ตอน บ้านร้าง (3)

3535 Words
ผมกำลังนึกอยู่ว่าเรื่องที่ป้าหมัยเล่าจะเกี่ยวพันอย่างไรกับเรื่องที่แกจู่ๆก็บอกขายบ้านกับผม “แต่มันก็ใกล้จบแล้วละ คือพอฉันขายร้านไปแล้ว ฉันก็เอาเงินฝากธนาคารเก็บไว้ กินดอกไปแต่ละเดือน และก็อยู่บ้านหลังนั้นไป “พอนังมิ้มรอดตัวจากร้านเตี่ยมันแล้ว มันก็มาขอฉันว่าอยากกลับไปเรียนหนังสือ ฉันถามไปว่าอายุจะยี่สิบแล้วโรงเรียนที่ไหนเขาจะรับ มันบอกว่ามีโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ที่เมืองเพชร มันจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนอาทิตย์ละสามวัน มันจะเรียนเอาวุฒิให้ทันเพื่อนและจะเข้าราชภัฏให้ได้ “พอดีช่วงนั้นแม่ฉันเข่าบวมสองข้าง แถมตกกระไดอีก ฉันต้องขี่รถมาหุงข้าว มาซักผ้าให้แกที่บ้านหลังนี้ทุกวัน ไปกลับเกือบยี่สิบกิโล ฉันผลัดผ่อนนังมิ้มว่าให้ยายหายก่อนแล้วค่อยว่ากัน จริงๆ ฉันไม่อยากให้มันขี่มอเตอร์ไซค์เข้าเมืองเพชร คุณก็รู้ว่ารถบรรทุกล่องใต้นี่วิ่งกันเร็วขนาดไหน แล้วฉันก็จำเป็นต้องมีคนคอยป้อนข้าวเจ้าม่อน คอยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ ฉันบอกมันให้อดใจไปอีกสักพัก “นังมิ้มก็จำใจยอมรับหน้าที่ดูแลไอ้พี่ชายที่นอนติดเตียงอยู่แทนฉันและเฝ้าบ้านไปคนเดียว ส่วนไอ้น้องมันก็เอาแต่สุมหัวอยู่กับพวกไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่อง “ทีนี้เช้าวันเกิดเรื่อง นังมิ้มบอกฉันว่าตอนบ่ายมันจะเอารถเครื่องฉันขี่ไปลงทะเบียนเรียนก่อนบ่ายสี่ มันส่งใบสมัครไปแล้วและเขาก็รับมัน ถ้าพลาดวันนี้ต้องรออีกหกเดือนเขาถึงจะให้ลงทะเบียนอีกที ฉันแกล้งรับปากมันไปว่าตอนบ่ายฉันจะกลับมา พอฉันออกบ้านไปฉันก็ปิดมือถือและโอ้เอ้อยู่ที่บ้านแม่จนเลยบ่าย “ตอนอยู่ที่บ้านแม่ฉันคิดไว้คร่าวๆ ว่าถ้าลูกสาวฉันเขายืนยันอยากกลับไปเรียนจริงๆ อีกหกเดือนฉันจะยอมให้มันไปลงทะเบียน ฉันจะไปเช่าหอพักให้อยู่ใกล้โรงเรียนแถวราชภัฏจะได้ไม่ต้องเสี่ยงขี่รถเครื่องไปมา ส่วนเจ้าม่อนฉันจะจ้างเจ้าปานมาดูแล พอคิดได้ฉันก็อยากจะเอาใจนังมิ้ม ฉันแวะตลาดนัดหาซื้อของที่มันชอบ สั่งขนมไว้แล้วก็ต้องไปรอเขาทำ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบหกโมง “ฉันหิ้วของกินพะรุงพะรังขึ้นบันไดเดินเข้าบ้านก็เห็นเจ้าม่อนนอนทำตาเหลือกตาลอยอยู่คนเดียว ฉันเรียกหานังมิ้มก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ ตอนแรกฉันนึกว่ามันทิ้งบ้านไป ฉันรี่ไปเปิดห้องนอนมัน แล้วก็เห็นมันห้อยโตงเตงอยู่ใต้คาน ฉันรีบวิ่งไปตะโกนเรียกคนช่วยที่หน้าบ้าน ผู้ใหญ่สมจิตพอรู้เรื่องก็รีบมา สักครึ่งชั่วโมงตำรวจมาถึงแต่ยังไม่ลงความเห็นอะไรเพราะต้องรอหมอจากเขาย้อยมาก่อน หมออนามัยตำบลกลับบ้านไปตั้งแต่เย็นแล้ว หมอเขาย้อยก็เข้าเวรอยู่คนเดียว กว่าจะมาตรวจศพได้ก็รุ่งเช้า ศพนังมิ้มบวมอืด เขาลงความเห็นว่ามันผูกคอตายตั้งแต่ตอนเที่ยงวันวาน” ป้าหมัยสูดลมหายใจเข้าแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเล่าต่อ “หลังจากเผาศพลูกสาวแล้วฉันก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกหลายเดือนนะ แต่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเหนื่อยใจ ฉันฟังเสียงชาวบ้านพูดอย่างโน้นอย่างนี้จนทนไม่ไหว แต่ไอ้ที่เขาพูดกันมันก็น่าคิดทั้งนั้น ฉันปิดปากเงียบอยู่กับไอ้ม่อนไป พอปลายปีฉันตัดสินใจหอบลูกมาอยู่กับแม่ที่บ้านซ่วงนี่ ส่วนบ้านนั้นก็ปิดทิ้งไว้ “กลับมาอยู่ที่บ้านนี้ฉันลงมือปลูกหญ้าขายจะได้มีอะไรทำ ไม่ต้องคิดมาก ไม่งั้นฉันจะบ้า แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ สบายใจดี คนเลี้ยงวัวลานเขามาซื้อหญ้าที่บ้านฉันทั้งนั้นแหละ เป็นหญ้าพันธุ์ วัวกินแล้วมีแรง ต้องเกี่ยวเช้าๆ น้ำหนักดี “ตอนแรกฉันว่าจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งให้สบายใจแล้วค่อยกลับไปอยู่ที่บ้านนั้น เอาไปเอามาก็อยู่จนครบปี แล้วก็สองปี สามปี จนแม่ฉันตายเมื่อปีที่แล้ว ฉันต้องรับช่วงดูบ้านนี้ต่อ พี่น้องฉันเป็นผู้ชายแต่งงานแล้วแยกเรือนไปอยู่ใกล้ๆ นี้แหละ ฉันกลายเป็นคนรักษาพานสืบจากแม่โดยไม่ตั้งใจ แต่ฉันไม่ได้ทำพิธีอะไรให้คนอื่นนะ ฉันเซ่นไหวัปู่ย่าตาชวดพอไม่ให้มันขาดสายเท่านั้นแหละ “ส่วนพ่อฉันเขาไปปลูกบ้านอยู่หัวไร่นานแล้วตั้งแต่ฉันกับลูกย้ายมาอยู่ แกรำคาญเจ้าม่อนที่ชอบทำเสียงประหลาด บางทีมันพูดออกมาเป็นเสียงฉันบ่น บางทีก็ส่งเสียงพูดแบบตัวการ์ตูนในหนังทีวีไม่มีผิดเพี้ยน บางทีอยู่ๆ มันทำเสียงขากแบบเตี่ยมัน ขนลุกกันทั้งบ้าน” ป้าหมัยหัวเราะหึๆในคอเมื่อพูดถึงลูกชายพิการ แล้วนางก็กลับมาเล่าเรื่องบ้าน “ฉันปิดบ้านหลังนั้นทิ้งร้างไว้จะสี่ปีแล้วมั้ง แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่หลังๆ คนมันมีปากก็พูดไปเรื่อยว่าเห็นโน่นเห็นนี่ ลือกันเองก็กลัวกันเอง ฉันขี้เกียจไปแก้ตัว เคยมีคนมาถามซื้อ แต่พอรู้ว่ามีคนผูกคอตายในบ้าน เขาก็กลัวผีตายโหงกัน ฉันเลยเฉยๆ ไป ฉันไม่เดือดร้อนเรื่องเงินหรอก เงินที่ขายร้านเ**กกิมไปก็ยังพอมีเหลืออยู่ “ตอนแรกฉันว่าจะทุบบ้านทิ้ง ตัดต้นไม้ออก ขายเป็นที่เปล่าๆ ให้คนซื้อไปทำโรงงาน เนื้อที่มันสองไร่กว่านะ แต่ยังนึกเสียดาย บ้านนั้นน่ะสร้างอย่างแข็งแรง ไม้แผ่นใหญ่ๆ นายช่างที่คุมสร้างบ้านก็เป็นคนแบบถ้าไม่ได้ดังใจนี่สั่งรื้อทำใหม่เลย ไม่คิดเงินเพิ่ม เขารักษาชื่อเสียงเขา” “ที่คุณป้าบอกขายบ้านผมนี่มีเหตุผลอะไรหรือเปล่าครับ หรือเป็นเพราะคุณป้าจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มช่วงนี้” ผมอดปากไว้ไม่ได้จึงถามไป “ฉันก็แค่รู้สึกว่าคุณอยู่ที่นั่นได้ ฉันอยู่บ้านหลังนั้นมายี่สิบกว่าปีก็คุ้มแล้วละ” ป้าหมัยตอบง่ายๆ “ตอนแรกฉันว่าจะยกให้เจ้าหมิง แต่มันคงไม่ได้กลับมาอยู่แล้ว” ผมมองหญิงวัยห้าสิบตรงหน้าแล้วนิ่งคิด “เอ่อ เอาอย่างนี้ไหมครับคุณป้า เราคุยกันก็นานแล้ว เสียเวลาคุณป้าที่อาจมีงานอื่นต้องทำ” “อืม ก็ไม่มีอะไรทำมากหรอกช่วงนี้ หาข้าวให้ลูกชายเท่านั้น เขากินข้าวก่อนเที่ยง ต้องป้อนช้าๆ ไม่งั้นเขาจะสำลัก” ป้าหมัยตอบพลางแหงนหน้าขึ้นไปบนบ้าน “คือผมจะขออนุญาตเข้าไปดูในบ้านหลังนั้นก่อน และหากผมตัดสินใจอย่างไรผมจะมาหาคุณป้าอีกครั้ง ผมอาจจะขอเช่าถ้ามันพออยู่ได้” “ฉันไม่ได้ใส่กุญแจไว้หรอกนะ คุณดึงโซ่ที่คล้องประตู เลื่อนเปิด แล้วก็เดินเข้าไปได้เลย ขึ้นไปดูได้ทุกห้อง เครื่องเรือนโต๊ะโตกมีเยอะแยะ คุณไม่ต้องกลัว เ**กกิมกับนังมิ้มเขาไปเกิดนานแล้วไม่มาวนเวียนอยู่ที่เดิมหรอก” ผมดูนาฬิกาข้อมือ เกือบสิบเอ็ดโมง “ขอบคุณครับ คุณป้า” ผมไหว้ลาป้าหมัย ในใจคิดว่าอาจจะไม่ได้ย้อนกลับมาที่บ้านซ่วงอีก แต่อย่างไรเสียผมก็ขอเข้าไปดูบ้านร้างหลังนั้นเสียหน่อยเพราะไหนๆก็ได้รับคำอนุญาตแล้ว ยี่สิบนาทีต่อมาผมขับรถไปจอดชิดกำแพงอิฐ ผมดึงโซ่ที่คล้องประตูเหล็กออก ดันประตูให้เลื่อนเปิด และเดินเข้าไปสำรวจรอบตัวบ้านซึ่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้รกเรื้อ ต้นไม้ใหญ่ยื่นกิ่งระเข้าไปบนระเบียงบ้าน ใบไม้แห้งร่วงหล่นจนหนาทึบ ผมสะดุ้งเมื่อมีเสียงแกรกกรากจากคางคกที่กระโดดออกมา ผมสอดส่ายสายตาไปตามพื้นด้วยเกรงจะมีสัตว์เลื้อยคลาน แต่อากาศที่ร้อนจัดและแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทั่วบริเวณ ทำให้ผมเบาใจว่าหากมีตัวอะไรโผล่มา ผมคงกระโดดหนีได้ทัน ผมมองบันไดไม้แผ่นหนาและความแข็งแรงของโครงสร้างบ้านที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ผมนึกชื่นชมเ**กกิมและนายช่างที่เขานำมารังสรรค์บ้านหลังนี้เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้หญิงที่เขาจะสู่ขอมาเป็นภรรยา ผมค่อยๆ เดินขึ้นบันไดเข้าไปดูภายในห้องต่างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยหยากไย่ใยแมงมุมและฝุ่นละออง เฟอร์นิเจอร์ไม้จริงส่วนใหญ่ยังสมบูรณ์ ไม่มีผุพัง ห้องนอนมีสามห้อง มีห้องรวมด้านนอกหนึ่งห้อง ห้องครัวหลังบ้านเป็นนอกชานยื่นออกไปเหมาะสำหรับครัวไทย และมีลานระเบียงกว้างหน้าบ้านปูด้วยไม้กระดานแผ่นโต เรียงเว้นช่องให้น้ำฝนไหลลง ผมถอนหายใจ ส่ายหน้า แล้วพยักหน้ากับตัวเองก่อนแหงนหน้ามองยอดไม้สูง ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้ามา ผมรู้สึกชอบที่นี่ ผมยอมรับว่ากลัวเรื่องที่ป้าหมัยเล่าอยู่นิดหน่อย ผมมีงานที่กรุงเทพฯรอผมอยู่ ผมมีบ้านอบอุ่นที่นั่นแล้ว ผมแค่อยากหาที่เปลี่ยนบรรยากาศสักระยะหนึ่ง ผมไปหาเช่าบ้านริมทะเลที่ชะอำหรือหัวหินก็ยังได้ ทำไมต้องมาที่โคชนะ ผมนึกโกรธพี่ภูษิตที่แนะนำให้ผมมาที่นี่ เพื่อที่ผมจะมาพบกับบ้านหลังนี้ที่ผูกใจผมไว้ ผมออกมายืนบนชานบันไดและกวาดสายตาไปยังพุ่มไม้หนาทึบรอบๆ บริเวณ ผมนึกถึงเรื่องที่ป้าหมัยเล่าถึงสามีที่ป่วยตายและลูกสาวแขวนคอในห้องนอน แล้วผมก็พบว่าบรรยากาศโดยรวมของบ้านหลังนี้ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มันออกจะน่าอยู่ด้วยซ้ำ ในกรุงเทพฯถนนทุกสายมีอุบัติเหตุ มีคนเสียชีวิตคาที่ บ้านแต่ละหลังก็สร้างลงบนพื้นดินที่มีคนตายทับถมกันด้วยสาเหตุต่างๆมาแล้วทั้งสิ้น ผมเดินลงบันไดที่ไม่มีอาการสั่นคลอน ไม่มีตะปูเหล็กในเนื้อไม้ มันสร้างโดยใช้วิธีการเข้าเดือยที่แม่นยำ ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมขับรถเลียบแนวรั้วกอไผ่แล้วเลี้ยวเข้าไปจอดที่เดิม พวกเด็กๆ ย้ายเข้าไปนั่งเล่นที่นอกชานของบ้านหลังคาโค้งหลังแรก พวกเขาตะโกนส่งเสียงและโบกมือให้ผม ผมโบกมือตอบ ผมนั่งรอที่แคร่ใต้ถุนขณะที่ป้าหมัยตะโกนลงมาจากบนบ้านให้รอก่อนเพราะกำลังเปลี่ยนผ้าให้ลูกชาย หลังจากนั้นสิบนาทีนางก็เดินลงจากบ้านพร้อมสำเนาโฉนดที่ดินในมือ ป้าหมัยเขียนราคาที่ต้องการขายลงในกระดาษแผ่นเล็กและส่งให้ผมเพื่อเป็นหลักฐาน ผมขอเบอร์โทรศัพท์และบอกนางว่าผมจะโทรกลับมาเมื่อตัดสินใจแล้ว ขณะที่ผมขับรถออกจากตำบลห้วยกระทบสู่ปากทางเขาย้อย ในหัวสมองผมอึงอลไปด้วยความคิดหลายอย่างที่ประดังกันเข้ามา ผมกุมพวงมาลัยมั่น สายตามองตรงไปยังถนนที่มีรถสัญจรบางตา เมื่อเช้าก่อนที่ผมจะขับรถมาถึงตำบลนี้ ผมมีความคิดแค่อยากพักจากงานและชีวิตที่กรุงเทพฯเพื่อหาแนวคิดใหม่ๆ ผมมีธุรกิจส่วนตัวที่ก่อตั้งขึ้นหลังลาออกจากบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งเมื่อปี 2557 งานหลักในธุรกิจของผมคือการจัดซุ้มดอกไม้สำหรับงานอีเว้นท์ต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งงานศพ นอกจากนั้นผมยังมีงานรองคือการถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอสำหรับงานมงคลสมรส ซึ่งผมมักได้งานทั้งสองอย่างจากผู้จ้างรายเดียวในแต่ละครั้ง ผมใช้บ้านของคุณแม่เป็นออฟฟิศ แต่ที่เป็นไปคือผมไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไรนักเพราะงานผมมักอยู่ตามสถานที่โอ่โถงต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นห้องประชุมของโรงแรมห้าดาวและล็อบบี้อาคารศูนย์การค้า สองสามเดือนก็จะได้จัดดอกไม้งานพระราชทานเพลิงศพตามวัดระดับราชวรมหาวิหาร ซึ่งผมต้องไปดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง นอกจากนั้นยังมีสตูดิโอถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งสำหรับคู่บ่าวสาวซึ่งผมและลูกทีมติดต่อเช่าทำงานอยู่เป็นระยะจนรู้จักดีกับเจ้าของกิจการซึ่งก็เป็นเพื่อนๆกัน ตลอดห้าปีของการทำธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ผมมีงานเข้ามาอย่างสม่ำเสมอโดยอาศัยลูกค้าบอกกันปากต่อปากและมีเว็บไซต์ของตัวเอง ชีวิตผมคลุกคลีอยู่กับผู้ช่วยสองถึงแปดคนแล้วแต่ระดับงาน ซึ่งผมสนิทสนมและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาทุกคน นอกจากนั้นผมยังติดต่อพูดคุยต่อรองซื้อของจากร้านค้าเจ้าประจำที่ผมต้องไปเลือกดอกไม้พันธุ์ที่สั่งมาจากต่างประเทศและสรรหาวัสดุตกแต่งต่างๆ ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมชอบ ตลาดดอกไม้ ร้านดอกไม้ คนค้าขายระดับล่างที่พูดจาน่าฟัง ไม่ตกแต่งคำพูดมาก ต่างจากการดีลงานกับลูกค้าที่ผมต้องเลือกใช้คำพูดและประดับประโยคด้วยถ้อยงดงามเช่นเดียวกับการจัดซุ้มดอกไม้ให้พวกเขา ผมไม่เคยละเลยเรื่องการดูแลภาพลักษณ์ตนเองให้ดูดีสมเป็นมืออาชีพตั้งแต่ทรงผมไล่ลงมาถึงส้นรองเท้า การสร้างความประทับใจให้ลูกค้าตั้งแต่พบปะกันครั้งแรกนั้นทำให้การพูดจาตกลงกันในขั้นต่อไปง่ายขึ้น ซึ่งผมมักใช้เวลาพูดคุยกับลูกค้าแต่ละรายไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ผมเป็นฝ่ายฟังและร่างภาพตามที่พวกเขาบรรยายว่าต้องการให้สถานที่จัดงานประดับดอกไม้สวยงามอลังการขนาดไหน ชอบสีสันอย่างไร ตกแต่งสไตล์ไหน และมีงบประมาณเท่าไร หลังจากนั้นผมก็จะบอกราคาอันเป็นที่รู้กันว่าไม่มีการต่อรอง แล้วผมจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการจัดเตรียม เมื่อถึงช่วงนัดหมายเข้าจัดสถานที่ ผมนำทีมงานและจ้างรถบรรทุกขนดอกไม้ที่อยู่ในห้องรักษาอุณหภูมิเข้าไปจัดแต่งในบริเวณที่กำหนด จากนั้นลงมือทำงานให้เสร็จตามเวลา หลังเสร็จงานแต่ละครั้งผมมักมีงานเข้ามาต่อเนื่องโดยแทบไม่มีเวลาพักผ่อน หรือหากเรียกการพาผู้ช่วยของผมไปเลี้ยงอาหารและร้องคาราโอเกะหลังปิดจ๊อบว่าเป็นการพักผ่อน ผมก็อาจมีช่วงเวลาเหล่านั้นบ่อยครั้ง ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีโอกาสอยู่คนเดียวตามลำพัง เสร็จจากกิจกรรมที่เต็มไปด้วยผู้คนเมื่อกลับถึงบ้านผมมีคุณแม่และพี่สาวสองคนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พี่สาวผมไม่ยอมแต่งงานทั้งคู่ ต่างคนต่างมีงานที่มั่นคงทำและไม่พึ่งพาใคร คงเป็นเพราะพ่อที่ทำให้เธอทั้งสองพอใจกับการมีชีวิตอิสระและเข้มแข็ง ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยห่วงพวกเขาเท่าไร มีแต่ผมที่พวกเขามักแสดงอาการเป็นห่วงอยู่เสมอ แต่ผมก็พิสูจน์ตัวเองสำเร็จหลังจากธุรกิจของผมไปได้ค่อนข้างดี มีเงินเก็บออม ผมแบ่งเงินรายได้ให้ผู้ช่วยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและไม่ให้มีใครรู้สึกว่าผมเอาเปรียบ ผมเคยได้รับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจากการทำงานบริษัทใหญ่ที่ผมร่วมงานด้วยตั้งแต่เพิ่งเรียนจบ ดังนั้นผมจึงไม่เพลามือกับการจัดสรรปันส่วนอย่างยุติธรรมกับคนที่ทำงานร่วมกัน การเป็นคนหนุ่มที่ไม่มีครอบครัวและไม่ต้องเสียค่าเช่าสำนักงานทำให้ผมตัดสินใจได้เร็วเรื่องการซื้อการจ่าย ชีวิตผมโลดแล่นไปกับการทำงานอย่างเต็มกำลัง ใช้สมองอย่างเต็มที่ สนุนสนานกับคนวงเล็กไม่กี่คนที่พวกเขาจะไม่รู้สึกสนุกหากผมไม่ไปร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งผมเองก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ในแวดวงของคนเหล่านั้นและกับครอบครัวที่ผมเป็นศูนย์กลางของความรัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ช่วงหลังๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมต้องการความเงียบ ผมอยากอยู่ในสถานที่สงบ ไม่พลุกพล่านไปด้วยความคิดของบุคคลอื่น แม้ว่าการจัดดอกไม้ตามงานต่างๆ การถ่ายรูปและการบันทึกวิดีโองานแต่งงานที่ผมทำอยู่จะยังมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แต่ผมเองกลับเบื่อหน่ายในการอยู่ร่วมกับกลุ่มคน ผมต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อจัดการกับความรู้สึกดังกล่าว เมื่อวานนี้เองที่ผมโทรปรึกษาพี่ภูษิต-เพื่อนสนิทผู้มีอายุมากกว่าผมสองปี เขาและผมเคยทำงานในบริษัทที่เราลาออกมาพร้อมกันในปี 2557 ซึ่งปีนั้นเขาสมัครเข้าทำงานที่สถานีโทรทัศน์ช่องโฟร์ตี้นิวส์และได้รับคัดเลือกให้เป็นทีมงาน ไม่กี่ปีจากนั้นเขาก็มีรายการสารคดีในช่องข่าวดังกล่าวซึ่งทุกวันนี้มีคนรู้จักเขาอยู่พอสมควร พี่ภูษิตให้คำปรึกษาที่ดีแก่ผมพร้อมทั้งกำลังใจ เขาบอกเบอร์โทรศัพท์ผู้ใหญ่สมจิตแห่งหมู่บ้านโคชนะ ตำบลห้วยกระทบ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีให้แก่ผม และขณะนี้ผมกำลังขับรถกลับจากเขาย้อย โดยมีข้อเสนอขายบ้านของป้าหมัยกลับไปเป็นการบ้านให้คิด ถนนเพชรเกษมมีรถสัญจรหนาแน่น ส่วนใหญ่เป็นรถปิ๊กอัปคันใหญ่ที่ใช้ความเร็วอย่างน่ากลัว มีรถบรรทุกพ่วงที่แล่นด้วยความเร็วสูงอยู่เลนซ้าย แต่ก็มีบางคันที่แช่เลนขวา ผมแวะกินอาหารที่ห้างบิ๊กซี มหาชัย ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมง เมื่อดื่มกาแฟเย็นจนหมดแก้วแล้วผมก็นั่งมองผู้คนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างจังหวัดเดินไปมาอยู่นอกผนังกระจกฟู้ดคอร์ท ผมนึกขึ้นได้ว่าสำเนาโฉนดของป้าหมัยอยู่ในกระเป๋าข้างตัว ผมควักมันออกมากางดู เนื้อที่ดิน 928 ตารางวา มีชื่อป้าหมัยเป็นเจ้าของ ผมนึกถึงบ้านไม้หลังใหญ่ที่สร้างกลางพื้นที่ ต้นไม้ใหญ่อีกนับสิบต้นรอบบ้าน กำแพงอิฐแข็งแรง และตอนนี้ผมรู้จักคนสองสามคนในพื้นที่นั้นแล้ว และที่สำคัญราคาขายที่ป้าหมัยเสนอมานั้นน่าสนใจ เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ผมนั่งคำนวณเงินทั้งหมดที่ผมมีในปัจจุบันและเงินที่ต้องใช้จ่ายต่อไปอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้าหากผมไม่มีรายได้ใดๆเข้ามา เมื่อแน่ใจว่าผมอยู่ได้แน่แม้ไม่ต้องทำงานสักพักใหญ่ๆ ผมก็เรียกประชุมลูกทีมที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและมอบรายชื่อลูกค้าพร้อมทั้งตารางงานทั้งหมดให้พวกเขาแบ่งกันทำและรับผิดชอบงานส่วนของตน ผมแนะนำให้พวกเขาแต่ละคนตั้งธุรกิจของตัวเองขึ้นโดยช่วยเหลือดูแลเป็นพันธมิตรกัน ผมยินดีเป็นที่ปรึกษาให้ ผมบอกพวกเขาทีเล่นทีจริงว่าว่าอีกสองปีข้างหน้าผมอาจจะกลับมาของานพวกเขาทำก็ได้ แต่ตอนนี้ผมมีโครงการใหม่ที่อยากทำให้สำเร็จ คุณแม่และพี่สาวของผมไม่ทักท้วงหลังจากผมบอกการตัดสินใจ เมื่อพร้อมแล้วผมก็โทรศัพท์นัดป้าหมัยไปทำการซื้อขาย ณ สำนักงานที่ดินอำเภอเขาย้อย ผมเตรียมเงินในบัญชีธนาคารไว้ ส่วนทางป้าหมัยเตรียมโฉนดและหลักฐานอื่นๆตามกฎหมายโดยผู้ขายเป็นฝ่ายชำระค่าโอน ในวันซื้อขายทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นแม้ไม่ค่อยรวดเร็วเท่าใดนัก ผมขับรถไปคนเดียว ส่วนป้าหมัยนั่งรถปิ๊กอัปมากับญาติพี่น้องเจ็ดคนซึ่งมีรูปหน้าตาและสำเนียงพูดแบบเดียวกัน พวกเขาอาศัยอยู่ในกลุ่มบ้านสิบหลังที่ผมเดินผ่านไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อผมได้รับโฉนดตัวจริงจากเจ้าพนักงาน ผมก็จัดการโอนเงินจากโทรศัพท์มือถือใส่ในบัญชีของป้าหมัยครบตามจำนวนที่ตกลงกัน จากนั้นเราพากันไปที่สำนักงานประปาและไฟฟ้าส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดการแจ้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของ ที่ดินสองไร่กว่าพร้อมบ้านไม้มุงกระเบื้องดินเผา กำแพงอิฐสี่ด้าน รวมทั้งสาธารณูปโภคของบ้านเลขที่ 105 หมู่บ้านโคชนะ ตำบลห้วยกระทบ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ก็เป็นของผมอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ผมขนของเข้าไปอยู่วันแรกคือวันที่ 5 มกราคม 2563
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD