ความหนาวเย็นจากพื้นที่มีเพียงผ้าผืนบางรองกายเอาไว้เพียงผืนเดียวทำให้ไอเย็นยะเยือกซึมเข้าถึงกระดูกร่างเล็กผอมแห้งของเด็กหญิงคนหนึ่งแน่นิ่งสนิทอยู่บนผ้าผืนบางด้วยท่าขดตัวแลดูน่าสงสาร แต่ ณ ที่แห่งนี้กลับไม่มีใครใยดีนาง ร่างกายที่เย็นเฉียบเริ่มซีดลงเรื่อย ๆ แลเหมือนกับคนตาย ทำเอาผู้ที่นำอาหารมาให้ถึงกับชะงักก่อนจะม้วนคิ้วแล้วทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นนิ้วมือผอมแห้งจนเห็นข้อกระดูกของนางขยับเล็กน้อย
“ซิงถิง! นี่เจ้าจะนอนขี้เกียจอีกนานไหมห่ะ!” หล่อนไม่พูดเปล่าแต่กับเข้ามาดึงหูเด็กหญิงจนรู้สึกตัว
“โอ๊ย! เจ็บนะ!”
“ก็ต้องเจ็บสิ เอาแต่นอนขี้เกียจแบบนี้จะเลี้ยงทำไมให้เสียข้าวสุก เอาหมั่นโถวของเจ้า ขี้เกียจแบบนี้แค่ครึ่งลูกก็พอแล้วเปลืองของ! กินเสร็จแล้วก็รีบไปขนฟืนขึ้นเกวียนด้วย ให้ไว! สายป่านี้แล้วยังไม่เริ่มอีก หากเจ้าขนไม่ทันเย็นข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หญิงวัยกลางคนมาฉอด ฉอด ฉอดใส่นางแล้วก็ไป ทำเอาใบหน้าของเด็กหญิงถึงกับฉายแววสงสัย ดวงตากลมโตที่มีแววอิดโรยมองหมั่นโถวครึ่งลูกที่ถูกโยนมาไว้ข้างกาย ท้องที่ร้องหิวโหยและตามสัญชาตญาณของร่างนี้ทำให้นางรีบคว้ามันมาเข้าปากโดยไม่สนใจเศษดินที่ติดอยู่แม้แต่น้อย
“แค่ก แค่ก”
ร่างเล็กไอจนตัวโยเมื่อหมั่นโถวนั้นแห้งเกินกว่าที่จะกลืนลงไปได้สะดวก แต่มันก็ทำให้สติของวิญญาณภายในกายเด็กหญิงกลับคืนมา
“นี่มันที่ไหนกันเนี่ย…” สายตางวยงงมองไปรอบ ๆ กาย ที่เต็มไปด้วยฟืนสูงกว่าตัวของนาง ‘ที่นี่คงจะเป็นโรงเก็บฟืน…แต่ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?’ ใบหน้าเด็กหญิงที่มอมแมมม้วนคิ้วแลดูไม่สมกับวัย นางจำได้ว่านางกำลังเป็นกรรมการตัดสินอาหารอยู่แล้วหลังจากนั้น….
‘ฉันตายแล้วหรอ!!!’
มือเล็กผอมแห้งจับสำรวจกายตัวเองทันที แต่ก็พบว่ามีเนื้อหนังเช่นเดิม เพียงแต่ทว่านี่ไม่ใช่ร่างของนาง แต่เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ผอมแห้งแลดูขาดสารอาหาร เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เสื้อผ้าเก่าขาดหลุดลุ่ย ทั้งท้องยังร้องหิวโหย แถมสถานที่แห่งนี้ก็ยังดูแตกต่างจากที่ที่นางจากมาด้วย ทันใดนั้นขณะที่นางกำลังสับสน ความทรงจำซึ่งดูเหมือนกับจะเป็นเจ้าของร่างก็แทรกเข้ามา มือน้อยกุมหัวเอาไว้เพราะรู้สึกปวดหัวขณะภาพอันโหดร้ายฉายชัดภายในหัว
…
เด็กคนนี้ถูกพ่อแม่ของตัวเองขายให้มาใช้แรงงาน…
เด็กคนนี้ถูกใช้งานและบังคับให้อยู่ในโรงเก็บฟืน ทุกวันต้องทำงานหนักไม่สมกับร่างกายน้อยๆ …
เด็กคนนี้ถูกให้อดมื้อกินมื้อจนท้องร้องหิวโหย แม้จะขยันทำงานเพียงใดพวกเขาก็ไม่ให้อาหารเพิ่ม…
เด็กคนนี้ต้องนอนหนาวอยู่บนพื้นทุกคืนวัน มีเพียงผ้าผืนบางรองกายและใช้ท่อนไม้แทนหมอน…
สรุปได้ว่า…เด็กคนนี้มีชีวิตน่าสงสารเกินไปแล้ว!
เมื่อความทรงจำทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามา ‘ดาริน’ หรือตอนนี้ก็คือ ‘ซิงถิง’ ก็เข้าใจทุกอย่าง จากความทรงจำของซิงถิง เห็นได้ว่าที่นี่อาจจะเป็นยุคของจีนโบราณ นางหยิบหมั่นโถวมากัดกินอย่างช้าๆ เพื่อบรรเทาท้องที่ร้องหิวโหย ความเป็นไปได้อีกอย่างที่นางเข้าใจจากการอ่านนิยายมามากก็คือ เด็กคนนี้ได้ตายไปแล้ว และวิญญาณของนางก็มาอยู่ในร่างนี้แทน…แม้จะเหลือเชื่อแต่มันก็เป็นสิ่งที่นางกำลังเจอ
‘มีโอกาสได้มีชีวิตใหม่ทั้งที ทำไมหนอถึงต้องลำบากแบบนี้’ นางคิดอย่างไม่เข้าใจ แน่นอนว่าจากโลกเก่านางไม่มีห่วงอะไร นอกจากวันพีชที่ยังดูไม่จบ จึงไม่ติดอะไรหากจะต้องใช้ชีวิตแทนเจ้าของร่างนี้จริงๆ อย่างน้อยก็ถือว่าได้ชีวิตมาอีกครั้ง แต่เหมือนมารับกรรมยังไงก็ไม่รู้….
ร่างเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นมาก่อนจะเดินออกไปดูข้างนอก นางรู้ได้เลยว่าร่างกายนี้ขาดสารอาหารอย่างมาก แม้แต่แรงจะลุกขึ้นยังน้อยนิด
แสงแดดจ้าส่องกระทบทำให้นางต้องหรี่ตาลง ภายนอกโรงเก็บฟืนนี้มีเกวียนสองคันจอดอยู่ เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นซิงถิงเอาแต่ยืนมองรอบ ๆ นางก็เดินมาดึงหูชิงถิงอีกครั้ง
“โอ๊ย!!” ซิงถิงพยายามดิ้นหนีจึงถูกมือฟาดที่บั้นท้ายดังเพี้ยะ!
“มัวแต่ยืนดูอยู่ได้! เร็วๆ รีบขนขึ้นไปซะ ต้องทำให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดินจำไม่ได้หรือไงห่ะ”
นางปล่อยซิงถิงอย่างหัวเสีย พลางบ่นอุบให้ซิงถิงได้ยินขณะเดินจากไป “จริงๆ เลยเพราะเห็นแก่ราคาถูก แต่ใช้งานไม่ได้เรื่อง เฮอะ! มันน่าไปขายทิ้งจริงๆ”
ซิงถิงเม้นปากแน่นร่างกายรู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วจากความบอบช้ำ แม้จะไม่พอใจอย่างมากแต่นางก็ทำอันใดไม่ได้ จากความทรงจำของร่างนี้ หญิงวัยกลางคนนี้เป็นคนดูแลโรงเก็บฟืน ซิงถิงคนเก่าเรียกนางว่าป้าหลัน ทุกวันหลังพระอาทิตย์ตกดินป้าหลันจะให้คนไปส่งฟืนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่มากนัก
ซิงถิงเหลือบมองเงาใต้เท้าของตัวเอง หากที่นี่เหมือนดังโลกเดิมเวลานี้ก็น่าจะเกือบเที่ยง นางเดินเข้าไปในโรงเก็บฟืนอีกครั้ง เมื่อสำรวจจากความทรงจำของร่างนี้กับขนาดของกองฟืน และท่อนซุงขนาดเล็ก ซิงถิงต้องใช้เวลาเกือบจะทั้งวันในการขนขึ้นเกวียนเพราะกองฟืนถูกมัดรวมกันจนหนักจึงทำให้ขนลำบาก นางนั่งคิดสักครู่เพื่อหาทางทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นซิงถิงคนนี้อาจจะต้องทำงานจนตายไปอีกรอบก็ได้
“ยังไงก็ต้องหาเรื่องทุ่นแรงล่ะนะ โอ๊ยหิวก็หิวคิดไม่ออก ที่นี่ไม่มีรถเข็นบ้างเลยหรอห่ะ หากมีล่ะก็ใช้ขนไม่กี่รอบก็เสร็จแล้วแท้ๆ” นางบ่นอุบแล้วนึกสงสารตัวเอง แต่ด้วยเวลาจำกัดนางไม่อาจจะนั่งท้ออยู่แบบนี้ได้ ทันใดนั้นสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นเชือกที่มุมห้อง
“แบบนี้ก็สวยล่ะสิ ไม่มีก็สร้างขึ้นมาไม่เห็นจะยาก”
นางถูมือตัวเองเบาๆ ตามความเคยชินของชาติก่อนที่จะลงมือทำอาหาร หรือทำอะไรสักอย่าง ดวงตาเปล่งประกายด้วยท้าทายก่อนจะหยิบเชือกกองนั้นมาแล้วหาท่อนซุงที่พอจะใช้เป็นฐานได้ นางจัดการนำท่องซุงมาต่อกันด้วยเชือกจนมีลักษณะเหมือนแพ เมื่อได้ขนาดที่พอเหมาะนางก็ทดสอบเข็นมันไปข้างหน้าดู… “ฮึบ หนักเอาเรื่องแหะ” นางนั่งลงกับพื้นแล้วคิดอีกรอบ
“งั้นเพิ่มฐานกับเชือกด้านหน้าเอาไว้ลาก…” นางรำพึงพร้อมกับลงมือทำ คิ้วของนางม้วนจนเป็นปมขณะลงมือประดิษฐ์รถลากด้วยตัวเองตามความรู้อันน้อยนิดเรื่องการประดิษฐ์ ซิงถิงทำอย่างถูกๆ ผิดๆ แก้เงื่อนที่ผูกซุงอยู่หลายรอบ ความรู้ของเนตรนารีที่เรียนวิชาลูกเสือเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนในที่สุดก็ได้ถูกนำมาใช้ไม่ให้เสียเปล่ากับที่เรียนไป
เกือบหนึ่งชั่วยาม รถลากฟืนที่ซิงถิงตั้งหน้าตั้งตาทำก็ออกมาใช้การได้ นางยิ้มแก้มปริเมื่อการทดลองผ่านไปได้ด้วยดี จากการที่นางจะต้องใช้เวลาทั้งวันในการขนย้าย มันทำให้นางประหยัดเวลาไปเกือบสามเท่า แต่เนื่องด้วยวันนี้นางเสียเวลาไปกับการประดิษฐ์และเริ่มขนฟืนสาย ทำให้กว่าจะขนเสร็จก็ทันเวลาที่ป้าหลันจะมาตรวจพอดี
ป้าหลันมองกองฟืนที่ถูกขนใส่เกวียนเรียบร้อยสองเกวียนสลับกับเด็กหญิงร่างเล็กผอมแห้ง…
แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นงานเรียบร้อยตามที่สั่งนางก็ยื่นหมั่นโถวให้ซิงถิงก่อนจะทำท่าเดินจากไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
“ป้าหลิน” ซิงถิงเอ่ยเรียก “ขอน้ำให้ข้าได้หรือไม่ ข้าคอแห้งมาก”
“เจ้าสมองเสื่อมหรือไง” นางหันมามองเด็กหน้าตามอมแมมอย่างไม่สบอารมณ์ “ปกติเจ้าก็ไปกินที่ลำธารเองอยู่แล้ว ครั้งนี้จะมาเรียกขออะไร”
“อ่า…จริงด้วย ข้าลืมไป”
เมื่อเห็นว่าป้าหลันไม่สบอารมณ์ซิงถิงก็ไม่อยากจะต่อความอีกเพราะเกรงว่าจะถูกทำร้ายร่างกาย นางถือหมั่นโถวแห้งแข็งเดินไปที่ลำธาร ซิงถิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยเมื่อน้ำในลำธารนั้นใสสะอาดพอที่จะดื่มได้ นางล้างมือก่อนจะใช้มือรองน้ำขึ้นมาดื่ม ความเย็นของน้ำที่นางได้รับทำให้นางรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย
“แข็งแบบนี้กินกันเข้าไปได้ยังไง…”
ซิงถิงส่ายหัว สัญชาตญาณความเป็นเชฟหญิงมือหนึ่งได้แล่นเข้ามา นางเดินไปเด็ดใบไม้ใบใหญ่มาทำเป็นกวยตักน้ำ แล้วจัดการแช่หมั่นโถวแห้งแข็งลงไปรอสักพักให้มันชุ่มน้ำก่อนจะวางพักเอาไว้แล้วทำการจุดไฟ แน่นอนว่านี้เป็นยุคโบราณและนางก็ไม่มีแม้แต่ไม้ขีดไฟ เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้วิธีโบราณเช่นกัน
โชคดีที่ชาติก่อนนางเป็นคนชอบอ่านหนังสือทั้งมีความรู้ในการเอาตัวรอดติดตัวมากพอสมควรจึงรู้สึกเบาใจนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่คุ้นชินและทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้ นางถอนหายใจอย่างปลงๆ ขณะเคลียร์พื้นที่รอบๆ เป็นวงกลมขนาดพอเหมาะ แล้วก่อวงหินล้อมรอบกันไม่ให้ไฟลาม
นางรวบรวมกิ่งไม้และใบไม้แห้งมาไว้ ก่อนจะเลือกกิ่งไม้ชิ้นใหญ่เพื่อเป็นฐานก่อไฟ นางจัดการใช้หินที่มีความแหลมนิดหน่อยมาทำให้กิ่งไม้นั้นมีรอยบากพอที่จะปั่นไม้ได้ วางเศษกิ่งไม้ชิ้นเล็กๆ ในรูรอยบาก แล้วจัดการปั่นไม้ด้วยความรวดเร็วให้เกินการเสียดสี
แม้จะรู้สึกเจ็บมือแต่นางก็พยายามเพื่อที่จะกินหมั่นโถวให้อร่อย
ไม่นานนักความพยายามของนางก็เป็นผล สะเก็ดไฟได้เกิดขึ้นแล้วลุกลามไปที่กิ่งไม้เล็กๆ ข้างๆ นางรีบย้ายมันไปอยู่ในกองกิ่งไม้แห้งที่เตรียมเอาไว้ จนเกิดเป็นกองไฟกองเล็กๆ ขึ้นมาในที่สุด
ซิงถิงจัดการนำหมั่นโถวมาเสียบไม้ แล้วนั่งปิ้งมันอย่างใจจดใจจ่อ ท้องที่ร้องโครกครากอยู่แล้วประท้วงร้องดังกว่าเก่าเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากการปิ้งของแป้งหมั่นโถวทำเอาน้ำลายสอ เมื่ออุ่นได้ที่ซิงถิงก็รีบกินทันที แม้จะไม่อร่อยมาก แต่มันก็อร่อยกว่าการกินหมั่นโถงแข็งๆ แห้งๆ มากกว่าเป็นไหน ๆ
เมื่อนางกินจนหมด นางก็ลุกขึ้นแล้วตบตัวเองเบาๆ ปัดเอาเศษดินเศษไม้ที่ติดตัวออก หากเป็นเรื่องอื่นนางทนได้ แต่เรื่องที่ต้องให้เด็กคนหนึ่งอดอยากไม่ได้กินของอร่อยนางทนไม่ได้เด็ดขาด แถมเด็กคนนั้นตอนนี้ก็เป็นตัวนางเองด้วย
“ไม่ต้องห่วงนะซิงถิง ฉันจะทำให้เธอได้กินอิ่มท้องทุกมื้อ…พี่สาวคนนี้สัญญา”