ASHIRA :: CHAPTER 1 [30%]

2357 Words
01 = Doubt in you = เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเรียกของป้าแม่บ้าน ปลุกฉันให้หลุดจากความฝันที่ค่อนข้างดีทีเดียวแต่ไม่ขอเล่าให้ฟังหรอกนะ ฉันชื่อ ‘เจ้าเอย’ นางสาวอิรชยา ธนะวรากุล อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชีปี 2 ลูกสาวคนเดียวของตระกูลธนะวรากุลที่ทำกิจการค้าเพชรพลอย ฉันเป็นลูกสาวคนเล็กมีพี่ชายชื่อ ‘เจ้าทรัพย์’ นายอัครเดช ธนะวรากุล อายุ 28 ปี จบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์การบริหารการจัดการในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจการบินและอวกาศ เช่น อุตสาหกรรมการผลิต การซ่อมบำรุงและอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นต้น พี่ชายของฉันจึงได้ทำงานอยู่ที่บริษัทอะไหล่ส่งออกของเครื่องบินแต่เป็นบริษัทของต่างประเทศ แต่นอกจากจะทำงานด้านนี้แล้วพี่เจ้าทรัพย์ยังมีงานอดิเรกส่วนตัวคือเป็นเกมเมอร์ที่ใช้นามว่า ‘Jet’sai’ ด้วย หลังจากที่มองนาฬิกาซึ่งตอนนี้บ่งบอกว่าใกล้เที่ยงวันแล้ว เนื่องจากฉันมีเรียนช่วงบ่ายสองจนถึงสี่โมงเย็น ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนักแต่เพื่อนสาวที่ชื่อ ‘นานา’ กับ ‘ไพลิน’ ต่างหากที่ไลน์มาตามฉันถี่เนื่องจากรายงานที่จะต้องส่งของเธออยู่ที่ฉัน ทำไมฉันถึงเก็บไว้น่ะเหรอ? เพราะว่าพวกเธอทิ้งรายงานของตัวเองทันทีที่แฟนมารับไง และฉันก็ไม่ได้เป็นคนใจร้ายถึงขนาดจะทิ้งของเพื่อนไว้ตรงนั้นจึงหยิบใส่กระเป๋าผ้าสำหรับใส่ชีทงานต่างๆ ไว้ด้วย แต่ทว่า... ตอนนี้ฉันกลับหามันไม่เจอนี่สิ! “เมื่อวานก็หยิบมานี่นา” บ่นพึมพำและนึกไม่ออกว่าฉันเอากระเป๋าผ้าสีดำไปทิ้งไว้ที่ไหน ซึ่งพอนึกขึ้นได้ “อยู่ในรถ!” เนื่องจากรถของฉันเสียทำให้เมื่อวานลืมหยิบของในรถออกมาคือกระเป๋าใส่งาน ไม่รอช้าที่จะหยิบนามบัตรขึ้นมาดูเส้นทางการไปยังอู่ซ่อมรถชัยกิจและมองเบอร์โทรของผู้ชายคนนั้นที่ชื่อหิน “นายอชิระ จิรานนท์ (ช่างหิน) เบอร์ 099-989xxxx” ฉันพูดและกดเบอร์ตามนามบัตร ปลายสายดังแต่ทว่ากลับไม่มีคนรับสายเลยซึ่งฉันโทรไปหลายสายเลยทีเดียวนะ “เป็นอะไรคะลูกเอย ทำหน้าบูดแต่เช้าเชียว?” บนโต๊ะอาหารที่ร่างระหงสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวกำลังจัดอาหารเช้า โดยที่เก้าอี้หัวโต๊ะมีประมุขของบ้านกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่คือพ่อและแม่ของฉันเอง “เปล่าค่ะ” มองข้าวต้มกุ้งที่ถูกเตรียมไว้แล้วพร้อมกับน้ำแร่ที่เย็นชื่นใจหลังจากดื่มไปครึ่งแก้ว “เมื่อคืนพี่ทรัพย์บอกพ่อว่าเอยโดนช่างซ่อมรถรีดไถเอาเงินเหรอ?” ฉันขมวดคิ้วทันทีเมื่อสบตากับพ่อที่ถามด้วยสีหน้าห่วงใย “พี่ทรัพย์มั่วแล้วค่ะ คุณหินเขาพารถเอยเข้าอู่เพราะว่ารถเอยเสียจริงๆ” “ว่าใครมั่วห๊ะยัยตัวเล็ก!” คนที่ถูกฉันว่าลับหลังก็เดินมานั่งข้างกายแถมยังเอากำปั้นเขกศีรษะฉันอีกต่างหาก “เอยพูดจริง พี่ทรัพย์ไปว่าเขาค่ะคุณพ่อทั้งที่เขามาช่วยเอย” “คนพวกนั้นไว้ใจไม่ได้หรอก ใช่ไหมครับคุณแม่” “จริงค่ะลูกทรัพย์” ฉันถึงกับทำหน้าไม่ถูกเลยเมื่อทั้งแม่และพี่ทรัพย์ต่างพากันเข้าข้างกันอยู่เสมอ “คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า จนด้วยนะหวังเงินจากเราแน่นอน” “ใช่เลยครับคุณแม่ มีอย่างที่ไหนรถใหม่แบบนั้นจะพังเข้าอู่ ผมว่าก็แค่น้ำมันหมดมากกว่า ยัยเอยโดนตุ๋นเปื่อยแล้วล่ะครับ” ทนไม่ได้จริงๆ นะที่แม่และพี่ทรัพย์ต่างพากันดูถูกคนที่จนกว่าเรา เขาก็คนเราก็คนแต่แตกต่างกันก็แค่ฐานะเท่านั้นทำไมจะต้องกดหัวเขาขนาดนั้นด้วย แม้ฉันจะถูกสอนให้เกลียดคนที่ต่ำกว่าตัวเอง ห้ามสุงสิงหรือเข้าใกล้คนที่ไม่มีฐานะอะไร แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ทำตามเพราะฉันคิดว่าพวกเขาก็คือคนเหมือนๆ กับเราก็เท่านั้น “เอยไปก่อนนะคะ” เพราะไม่อยากฟังคำพูดเสียดสีจึงยกมือไหว้พ่อ แม่และพี่ทรัพย์ออกมาถึงรถตู้สีดำซึ่งลุงพลก็เตรียมที่จะไปส่งฉันยังมหาลัย “ลุงพลคะ เอยรบกวนอะไรหน่อยนะคะ” ขณะที่รถเคลื่อนตัวออกจากบ้านแล้วฉันก็โน้มตัวไปหาลุงพลและยื่นนามบัตรให้ “พาเอยไปที่นี่ทีนะคะ พอดีเอยลืมของไว้ในรถที่เสียน่ะค่ะ” “อ๋อ อู่ซ่อมรถชัยกิจ ลุงรู้จักครับเดี๋ยวลุงพาไป” ฉันมึนงงไม่น้อยที่ลุงพลรู้จักอู่ซ่อมรถชัยกิจด้วย แต่ดูเหมือนลุงพลจะเห็นสีหน้าฉันเมื่อจับจ้องจนท่านฉีกยิ้มกว้าง “เวลารถตู้มีปัญหาลุงจะพารถไปซ่อมที่นี่ทุกครั้งเลยครับ” “จริงเหรอคะ เอยไม่เคยรู้เลย” “ในระแวกแถวนี้อู่ซ่อมรถชัยกิจดังสุดแล้วครับ รับประกันเรื่องงานซ่อมด้วย” ลุงพลยกนิ้วโป้งให้ฉันราวกับจะบอกว่ามั่นใจว่ารถของฉันจะต้องเสร็จและไม่พังจนขับไม่ได้แน่นอน รถตู้ที่ลุงพลขับมาจอดที่หน้าอู่ซ่อมรถชัยกิจที่มีป้ายเขียนไว้เด่นชัดเจน ฉันลงจากรถและมองเข้าไปด้านในก็เห็นช่างซ่อมหลายคนกำลังทำงานในส่วนของตัวเองอยู่ จึงมองหาคนที่ฉันอยากตามหา “ลุงพลรอตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวเอยเข้าไปเอง” “จะดีเหรอครับ ในนั้นมีแต่ผู้ชายนะครับให้ลุงไปด้วยดีกว่า” “ไม่เป็นไรค่ะเอยไปแปบเดียว รอตรงนี้เถอะค่ะหรือไม่ก็ไปรอที่ร้านชำตรงนั้นก็ได้ค่ะ” ชี้นิ้วไปยังร้านชำที่อยู่เยื้องจากอู่ซ่อมรถไปนิดเดียว ลุงพลก็ลังเลแต่พอฉันพยักหน้าให้ท่านก็เลยเดินไปนั่งเล่นรอ จากนั้นฉันก็เดินตรงเข้าไปด้านในซึ่งพอการมาของฉันทำให้ช่างทุกคนถึงกับหยุดงานของตัวเอง “มาหาใครครับ?” ชายคนหนึ่งที่กำลังดูเครื่องยนต์อยู่ถามขึ้น “มาหาคุณหินค่ะ เขาอยู่ไหมคะ?” เขาขมวดคิ้วและมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะอมยิ้มออกมาจนฉันมึนงงไม่น้อยกับท่าทางของเขา “พี่หินอยู่ด้านหลังอู่ครับ เดินตรงไปเลี้ยวซ้ายจะมีรถกระบะสีดำ พี่หินซ่อมรถอยู่ตรงนั้นล่ะครับ” ฉันมองไปตามทางที่เขาชี้ก่อนจะโค้งศีรษะให้เป็นการขอบคุณ จากนั้นก็เดินไปตามทางแต่ก็ต้องเอามือยกขึ้นปิดจมูกเนื่องจากมีการทำสีรถและกลิ่นน้ำมันที่ลอยคลุ้งเหม็นจนมึนศีรษะไปหมด เมื่อเดินตามเส้นทางที่เขาบอกฉันก็มาถึงอู่ซ่อมรถด้านหลังและมองซ้ายก็เห็นรถกระบะตามที่เขาบอก แต่ฉันกลับไม่เห็นเขาคนนั้นอยู่เลย จะมีก็แต่น้องหมาที่นอนอยู่บนโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้และห้องน้ำที่เป็นแบบครึ่งปูนครึ่งไม้ ก๊อกน้ำหลายสิบอันเรียงรายกัน ฉันเดินไปยังรถกระบะและชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านในรถก็ไม่เห็นมีใครอยู่ “คุณหินคะ” เพราะมองหาคงไม่เจอจึงเอ่ยปากเรียกเขา แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ “คุณหินอยู่หรือเปล่าคะ?” ครืด สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงล้อเลื่อนอะไรสักอย่างดังอยู่ใกล้ตัวเองบริเวณเท้า จึงหันกลับไปก้มดูก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อร่างสูงที่นอนอยู่บนเปลตกใจไม่แพ้ฉันที่รีบเอามือปิดกระโปรงพีชของตัวเอง เขาคงไม่เห็นหรอก! เขาคงไม่เห็นข้างในฉันหรอก ฉันเชื่อแบบนั้น “คุณมีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงมาหาผมโดยไม่โทรมาก่อน” คุณหินลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะยกมือเสยผมที่ชุ่มเหงื่อของตัวเองขึ้นไป “ฉันโทรแล้วค่ะ แต่คุณไม่รับสาย” พอตอบไปแบบนี้เขาก็ขมวดคิ้วและเอี้ยวตัวไปเปิดประตูรถกระบะและหยิบมือถือขึ้นมาดูปลายสาย “เบอร์ 088-889xxxx ใช่ไหมครับ?” “ค่ะ โทรมาหลายสายด้วยแต่คุณก็ไม่รับ” ฉันมองร่างสูงที่สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงชุดหมีที่ใส่แบบครึ่งตัวเลอะคราบดำๆ เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าหล่อเหลา “รถคุณยังไม่ถึงคิวนะครับ อาจจะอาทิตย์นี้ผมจะซ่อมให้” “ฉันไม่ได้มาถามเรื่องรถค่ะ” คุณหินทำหน้ามึนงง ก่อนจะเอามือป้ายไปยังกางเกงของตัวเองและโยนเครื่องมือที่ถืออยู่ลงบนพื้น “คุณเห็นกระเป๋าผ้าสีดำในรถของฉันไหมคะ?” ร่างสูงเท้าเอวและนึกตามสิ่งที่ฉันพูดก็ส่ายหน้าไปมา “ผมพาคุณไปดูที่รถแล้วกันครับ เพราะตั้งแต่รถคุณมาผมก็ยังไม่ได้เปิดไปดูด้านในเลย” ฉันยิ้มกว้างให้กับเขา ก่อนจะเดินตามร่างสูงเข้าไปด้านในอีกครั้งและครั้งนี้ก็มีสายตาของช่างจับจ้องมองไม่วางตาเลยทีเดียว คุณหินเดินเข้าไปในสำนักงานและหยิบกุญแจรถของฉันพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ในโรงรถ “พี่หิน แฟนเหรอ?” จู่ๆ เสียงตะโกนแซวก็ดังขึ้นตามด้วยอีกหลายคนที่มองฉันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “ถ้าไม่ใช่ขอจีบนะ” “หุบปากแล้วทำงานของมึงไป” คุณหินชี้หน้าช่างซ่อมก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปดูก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่กระเป๋าใส่งานไม่ได้หายไปไหน “ขอบคุณนะคะ ในนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์ด้วย” ฉันกระโดดดีใจเหมือนเด็กๆ ก่อนจะรู้ว่าตัวเองเผลอแสดงมุมนี้ออกไปให้เขาได้เห็นจึงหยุดนิ่งและมองสบตากับเขาหลังจากที่เขาปิดประตูรถ “ถ้ารถเสร็จผมติดต่อเบอร์คุณได้เลยใช่ไหมครับ?” “ค่ะ ติดต่อได้เสมอเลยค่ะ” ตอบกลับเมื่อเขาเดินมาส่งฉันที่รถตู้ ซึ่งลุงพลก็วิ่งตรงมาหาฉันในทันที “สวัสดีครับลุงพล” ดูเหมือนทั้งสองคนจะรู้จักกันดีเพราะทักทายกันอย่างสนิทสนมเลยทีเดียว “ไม่คิดว่าลุงจะทำงานให้กับคุณ...” “เจ้าเอยค่ะ” ตอบชื่อตัวเองกลับไป ซึ่งคุณหินก็ยิ้มและโค้งศีรษะให้กับลุงพลอีกครั้ง เขาส่งฉันขึ้นรถจากนั้นลุงพลก็ขับรถเพื่อพาฉันไปส่งยังมหาลัย “ลุงพลรู้จักคุณหินด้วยเหรอคะ?” “รู้จักสิครับ ก็เจ้าหินเขาเป็นลูกชายเจ้าของอู่ซ่อมรถนี่ครับ” เมื่อได้คำตอบก็ถึงบางอ้อ ถึงว่าทำไมดูมีอำนาจกับช่างหลายๆ คนที่ต่างก็พากันหวาดกลัวเขา “หินมันเป็นคนดีครับ คนดีมากๆ ที่หาจากไหนไม่ได้แล้วจริงๆ” พอลุงพลพูดแบบนี้ภาพในวันที่เขามาช่วยก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มของฉันที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน “เอยเห็นด้วยค่ะ” ใช่ ฉันเห็นด้วยที่ว่าเขาน่ะเป็นคนดีจริงๆ นั่นแหละ มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ณ คณะบริหารธุรกิจ หลังจากที่ลุงพลมาส่งฉันก็มานั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะเพื่อรอเพื่อนสาวสองคนที่ไปซื้อขนมและน้ำ ส่วนฉันก็ตรวจดูชีทงานที่จะต้องเข้าคลาสวันนี้และรายงานที่จะต้องส่งด้วย “วันนี้ที่บ้านมาส่ง รถเธอไปไหนอะเจ้าเอย” นานาที่มาถึงนั่งลงตรงข้ามฉันก่อนจะยื่นแก้วน้ำหวานสีแดงที่ฉันชอบมาให้ “รถเสียตั้งแต่วันศุกร์แล้ว” “อ๋อ วันที่เธอต้องทำกิจกรรมที่คณะใช่ปะ?” ไพลินถามพลางหยิบชิ้นแตงโมกัดเข้าปาก ทั้งสองคนเป็นลูกคุณหนูมีฐานะร่ำรวยนานาเป็นลูกสาวนักธุรกิจดังเรื่องจัดการโรงแรม ส่วนไพลินก็เป็นลูกสาวร้านทองที่มีหลายสาขาและพ่อแม่ของเธอก็เป็นผู้ดีเก่าด้วย “เธอน่าจะตกลงคบกับใครสักคนที่มาจีบ เพื่อให้เขาไปรับไปส่งได้แล้วนะเจ้าเอย” คำถามของพวกเธอทำให้ฉันเงยหน้าจากชีทงานและลอบมองด้วยสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไหร่ “ฉันไม่ได้ต้องการคบกับใครเพียงเพราะคบเพื่อใช้งานหรอกนะ” “เขาไม่ได้เรียกว่าใช้งานนะเจ้าเอย เขาเรียกว่าช่วยเหลือกันในยามลำบากมากกว่า” นานาตอบพลางเบ้ปาก “ฉันกับไพลินก็มีแฟนแล้วแถมแฟนฉันก็เป็นนายแบบดัง ไพลินก็คบกับรุ่นพี่คณะนิเทศฯ ที่เป็นถึงลูกนักการทูต” “แล้วยังไง?” ถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ก็ไม่ยังไง ผู้ชายที่มาจีบเธอหล่อ รวย ดีๆ ทั้งนั้นอะ ทำไมไม่เลือกใครสักคนล่ะ?” ข้อนี้ทุกคนรู้ดีว่ามีคนมาจีบฉันเยอะ แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะอะไรน่ะเหรอ... “ผู้ชายที่พวกเธอพูดถึง คือผู้ชายที่ชอบพูดอวดอีโก้ตัวเองน่ะเหรอ” “อวดอีโก้อะไรเจ้าเอย?” นานาถอนหายใจก่อนจะตบมือลงบนโต๊ะ “เธอเนี่ยรสนิยมผู้ชายแปลกมาก มานี่ฉันจะบอกให้นะพวกผู้ชายที่พูดอวดรวยน่ะ เพราะว่าเขารวยจริงไง” “...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD