก ทุกครั้งก่อนตอกทอยลูกใหม่เขาจะใช้ห่วงเหล็กที่เอวยึดหัวทอยลูกที่เขาเพิ่งตอกเสร็จเพื่อความปลอดภัย ผมไต่ตามเขาขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น เชือกที่ยึดโยงผมไว้กับร่างของเขาทำให้ผมเกิดความรู้สึกสองอย่าง อย่างแรกคือมั่นใจว่าหากผมก้าวพลาดเขาจะรู้จากเชือกที่กระตุก และเขาจะสามารถดึงผมขึ้นมาได้ โดยห่วงเหล็กที่เอวของเขาจะเป็นเซฟตี้ยึดร่างเขาไว้กับลูกทอยไม่ให้พลัดตกตามคนข้างล่าง แต่ความรู้สึกอย่างที่สองคือ ผมต้องไม่พลาด เพราะหากผมพลาดผิดจังหวะ ปานอาจเสียการทรงตัว และเราสองคนจะลอยละลิ่วสู่เบื้องล่าง ผมกล้าเกินไปหรือเปล่าที่ฝากชีวิตไว้กับชายหนุ่มผู้นี้ หรือมันคือความโง่...แต่นี่ไม่ใช่เวลามาตั้งคำถาม ผมบอกตัวเอง เพราะสิ่งที่ผมต้องทำวินาทีปัจจุบันคือยกเท้าก้าวตามเขาขึ้นไปโดยไม่ลดสายตาลงต่ำ สิบนาทีคืบคลานผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกตื่นเต้นแกมหวั่นใจของผมค่อยลดลงไปตามความสูงที่ผมปีนขึ้น ผมได้กลิ่นอากาศที่อยู่สูงมากจากพื้นดิน มันเจือกลิ่นใบไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นเกสรดอกไม้ป่าที่ลอยมาจากหุบเขาไกลๆ หูผมได้ยินเสียงตอกทอยที่แน่นหนักแม่นยำเป็นจังหวะและเสียงลมหายใจของปาน “ใกล้ถึงแล้ว” ปานก้มบอกผม “เดี๋ยวพี่เอกมานั่งง่ามนี้” ผมแหงนหน้ามองปานที่ขยับร่างไปทางขวา ผมไต่ไปยังง่ามไม้ที่ปานชี้บอกและนั่งคร่อมอย่างเหมาะเจาะ มือหนึ่งผมกอดลำต้นไม้ไว้ ส่วนปานนั่งลงบนกิ่งที่มีรังผึ้งใหญ่อยู่กลางกิ่ง เขาแก้เชือกที่ผูกใต้เอวของเขาออกและมัดมันไว้กับกิ่งไม้ที่เขานั่งอย่างแน่นหนา มันคือเซฟตี้ของผม “พี่เอกนั่งทรงตัวดีๆ อย่ามองลงไป” ปานหันมามองให้แน่ใจว่าผมนั่งถูกท่า เขากำลังผูกปลายเชือกของถังเปล่ากับกิ่งไม้ที่เขานั่งอยู่ “ถ้ามีผึ้งมาบินวนตอม ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวมันก็ไปที่อื่น” ผมพยักหน้าและมองเขาหยิบเชือกเส้นสั้นสีเขียวร้อยเข้าไปในห่วงเหล็กที่เข็มขัดผ้าใบแล้วคล้องกับกิ่งไม้ก่อนจะล็อกปลายทั้งสองเข้าด้วยกันดังกริ๊ก เขาดึงกระชากสองสามครั้งเพื่อเช็คความปลอดภัย จากนั้นเขาค่อยๆ กระเถิบตัวเข้าไปใกล้รังผึ้งซึ่งขณะนี้บรรดาเจ้าของรังกำลังขยับเคลื่อนไหวไปมาราวกับแผ่นผ้ากำมะหยี่ที่ถูกลมพัด เมื่อเขาเลื่อนร่างเข้าไปใกล้ขึ้น คราวนี้สิ่งที่ดูเหมือนผ้าลายสีดำสลับเหลืองที่คลุมรังผึ้งอยู่เริ่มสะบัดโบก ผึ้งฝูงใหญ่พร้อมใจกันบินผละออกจากรังของตน มีผึ้งกลุ่มหนึ่งบินโฉบมาทางผมอย่างอยากรู้ พวกมันบินวนอยู่หลายรอบ แต่ผมก็นิ่งเฉยไว้ จนกระทั่งพวกมันบินไปทางอื่น ปานใช้มีดเฉือนรังผึ้งออกทีละชิ้นใส่ลงในถังที่รองข้างใต้ ฝีมือเฉือนของเขาตรงแน่วราวทาบด้วยไม้บรรทัด แต่ละชิ้นถูกตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านหนึ่งกลมมนตามความโค้งของรังผึ้ง จนมาถึงหัวน้ำหวานที่ติดกับกิ่ง ปานกระชับมือจับมีดที่ผูกห้อยข้อมือและเอียงคอหามุมก่อนปาดอย่างแม่นยำใส่ถังซึ่งหนักอึ้งและใกล้เต็มล้นจนกระทั่งถึงชิ้นสุดท้าย “จะเกาะถังกลับลงไปก็ได้นะพี่เอก” ปานหันมาพูดเล่นอย่างอารมณ์ดี “อยากชิมสักชิ้นว่าหวานแค่ไหน” ผมพูดจริง ปานชะงักมือที่กำลังจะชักรอกหย่อนถังน้ำผึ้งลงไปสู่พื้นเบื้องล่าง เขาก้มตัวเฉือนรังผึ้งที่ชุ่มฉ่ำชิ้นเล็กติดปลายมีดแล้วกระเถิบตัวเข้ามายังง่ามไม้ที่ผมนั่งอยู่และยื่นส่งให้ มือซ้ายผมโอบลำต้นไม้ไว้แน่นก่อนชะโงกตัวยืดแขนจนสุดไปหยิบหัวน้ำผึ้งมาใส่ปาก ลิ้นและลำคอของผมรับรู้รสชาติที่หวานสนิทเจือกลิ่นหอมของเกสรดอกไม้ป่า ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกประหลาด ผมกำลังอยู่บนง่ามกิ่งไม้สูงจากพื้นดินประมาณยี่สิบเมตร มีกิ่งไม้เล็กๆ และใบไม้ปกคลุมหนาอยู่เบื้องบนและด้านข้าง เบื้องหน้าผมคือฟ้ากว้างที่มองไปสุดตาเห็นแต่ความเขียวชอุ่มของผืนป่า มีเมฆขาวเหมือนก้อนสำลีลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าที่สว่างไสวไปด้วยแสงอาทิตย์ ผมมองปานที่กระเถิบร่างผอมออกไปกลางกิ่งไม้ที่รังผึ้งทั้งหมดถูกตัดลงใส่ถังเปล่าจนเต็มเปี่ยม เขาหย่อนถังลงไปอย่างระมัดระวัง ครู่หนึ่งมันก็ถึงพื้น เขาแก้เชือกที่เหลือและโยนลงไปก่อนเก็บมีดใส่ปลอกยัดลงย่ามที่แขวนต่องแต่งเหนือศีรษะ ปานยืดตัวนั่งบนกิ่งไม้ หายใจยาวอย่างผ่อนคลาย ครู่หนึ่งเขาหันมาและตะโกนบอกว่า “ผมจะบินให้ดูนะ” ก่อนที่ผมจะเข้าใจสิ่งที่เขาบอก เขาก็ปล่อยมือจากกิ่งไม้ หงายหลัง กางแขนกางขาลอยอยู่กลางอากาศ “เฮ้ย!” ผมร้องอย่างหวาดเสียวและใช้มือหนึ่งปิดตา ร่างของปานโยกโยนไปมาอย่างช้าๆ สายลมที่พัดกระทบร่างของเขาพากลิ่นที่ผมเริ่มคุ้นเคยมาเข้าจมูก มันเหมือนกลิ่นน้ำมันว่านที่ผมทาตัวผสมกับกลิ่นน้ำผึ้งที่ติดอยู่ปลายนิ้วผมขณะนี้ เชือกเส้นที่คล้องกิ่งไม้ยึดโยงร่างเขาไว้ตึงตัว ห่วงเหล็กที่เอวเขาขยับกรุกกริกสะท้อนแสงอาทิตย์ “ปานเหมือนผึ้งเลย” ผมตะโกนบอกไป รู้สึกวิงเวียนเมื่อเห็นร่างของเขาแกว่งและหมุน ปานทำท่ากระพือแขนเมื่อได้ยิน ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นภาพทั้งหมดตรงหน้า ผมค่อยๆ ปล่อยมือจากลำต้นที่โอบไว้แล้วยกขาออกจากง่ามไม้อย่างช้าๆ ผมจับเชือกของผมไว้จนแน่น จากนั้นผมก็ทิ้งร่างลงกลางอากาศ ผมคว่ำตัวยกแขนสองข้างแนบหูในท่าเหาะ “ผมเป็นซูเปอร์แมน” ผมหัวเราะ รู้สึกมึนเมากับภาพเบื้องล่างที่กำลังหมุนคว้าง ผมเห็นถังพลาสติกสีขาวตั้งอยู่ไม่ห่างจากโคนต้นไม้ที่เราสองคนห้อยแขวนตัวอยู่ ใบไม้แห้ง พุ่มไม้สีเขียวสีน้ำตาล เสียงนกร้อง ครู่หนึ่งผมก็ยกตัวขึ้นมาเกาะเชือกไว้แน่น “ฝั่งโน้นเป็นเมืองพม่านะ” ปานชี้ให้ผมดูเส้นทึบคดโค้งสีเทาหยียดยาวอยู่ไกลลิบ “เทือกเขาตะนาวศรี” ผมเงยหน้าที่ซบอยู่กับต้นแขนขึ้นดูแนวเทือกเขาที่พาดขอบฟ้า ผมเริ่มตาลาย “ผมจะบินไปที่นั่นสักวัน” ปานพูดต่อโดยไม่ละสายตาจากขอบฟ้า “ที่นั่นมีป่าดิบ ไม่มีใครไปถึง ต้นไม้ทุกต้นมีรังผึ้งใหญ่ขนาดเท่าล้อเกวียน มันกินเกสรจากดอกไม้ที่อยู่ในหุบเขา” “ปานไปรู้มาจากไหน” ผมถามพลางจับเชือกไว้ทั้งสองมือ ขาผมหย่อนอยู่กลางอากาศ ทิวทัศน์เริ่มหมุนรอบทิศอีกครั้ง แสงสีนับไม่ถ้วนวูบวาบผ่านเปลือกตาขณะเดียวกับที่หูของผมอื้ออึงด้วยเสียงลมพัด ผมกลืนน้ำลายแล้วกัดฟันแน่น สมองส่วนหนึ่งรับรู้ถึงเสียงกรุ๊กกริ๊กของห่วงที่ติดอยู่กับเข็มขัดผ้าใบของปานที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ง่ามกิ่งไม้ที่ผมห้อยตัวอยู่ ความรู้สึกแปลกประหลาดเข้าเกาะกุม เหงื่อทะลักออกจากขมับสองข้างและลำคอจนแสบแผลที่ถูกหนามพุทราเกี่ยว แล้วผมก็หมดสติไป ผมลืมตาขึ้นเมื่อใบไม้แห้งปลิวจากที่สูงตกใส่หน้าผาก แดดเป็นลำทอดยาวลงมาจากยอดไม้เบื้องบน ผมหันหัวไปดูก็เห็นถังพลาสติกสีขาวปิดฝาสนิทตั้งอยู่ข้างย่ามที่ตุงด้วยสิ่งของและมีด้ามค้อนผูกเชือกโผล่ออกมา ปานนั่งพิงโคนไม้ดูผมอยู่ ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมานอนหนุนขดเชือกอยู่บนพื้นหญ้าอย่างนี้ แล้วผมก็นึกออกว่าก่อนหน้านี้ผมอยู่ที่ไหน “เฮ้ย” ผมร้อง “ผมลงมาได้ไงนี่” “เหาะลงมา” ปานตอบยิ้มๆ ผมมองเห็นความอ่อนล้าจากท่าที่เขาเอนตัวพิงโคนไม้ ผมเดาว่าเขาคงแบกผมขึ้นบ่าแล้วไต่ลงมาก่อน จากนั้นจึงปีนกลับขึ้นไปเอาลูกทอยที่ตอกไว้เป็นระยะอีกรอบ เขาคงใช้แรงกายไปไม่น้อย ผมลุกขึ้นยืนสะบัดเนื้อสะบัดตัว เศษใบไม้ร่วงพรูลงจากเสื้อผ้า ผมเดินไปที่โคนไม้และยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ขอบใจมาก ปาน ผมจะไม่ลืมวันนี้” ปานเสมองไปทางอื่นแล้วลุกขึ้นเดินไปคว้าย่ามขึ้นสะพายก่อนย่อตัวหิ้วถังน้ำผึ้งอันหนักอึ้ง “เอางี้ดีกว่า เราหามหัวหามท้ายกัน ผมขอน้ำผึ้งขวดหนึ่งเป็นค่าแรง” ผมบอกเขาพลางหยิบหมวกขึ้นมาสวม “พี่เอกไหวหรือเปล่า” เขาถามและมองสภาพของผม “ลองดู” ผมตอบเขา ปานแหงนมองหาสิ่งที่จะทำเป็นไม้คาน ไม่นานเราก็ได้ไม้กลมยาวน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงมาสอดที่หูหิ้วถังน้ำผึ้ง เขาใช้เชือกเส้นเล็กมัดไม้คานตรงกลางติดกับหูหิ้วจนแน่นไม่ให้มันเลื่อนขยับ จากนั้นก็พับใบไม้ซ้อนกันจนหนามารองบ่าให้ผมกันเจ็บ แล้วเราสองคนก็หามสิ่งที่เราได้จากป่าในวันนี้ออกเดิน ประมาณชั่วโมงเศษเราก็ไปถึงรถมอเตอร์ไซค์ของเขา ผมดื่มน้ำไปหลายอึกเมื่อปลดไม้คานลงจากบ่าที่เริ่มระบม ปานยกถังน้ำผึ้งตั้งวางในกระบะ โยนขดเชือกลงไป และเอาย่ามวางไว้มุมหนึ่ง ขากลับออกมาจากเนินแห่งนั้นผมรู้สึกว่ามันไวกว่าขามา ไม่นานเราก็ถึงถนนลาดยางในเวลาบ่ายโมง บ่ายสามโมงปานไปส่งผมที่หน้าบ้าน ผมกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขา “ขอบใจมาก ปาน วันนี้ผมสนุกจริงๆ” “พรุ่งนี้ผมเอาน้ำผึ้งมาให้” ปานหันมาบอกแล้วออกรถ ผมมองร่างผอมของเขาที่ห่างออกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD