bc

กาลครั้งหนึ่งที่โคชนะ

book_age16+
43
FOLLOW
1K
READ
blue collar
no-couple
serious
mystery
brilliant
genius
small town
secrets
like
intro-logo
Blurb

“รอบบริเวณทุ่งนาของหมู่บ้าน วัวพันธุ์ไทยหลายฝูงยืนกินฟางแห้งกลางแสงแดดอันร้อนแรง มีหลายตัวเคยเป็นนักกีฬาวัวลานที่ต้องวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยมาก่อน บัดนี้พวกมันต่างยืนเคี้ยวเอื้องอย่างอิสระรอเวลาที่จะได้ขึ้นรถไปสู่ที่ใดที่หนึ่ง

“ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนั้นโดยมีปานเป็นผู้ช่วยอย่างเช่นที่เป็นมาตลอดปีที่แล้ว ปีนี้เราเริ่มต้นอย่างดีด้วยการรับเหมาจัดแต่งสวนรอบบริเวณสำนักงานของฟาร์มโคชนะ มีโรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่งมาจองคิวเราสองคนไว้ นอกจากนั้นภาพวาดของผมชุดนางรำเพชรบุรีก็มีผู้ซื้อไปในราคาที่ผมพอใจ

“ผมและปานยังคงความสัมพันธ์ไว้เช่นเดิม ซึ่งมันก็งดงามในเส้นทางที่ทำให้เราสามารถเป็นตัวของตัวเองอยู่ได้โดยไม่มีใครต้องเจ็บปวด ปานยังขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ต้องซ่อมกันเป็นครั้งคราว ยังเก็บหมาจรมาเลี้ยงและพาไปทำหมัน เราไปขนน้ำผึ้งกันเดือนละครั้งและเขาจะหยุดงานหนึ่งวันหลังจากนั้น ส่วนผมเองก็ทำงานส่วนตัวของผมไปในวันที่ไม่ได้ออกไปจัดสวนข้างนอก เมื่อได้รับเชิญไปงานที่มีรำวงผมไม่เคยปฏิเสธ เพราะผมมีคนพากลับบ้านทุกครั้ง...”

- -- -- -- -

...ตลอดหลายเดือนที่ทำงานกับคาเฟ่แห่งนั้นเจี๊ยบได้เห็นใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พวกลูกค้าต่างตั้งใจมาหามุมถ่ายรูปเพื่อนำไปลงสื่อสังคมให้ผู้ชมกดไลค์ เขาเห็นแววตาหม่นเศร้าและรู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาของผู้คนที่ต่างแสวงหาการยอมรับจากกันและกัน ในมือของทุกคนถือโทรศัพท์ที่พร้อมจะยกขึ้นหรือยื่นออกไปเมื่อได้จังหวะ พวกเขามักฉีกยิ้มร่าหรือทำหน้าตาไร้เดียงสาให้กล้อง บางคนทำปากกลมๆ ขยิบตาหนึ่งข้าง หรือแม้กระทั่งแลบลิ้นเลียริมฝีปากในแบบยั่วยวน แต่เมื่อลดกล้องลงแล้วพวกเขาก็เข้าสู่อารมณ์เก่าและนั่งจับเจ่าอยู่กับกาแฟเย็นชืดตรงหน้า

ลูกค้าหลายคนแต่งตัวทันสมัยเข้ามาในร้าน พวกเขามักเข้าไปยืนชิดติดกับแจกันดอกไม้ที่เจี๊ยบจัดวางไว้ใกล้กับเฟอร์นิเจอร์หรูและเครื่องประดับฉาก พวกเขาจัดท่าทางของตนเองอย่างกระตือรือร้นและไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อถ่ายภาพเสร็จจากมุมหนึ่งก็เคลื่อนร่างไปยังอีกมุม พวกเขามองไม่เห็นดอกไม้แม้ว่าจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หรือเอียงสะโพกเข้าไปจนชิด สิ่งที่พวกเขาเห็นคือฉากอันตระการที่ผู้ชมจะยกนิ้วให้ บางคนสะกิดเรียกเจี๊ยบให้เข้ามายืนถ่ายรูปด้วยกัน เพราะเจี๊ยบย้อมผมสีทองและใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ซึ่งมันช่วยทำให้ภาพถ่ายของพวกเขามีสีสันเพิ่มขึ้น เมื่อชัตเตอร์ลั่นกริกแล้ว พวกเขาก็หันหลังให้เจี๊ยบทันที ซึ่งเขาก็ไม่คิดอะไรมาก ลูกค้าคือคนที่ทำให้ร้านอยู่ได้ และเขาก็มีเงินเดือนพอใช้จากงานที่ทำอยู่

แต่ยิ่งนานวันไปเจี๊ยบเริ่มรู้สึกว่างเปล่า หัวใจของเขากลวงและมีรอยโหว่ เขาเหงา ไม่ใช่เหงาหาผู้คนที่เขาพบเจอวันละมากมาย ทั้งเพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานในร้านคาเฟ่ ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า ความเหงาของเขาไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด

เจี๊ยบเคยสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เอกพลก็เลิกทำงานที่กำลังไปได้ดีแล้วหันมาใช้ชีวิตที่แตกต่าง ตอนนี้เขาคิดว่าพอจะรู้เหตุผล ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรือขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานอย่างที่หลายคนประสบ แต่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่เกิดจากการแสวงหาบางสิ่งที่แม้ตนเองก็ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร การเปลี่ยนที่ เปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนสิ่งรายรอบ และเปลี่ยนผู้คนที่แวดล้อมก็อาจทำให้เขาพบคำตอบ

- -- -- -- -- --

“ผมนอนคิดไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่คิดแบบเมื่อก่อน เมื่อคืนผมวาดภาพในใจว่าหากผมอยากได้สมบัติในถ้ำจริงๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินเท้าเข้าป่าฝ่าอันตราย ผมคงต้องจ้างนายพราน นักสำรวจ นักผจญภัย หรือทหารรับจ้างให้นำทางไปตามแผนที่นี้ เราต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมทั้งอาวุธอันมีประสิทธิภาพที่จะฆ่าสัตว์ป่าทุกชนิดที่ขวางหน้า ซึ่งผมคงฆ่าพวกเขาไม่ลง นอกจากนั้นผมคงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนที่เต็มไปด้วยความโลภ มีความกล้าหาญแบบผิดธรรมชาติที่สามารถทำลายชีวิตอื่นได้เพื่อความสนุกหรือเมื่อจวนตัว อีกทั้งเรายังต้องติดต่อกับทางการพม่าเพื่อขอข้ามแดน เมื่อเรื่องนี้ขยายไปก็จะกลายเป็นเหตุยุ่งยากของผมและปานไม่มีวันจบสิ้น เราพ่อลูกชอบอยู่แบบเงียบๆ พอมีพอกิน ทำงานหาเลี้ยงชีพไปตามความถนัด ผมผ่านมาแล้วช่วงที่ผมอยากได้เงินเยอะๆ จนมาถึงวันนี้ สิ่งที่ผมอยากได้ที่สุดคือการมีชีวิตอย่างสงบสุข ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เป็นภาระกับใคร ผมไม่ต้องการร่ำรวยล้นฟ้า แค่ไม่เป็นหนี้เป็นสิน มีสุขภาพดี เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้หลังจากหายป่วย ผมพอใจแล้ว”

นายเปรียวจบคำพูดของเขาพร้อมกับเก็บม้วนแผนที่ลงย่าม

--

ผมรู้สึกอยากมีโอกาสพูดคุยกับพ่อแบบเดียวกับที่ผมกำลังนั่งคุยกับปีเตอร์ ผมนึกถึงฉากในที่เห็นในรายการทอล์กโชว์ที่มักมีเซอร์ไพรส์โดยการให้ผู้สูญหายออกมาแสดงตัวและโอบกอดกันพร้อมกับส่งเสียงอุทานอย่างยินดี ผมแอบคาดหวังว่าปีเตอร์จะมีเรื่องให้ผมแปลกใจโดยการดีดนิ้ว แล้วพ่อผมก็เดินออกมาจากหลังม่าน ผมสะบัดศีรษะเพื่อไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับ ผมไม่อยากให้ปีเตอร์เห็นผมอ่อนแอ เขาชำเลืองมองผมและหันไปจัดโน่นจัดนี่บนโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวล

“คุณไม่เป็นไรนะ คุณเอกพล”

“ครับ”

ปีเตอร์ลุกขึ้น เขาหยิบอัลบั้มจากบนโต๊ะและถืออย่างทนุถนอมเข้าไปเก็บในห้อง เขาใช้เวลาครู่หนึ่งในนั้น ผมมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมคงต้องกลับเสียที ผมพูดคุยกับปีเตอร์เกือบหกชั่วโมงเพื่อจะพบว่าโลกของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

chap-preview
Free preview
ตอน ชมรมผู้สูงอายุ
บทที่ 1 ชมรมผู้สูงอายุ วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 8.46 น. เสียงพูดคุยอย่างออกรสของชายหญิงกลุ่มใหญ่ดังชัดเจนผ่านประตูและหน้าต่างห้องประชุมออกมา ผู้กำลังต่อแถววัดความดันกับอสม.[1]บริเวณม้าหินอ่อนด้านนอกร่วมหัวเราะไปกับบทสนทนาที่คนในห้องต่างสรรหามาคุยขณะรอเวลาเริ่มการประชุม“ชมรมผู้สูงอายุ” ซึ่งจัดทุกวันศุกร์แรกของเดือนที่หอประชุมเล็กของโรงพยาบาลประจำตำบลห้วยกระทบ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี แต่สำหรับคราวนี้เลื่อนมาเป็นวันศุกร์ที่สองของเดือนมกราคมเนื่องจากสมาชิกทุกบ้านต่างติดงานปีใหม่ ซึ่งผู้เกี่ยวข้อทุกฝ่ายลงมติเห็นชอบ การประชุมของชมรมผู้สูงอายุที่ก่อตั้งโดยกลุ่มอสม.ร่วมกับบุคลากรของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและเจ้าหน้าที่อบต.[2] เป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาลระดับชุมชนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ คณะผู้ดำเนินการประกอบด้วยประธาน รองประธาน และกรรมการตำแหน่งต่างๆ ห้วยกระทบเป็นตำบลเล็กๆ มีพื้นที่ครอบคลุมสี่หมู่บ้าน คือ หมู่ 1 โคชนะ หมู่ 2 ดอนกรวด หมู่ 3 โคกตาล และหมู่ 4 บ้านซ่วง โดยมีหมู่บ้านโคชนะเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น โรงพยาบาลประจำตำบล ที่ทำการอบต. สถานีตำรวจ และร้านค้าสามคูหาที่มีสินค้าทุกอย่างที่ชาวบ้านต้องการ ชมรมผู้สูงอายุที่มีรายชื่อสมาชิกประมาณหนึ่งร้อยคนนั้น ที่ผ่านมาในการประชุมประจำเดือนแต่ละครั้งมีผู้มาร่วมประชุมเพียง 10-20 คน เนื่องจากเหตุผลสามสี่ประการ เช่น สมาชิกส่วนใหญ่ไม่มีพาหนะรับส่ง ตัวประธานไม่เคยมาเข้าร่วม มีแต่รองประธานที่วิ่งเต้นทำงานให้หลายกลุ่มหลายชมรมเพื่อหวังค่าเบี้ยเลี้ยง ไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าประชุม มีแต่ข่าวสารข้อมูลที่รู้ๆ กันอยู่แล้วจากวิทยุและโทรทัศน์ วิทยากรที่สรรหามาไม่เคยแนะนำเรื่องการเพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการบอกให้ทำท่าออกกำลังกายอยู่กับที่ เล่นเกมลับสมองประลองเชาว์ที่ผู้ดำเนินรายการคิดค้นขึ้นเพื่อให้คนแก่สามารถตอบคำถามง่ายๆ พร้อมกับเสียงตบมือเชียร์ซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับทุกคน อีกทั้งความไม่โปร่งใสในการเลี้ยงอาหารกลางวันที่เบิกจ่ายมากกว่าจำนวนคนที่มาประชุม ปริมาณและคุณภาพอาหารกล่องที่ผู้ร่วมประชุมได้รับนั้นก็ค้านกับจำนวนเงินต่อชุดที่มีการชี้แจง นานวันเข้าจึงมีผู้มาร่วมน้อยลง นอกจากคนที่สนิทชิดเชื้อกับผู้จัดซึ่งขอร้องแกมบังคับให้มาโดยมีข้อแลกเปลี่ยนแล้วแต่จะตกลงกัน แต่สำหรับวันนี้คาดว่าจะมีสมาชิกจากหลายหมู่บ้านมาประชุมโดยพร้อมเพรียง เนื่องจากมีการบอกต่อกันไปว่ามีของขวัญปีใหม่ที่คุณหมอและคุณพยาบาลหลายคนรวมทั้งร้านค้าต่างๆ บริจาคมา และเมื่อจบการประชุมในเวลาเที่ยงแล้ว พวกเขาจะได้รับอาหารกล่องชนิดพิเศษที่คราวนี้ร้านพิมพ์ใจเบเกอรี่ส่งขนมปังอบกรอบมาให้ผู้สูงอายุพร้อมทั้งคูปองลดราคา อีกทั้งป้ามาลีจะทำข้าวต้มมัดมาแจก วันนี้ผู้ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีสูงอายุต่างสวมผ้าถุงยกดอกงามตา ผัดหน้าขาวผ่อง หวีผมติดดอกไม้สด สวมเสื้อผ้าไหมกลัดเข็มกลัดแพรวพราวและห่มสไบผ้าลูกไม้ สอดรับกับห้องประชุมที่ตกแต่งด้วยริ้วลายสายรุ้งห้อยระย้า โต๊ะยาวหน้าห้องเต็มไปด้วยกล่องของขวัญมากมายผูกโบว์เป็นรูปดาวระยิบระยับ เสียงพูดคุยในห้องประชุมยังดังเฮฮาอยู่ “เอ่อ นิ มีคนมาซื้อบ้านเ**กกิมไปแล้วนะ” นายอำนวยผู้มีร่างกายผอมสูงหาเรื่องใหม่มาคุย เขาพูดด้วยสำเนียงเหน่อแบบชาวเขาย้อยเช่นเดียวกับผู้สูงอายุคนอื่นๆ “อ้าว เรอะ คนที่อื่นมั้งถึงไม่รู้เรื่อง” เสียงหนึ่งพูดตอบ หญิงร่างท้วมอีกคนรีบเติมข้อมูลให้อย่างทันท่วงที “นั่นหนะ คนซื้อเป็นผู้ชาย ยังหนุ่มอยู่เลย มาจากกรุงเทพฯ อายุสักสามสิบห้า น่าจะยังไม่มีครอบครัว” “หรือมีแล้วแต่ไม่พกมาด้วย” ชายสูงอายุอีกคนส่งเสียงมาจากที่นั่งด้านหลัง “โฮ้ย เขาไม่เหมือนแกหรอกตาแสง” ป้าตุ้มหญิงวัยหกสิบกว่าค้อนควัก ลุงอำนวยเล่าให้คนที่นั่งอยู่ในห้องซึ่งส่วนใหญ่เติบโตเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กได้รู้เรื่อง “ต้นเดือนที่แล้วข้าเห็นเขาขับรถถามทางตาอู๊ดไปบ้านผู้ใหญ่สมจิต แล้วเขาก็รับผู้ใหญ่ออกไป คงไปดูบ้านกัน” ป้าเที่ยงพูดแซงขึ้นมา “แหม่ ไอ้หมู่บ้านจัดสรรโครงการแรกของเมียผู้ใหญ่น่ะ ตอนนี้เห็นปิดประกาศขายเป็นแถว แกยังกล้าลงทุนโครงการสองนะ” “ยายเพ็ญเขารู้จักกับนายธนาคาร เขาก็กู้ได้ซิ อย่างแกอย่างข้านี่ไม่มีทาง แค่จะกู้สหกรณ์นี่ยังยากเลย” ลุงอำนวยตอบกลับ “สหกรณ์เขากลัวแกจะตายก่อนได้ใช้หนี้เขาน่ะสิ” “ตานวยอย่านอกเรื่อง เล่าต่อหน่อยซิว่าไอ้หนุ่มนั่นทำไมถึงซื้อบ้านเ**กกิมไปเสียล่ะ แค่จะมาหาบ้านเช่าไม่ใช่เรอะ นี่แกแอบไปคุยกับผู้ใหญ่เมื่อไร ข้าไม่เห็นรู้ มีอะไรก็ไม่ยอมคุยให้ข้าฟัง อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ” เสียงป้าเล็กถามและว่าให้ลุงอำนวยผู้เป็นสามีที่กำลังเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “เออ นั่นสิ” จ่าแสงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับควักยานัตถุ์ออกมาเป่าเข้าจมูก “เวลาแกรู้อะไรมานะตานวย แกต้องรายงานให้เมียแกฟังเป็นคนแรกจะปลอดภัยที่สุด ขนาดมือปืนเหรียญทองอย่างข้ายังต้องรายงานตัวอยู่ทุกวัน ไม่งั้นไม่มีใครตั้งข้าวให้กิน” คนที่อยู่ในห้องนั้นพากันหัวเราะครืนด้วยรู้ดีว่าป้าตุ้มมักมีเรื่องตะบึงตะบอนกับจ่าแสงอยู่ทุกบ่อยตั้งแต่ครั้งที่เขายังเป็นหนุ่มรับราชการเป็นตำรวจชั้นหมู่ แต่เลื่อนยศขึ้นเป็นจ่าได้เพราะเป็นนักกีฬาแม่นปืน ทำชื่อเสียงให้จังหวัดที่เขาเคยย้ายไปรับการอยู่ “ก็ยายเที่ยงนั่นหนะ ทำให้ข้าเขว เอ้า เล่าต่อ คือพอเขาขับรถผ่านบ้านเ**กกิม มีคนเห็นเขาจอดรถดู ทำท่าอยากจะเข้าไป” “เดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้กัดตายกันพอดี รกซะขนาดนั้น มีแต่พงไม้ล้อมตัวบ้าน ต้นไม้ก็สูงเอาๆ” “งูเงอไม่เท่าไรหรอก แต่ไอ้ที่ไม่ใช่งูน่ะสิ เวลาข้าขี่รถผ่านยังไม่กล้าเหลียวดูเลย” “โหย มันผ่านมาสามสี่ปีแล้ว ไปเกิดกันแล้วละมั้ง” “มันก็ไม่แน่นา” ลุงอำนวยรอให้เสียงคุยที่แทรกมาเงียบลงแล้วจึงเล่าต่อ “นั่นหนะ ผู้ใหญ่สมจิตคงห้ามไว้แล้วรีบพาเจ้าหนุ่มกรุงเทพฯไปดูทาวน์เฮาส์ยายเพ็ญ เขาก็ดูไปงั้นๆ ยายจ่อยที่ชะโงกหัวจากบ้านตรงข้ามออกมาสังเกตุการณ์บอกว่าสองคนนั่นเปิดบ้านดูกันแพ่บเดียวแล้วก็กลับไป” “เขาไปส่งผู้ใหญ่ แล้วก็แวะกลับไปจอดรถบ้านเ**กกิมอีกที ไอ้ต้อมมันขับมอไซค์ผ่านเห็นพอดี” ป้าฉายเล่าเสริมเพื่อเรียกความสนใจ “เอ๊อ แกรู้เรื่องดีก็เล่าต่อเองเฮอะ แหม่” ลุงอำนวยพูดฉุนๆ “อันไหนไม่สำคัญข้าก็เล่าข้ามๆไป แกมันก็ชอบลงรายละเอียด เมื่อไรจะรู้เรื่องกัน” “เอาๆๆๆ แกก็ช่างว่าเนาะ ตาน้วย” ป้าฉายหัวเราะคิก “เอาย่อๆ เหอะ ข้าเห็นประธานลงรถมาโน่นแล้ว” เสียงหนึ่งเตือน ลุงอำนวยเหลียวไปทางหน้าต่างทันเห็นหญิงผู้หนึ่งทำผมตั้งทรงกระบังสูงกำลังลงจากรถกระบะ เขาเร่งความเร็วในการบอกเล่า “เออ เอา ทีนี้เมื่อสองสามวันที่แล้วมีคนเห็นเจ้าหนุ่มนั่นขับรถตู้มาจอดบ้านเ**กกิม เขาลงไปเลื่อนเปิดประตูแล้วเอารถเข้าไปจอดข้างในเลยละ” “เขาไปเจรจาซื้อขายกันตั้งแต่ปลายเดือนธันวาแล้ว หลานข้าทำงานที่ดินบอกว่าเขานัดกันไปโอนโฉนดจ่ายเงินกันสักสองสามวันก่อนปีใหม่นั่นแหละ” ป้าฉายอดไมได้ที่จะเล่าแทรกอีกครั้ง “เอ๊อ แล้วไม่มีใครบอกเขาหรือว่าบ้านนั้นน่ะเป็นยังไง” “นั่นน่ะสิ จะอยู่ได้สักกี่วันกัน” นาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลา เวลา 9.17 น. ซึ่งเลยเวลานัดหมายมาสิบเจ็ดนาทีอันเป็นเรื่องปกติ “เริ่มประชุมกันได้แล้วค่ะ” พยาบาลหนิงชะโงกตัวมาบอกก่อนที่ประธานชมรมผู้สูงอายุแห่งตำบลห้วยกระทบจะก้าวเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้ามาในห้อง ผ้าถุงสีกลีบบัวและเสื้อลูกไม้สีเหลืองนวลกลัดช่อดอกกล้วยไม้ดูสวยอร่าม ใบหน้าที่แต่งเข้มมีรอยยิ้มกว้าง เธอยกมือรับไหว้สมาชิกทุกคนอย่างนอบน้อม เมื่อประธานจุดเทียนไหว้พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสูงมุมห้องและทำความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์แล้ว นายอำนวยทำหน้าที่นำกลุ่มสวดมนต์ประมาณสิบห้านาที จากนั้นรองประธานประกาศเชิญนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมากล่าวคำอวยพรให้ผู้เข้าประชุมมีอายุยืนนานเป็นขวัญใจของลูกหลานตลอดไป เมื่อจบคำปราศรัยและคำอวยพรจากนายแพทย์ใหญ่ สมาชิกทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “สาธุ” หลังจากผู้อำนวยการคล้อยหลังออกจากห้องประชุมไปแล้ว ประธานชมรมก็ลุกขึ้นกล่าวคำปราศรัย ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องสุขภาพของตัวเธอเองที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ค่อยได้มาร่วมประชุม เมื่อจบคำปราศรัยอันไร้เนื้อหาท่ามกลางสายตาเบื่อหน่ายและเสียงถอนใจยาวของสมาชิก ประธานก็ส่งไมโครโฟนให้พยาบาลหนิงซึ่งจะเป็นผู้มาให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุในเรื่องสุขภาพอนามัย วันนี้พยาบาลหนิงนุ่งซิ่นห่มสไบผัดหน้าสวยงาม เธอเดินออกมายืนที่หน้าห้องประชุมพร้อมกล่าวสวัสดีบรรดาผู้สูงอายุอย่างอ่อนช้อย จากนั้นจึงเริ่มพูดถึงสาระสำคัญของข่าวสารด้านสุขภาพ “อาทิตย์หน้าเราจะมีการตรวจเบาหวานฟรีให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้ที่ต้องการตรวจขอให้ลงชื่อไว้ล่วงหน้านะคะ วันพฤหัสฯที่ 16 มกราคม ก็ให้ลูกหลานพามายื่นบัตรที่โรงพยาบาล... “...ช่วงนี้อากาศเย็น เราต้องป้องกันร่างกายจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เราเจ็บป่วยได้... “...คุณลุงคุณป้าคะ หนูมีข่าวสำคัญจะมาเล่าให้ฟัง คือช่วงก่อนปีใหม่ประเทศจีนพบผู้ป่วยจากโรคปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุซึ่งระบาดไปทั่ว ประเทศไทยของเราเพิ่งตั้งศูนย์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 4 มกราคมนี้เองเพื่อรับมือกับโรคนี้ โดยนักวิจัยออกมาเปิดเผยแล้วว่าโรคปอดอักเสบดังกล่าวมีสาเหตุจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ มันสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ ที่ประเทศจีนมีผู้ป่วยจากโรคนี้ห้าสิบเก้ารายและมีคนที่ต้องติดตามอาการอีกหลายร้อยราย” พยาบาลหนิงก้มอ่านกระดาษในมือ ป้าจันทร์ป้องปากพูดกับป้าเสาว์ “โรคที่คุกคามข้าอยู่ตอนนี้คือโรคกระเป๋าแห้งว่ะ ไม่ใช่ปอดอักเสบอะไรหรอก” “เออ ข้าก็เหมือนกัน” ป้าเสาว์ทำท่าเอียงหัวกระซิบตอบเหมือนนักเรียนที่แอบคุยกันลับหลังคุณครู ป้าจำปายกมือถาม “มันห่างจากบ้านเราเยอะนะหมอหนิง เมืองจีนกับเมืองไทย มันจะติดถึงกันเร้อ” พยาบาลหนิงพยักหน้ารับทราบคำถามก่อนจะอธิบายว่า “โรคที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศจีนอยู่นี้มีพาหะนำมา ซึ่งก็คือมนุษย์เรานี่แหละค่ะคุณป้า มนุษย์ประเภทไหนที่นำโรคปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศไทย คำตอบคือมาจากนักท่องเที่ยวค่ะ แล้วคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวก็มีหลายฝ่าย ทั้งพนักงานต้อนรับในเครื่องบิน ทั้งคนขับรถที่พานักท่องเที่ยวเข้าไปในจังหวัดต่างๆ... ...” “แต่ที่ห้วยกระทบนี่มันบ้านนอกบ้านนาคงจะไม่ติดง่ายละมั้งหมอ” พยาบาลหนิงรีบตอบ “ติดง่ายหรือติดยาก เราต้องมีหน้าที่ป้องกันตัวเองไว้นะคะ โดยการล้างมือบ่อยๆ เดี๋ยวเราจะมีการแจกสบู่ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากร้านโสภาพรรณในจังหวัดเพชรบุรี” มีเสียงตบมือเกรียวกราวพร้อมกับบรรยากาศเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อพยาบาลหนิงได้บอกกล่าวข่าวคราวเพื่อสุขภาพจดหมดทุกหัวข้อแล้ว หัวหน้าอสม.ก็เดินยิ้มแย้มเข้าไปยืนหน้าห้องแล้วบอกให้ผู้สูงอายุลุกขึ้นทำกายบริหารพร้อมกันสิบห้านาที รายการถัดมาเป็นการประกวดผู้ที่แต่งตัวสวยงาม โดยประธานได้มอบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ กลาง เล็กสำหรับสามรางวัลแรก นอกนั้นเป็นรางวัลชมเชยได้แก่ทัพเพอร์แวร์ฝาสีส้มคนละกล่อง แล้วกิจกรรมต่างๆ ก็ดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้าย Footnote [1] อสม. คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนประมาณสิบคนในแต่ละหมู่บ้าน [2] อบต. คือ องค์การบริหารส่วนตำบล

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

บุษบาพยาบาท

read
1K
bc

อดีตา

read
1K
bc

ชาย...เจ้าชู้

read
1K
bc

หัวใจผมยกให้คุณ DARK1

read
1.6K
bc

สาปเคหาสน์

read
1K
bc

เมื่อผมหลุดเข้าไปในนิยายสยองขวัญ!!

read
1K
bc

เถ้ารักสีกุหลาบ

read
1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook