“สายตาพวกช่างซ่อมน่ารังเกียจมาก” นานากอดแขนฉันและทำหน้ายี๋ใส่พวกเขา “เนื้อตัวก็สกปรก ตัวก็เหม็นมีแต่เหงื่อแต่น้ำมัน แหวะ!”
“นานา อย่าไร้มารยาทจะได้ไหม” อดทนไม่ไหวกับท่าทางของเพื่อนจึงต่อว่าไป แน่นอนว่านานาถึงกับไปไม่เป็นเลยแต่ก็ยังคงเบ้ปากใส่พวกเขา
“เฮ้ย! พี่สาวรถบีเอ็มนี่นา” ร่างสูงที่กำลังพ่นสีรถอยู่ถอดแมสปิดปากออกแล้วชี้หน้ามาทางฉันอย่างยิ้มแย้ม
“มึงเรียกใครไอ้เก่ง?” พี่เมฆขมวดคิ้วและถามเด็กคนนั้นที่ลดมือตัวเองลง “กูถาม!”
“พี่สาวคนนั้นรถเสียครับ ผมกับพี่หินเจอก็เลยช่วยเธอไว้ รถเธออยู่ตรงนู้นน่ะครับ” เก่งตอบแบบขอไปที ตามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ
“จริงเหรอครับน้องเจ้าเอย” พี่เมฆหันมาถามเพื่อความแน่ใจ ฉันจึงพยักหน้ารับ “แล้วทำไมยังไม่ซ่อมให้เจ้าเอย?”
“ตามคิวครับพี่ ตอนนี้เหลืออีกสองคิวก็ถึงของพี่สาวแล้ว”
“งั้นกูสั่งให้มึงไปซ่อมรถเจ้าเอยเดี๋ยวนี้!” ความรู้สึกแบบนี้มันอึดอัดจนรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ นะ ฉันไม่ชอบการใช้อำนาจและการใช้สิทธิ์เอาเปรียบคนอื่นทั้งที่ฉันมาทีหลัง
“แต่ว่า...”
“มีอะไรกัน?” แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป น้ำเสียงเข้มดุดันก็ดังขึ้นตามด้วยชายวัยกลางคนที่เดินมาหยุดข้างๆ เก่ง ในมือของเขาถือเอกสารและกวาดสายตามองฉันกับพี่เมฆ “คนไหนแฟนแก”
“แฟน?” เป็นฉันเองที่เอ่ยคำพูดชวนสงสัยขึ้นมา จนพี่เมฆทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“พาแฟนมาดูอู่สินะ ฉันเป็น... ลุงของเจ้าเมฆเอง” พอท่านแนะนำตัวฉันก็ยกมือไหว้ แต่เห็นถึงแววตาและสีหน้าที่ดูเศร้าๆ แถมท่านยังมองพี่เมฆไม่วางตาเลยด้วยซ้ำ
“เตี่ยครับ ซ้อลี่มารับรถครับ”
ร่างสูงที่ตัวเปื้อนแบบไหนก็เปื้อนแบบนั้นเดินมาส่งเงินจำนวนหนึ่งให้กับลุงของพี่เมฆ พอเขาเห็นฉันก็ทำหน้าตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“หล่อมาก” นานาถึงกับเขย่าแขนฉันไปมาเมื่อได้เห็นคุณหิน “แต่... จนอะ เสียดายความหล่อล่ำเลย”
“เงียบเหอะน่า” ฉันหันไปเอ็ดนานาก่อนจะหันไปสบตากับคุณหินที่ยังคงมองฉันอยู่
“แฟนเจ้าเมฆเขา” ลุงพี่เมฆแนะนำฉันให้คุณหินรู้ แต่ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะอะไรน่ะเหรอ? ฉันจะได้ต่อว่าพี่เมฆได้ถนัดไงกับการโมเมว่าฉันเป็นแฟนแบบนี้
“ตามสบายนะ” ฉันมองคุณหินที่ประคองลุงพี่เมฆไปยังสำนักงานเล็กๆ ส่วนฉันก็ตวัดสายตาไปมองพี่เมฆที่ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าฉันจะพูดอะไร
“เอยไปตกลงเป็นแฟนพี่เมฆตอนไหนคะ?”
“คือพี่...”
“อย่าทำแบบนี้อีก แล้วก็ไปบอกคุณลุงเขาด้วยนะคะว่าเอยไม่ใช่แฟนพี่” พี่เมฆถอนหายใจก่อนจะเดินตรงไปยังที่พักสำนักงาน “แล้วก็อย่าใช้อำนาจในการให้สิทธิ์กับเอยด้วย รถของเอยยังไม่ถึงคิวซ่อมก็ให้มันเป็นไปตามนั้น”
ร่างสูงหยุดชะงักก่อนจะฟังฉันพูดจบก็เดินจากไป “สุดยอดเลยครับพี่เจ้าเอย ดีจังที่พี่ไม่ได้เป็นแฟนกับพี่เมฆ”
“...” สงสัยไม่น้อยแต่เก่งก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ เขาก็หันกับไปพ่นสีรถตามเดิม
“เจ้าเอย ไปรอพี่เมฆที่รถกันเถอะ ฉันไม่ไหวแล้วอะอยากจะอ้วก” นานากระตุกแขนฉันให้เดินตามไปยังรถ แต่ความสงสัยหลายๆ อย่างมันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะไม่ตามพวกเขาไป
“เธอไปรอที่รถก่อนเลย ฉันขอไปเข้าห้องน้ำแปบ” แม้นานาจะตะโกนเรียกแต่ฉันก็ไม่ฟัง จึงเดินไปยังสำนักงานอู่แต่ยังไม่ถึงดีก็เห็นพี่เมฆเดินตามคุณหินไปยังด้านหลังของอู่ ฉันจึงไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเดินตามไปเช่นกัน
“เตี่ยความดันขึ้นเพราะว่าแกนะเมฆ” ฉันยืนหลบตรงหลังรถกระบะสีดำที่คุณหินเคยซ่อมอยู่แล้วก็ได้ยินสิ่งที่เขาคุยกันอย่างชัดเจน “ไปบอกกับคุณเจ้าเอยแบบนั้น แกไม่สงสารเตี่ยบ้างเหรอ?”
“มึงอย่าเสือกไอ้หิน กูจะทำอะไรมันก็เรื่องกู!”
“ยังไงแกก็หนีความจริงไม่พ้น ยังไงสักวันคุณเจ้าเอยก็ต้องรู้ว่าเตี่ยไม่ใช่ลุง แต่เป็นพ่อของแกต่างหาก!”
ไม่ตกใจหรอกนะ... จริงๆ ฉันว่าฉันเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่ได้ฟังมาจากลุงพลตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แต่สิ่งที่จะทำให้มั่นใจที่สุดเห็นจะเป็นการได้ฟังความจริงจากปากของพี่เมฆก็เท่านั้น
“มึงก็แค่เด็กที่เตี่ยกูเก็บมาเลี้ยง อย่ามาสะเออะกับชีวิตกู!”
และอีกเรื่องที่ฉันไม่อยากรู้แต่ดันได้ยิน คุณหินคือลูกเลี้ยงของพ่อพี่เมฆงั้นหรอกเหรอ?
“ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นใครเมฆและฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของแก ถ้าหากสิ่งที่แกทำมันทำให้เตี่ยรู้สึกไม่ดี”
แต่ดูเหมือนว่าพี่เมฆจะไม่ฟังคำพูดของคุณหินเลยสักนิด เขาเดินหนีไปโดยที่ฉันเองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจากที่นั่งยองแอบฟังเรื่องที่ตัวเองควรรู้
ตุ้บ
ฉันตกใจไม่น้อยเมื่อเสียงที่ได้ยินคือกำปั้นของคุณหินที่ต่อยลงไปบนต้นไม้ใหญ่ เขาทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะหินอ่อนแต่ฉันเห็นนะว่าเลือดที่ไหลอาบมือของเขาคือผลจากการต่อยต้นไม้เพื่อระบายความรู้สึกที่แย่ลงไป ทำไมฉันถึงรู้... เพราะฉันเองก็เคยระบายอารมณ์กับการเขวี้ยงของในห้อง
ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินถูกยื่นไปตรงหน้า คุณหินเงยหน้ามองผ้าเช็ดหน้าและมองสบตากับฉัน “คุณเจ้าเอย”
“เลือดไหลเยอะแล้วค่ะ” เพราะเขาไม่รับมันไป ฉันจึงจับมือที่เลอะคราบน้ำมันดำๆ ขึ้นมากดผ้าเช็ดหน้าทับลงบนบาดแผล แต่ทว่าคุณหินกลับดึงมือตัวเองออกทันที
“มือคุณเลอะ” หงายฝ่ามือดูก็พบว่ามือฉันเลอะคราบน้ำมันสีดำจริงๆ คุณหินเห็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและดึงเสื้อยืดสีขาวสะอาดของตัวเองมาตรงหน้าฉัน “เช็ดบนเสื้อผมเลยครับ”
“ไม่ได้ค่ะ” ฉันส่ายหน้าไปมาก่อนจะหันไปมองก๊อกน้ำก็ฉีกยิ้มให้เขา “ฉันไปล้างมือตรงนั้นก็ได้ค่ะ”
หยิบสบู่มาถูบนฝ่ามือแปบเดียวมือของฉันก็สะอาดแล้ว จึงสะบัดน้ำออกและชูมือที่ขาวให้คุณหินดู
“คุณได้ยินหมดทุกอย่างแล้วสินะ” เขาถามขึ้นฉันจึงพยักหน้ารับ “เมฆมันคงอยากให้คุณได้เห็นว่าตัวเองก็มีฐานะพอที่จะเป็นแฟนคุณได้”
“แต่ฉันไม่ได้เป็นแฟนพี่เมฆนะคะ”
“...” เดี๋ยวนะเจ้าเอย? แค่บอกว่าไม่ใช่แฟนพี่เมฆแล้วทำไมจะต้องทำเสียงจริงจังขนาดนั้นด้วย
“พี่เมฆทำแบบนี้ ฉันเองก็ไม่ชอบหรอกค่ะการโกหกว่าพ่อตัวเองเป็นคนอื่น แค่คิดมันก็ไม่ได้แล้วค่ะ”
“เมฆมันคงชอบคุณมาก ถึงได้ยอมทำแบบนี้”
“แค่ชอบอย่างเดียวก็ได้ค่ะ แต่การทำอะไรแบบนี้เพื่อเอาใจฉัน ฉันไม่ขอยอมรับค่ะ” คุณหินสบตากับฉันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“เพราะคุณรวย เมฆมันเลยต้องโกหกเพราะอยากเท่าเทียมกับคุณ”
“การเท่าเทียมกันคือความเป็นมนุษย์ค่ะ ไม่ใช่ที่ฐานะ” ฉันถอนหายใจและมองมือของเขาที่ยังคงกุมผ้าเช็ดหน้าของฉันเอาไว้บนบาดแผลอยู่ “ฉันรวยก็จริง แต่ก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะนะคะ”
“...”
“ถ้าพี่เมฆขยัน มีความอดทน มีเงินเก็บและกตัญญูต่อพ่อแม่... แค่นี้ฉันก็มองเขาแล้วค่ะ” อันที่จริงฉันไม่ได้หวังว่าตัวเองจะได้เจอกับคนที่ฐานะเท่าเทียมกัน แต่ไม่ว่าฉันจะเจอกับผู้ชายแบบไหนแต่ถ้าเขามีสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็เลือกที่จะเปิดใจให้เขาคนนั้นได้เช่นกัน “ฉันยังไม่เจอคนแบบนั้น ฉันถึงได้มองข้ามผู้ชายทุกคนที่อวดรวยค่ะ”
“ปกติคนมีฐานะมักจะชอบดูถูกดูแคลนคนแบบพวกผม”
“แต่ฉันไม่เคยดูถูกคุณหินเลยนะคะ”
“ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าคุณมองผมแบบนั้นนี่ครับ?” หน้าแตกของจริง! ฉันฝืนยิ้มและยกมือเกาแก้มตัวเองแก้เขิน ทว่ากลับได้เห็นรอยยิ้มของคุณหินที่ส่งมา มันเป็นยิ้มที่ดูแล้วอบอุ่นยังไงบอกไม่ถูก
“...”
“ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจคนชั้นกลางแบบพวกเรา”
ร่างสูงเดินผ่านฉันตรงไปยังอู่ซ่อมรถและเป็นจังหวะที่พี่เมฆเดินมาตามฉันพอดี แน่นอนว่าระหว่างทางฉันต่อว่าเขาอย่างหนักและบอกเลยว่าห้ามมายุ่งกับฉันอีก แต่ฉันก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ตัวเองรู้ออกไปให้เขาฟัง ถ้าหากเขามีความคิดเขาจะคิดได้ว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ