จอยกอดแขนของบิลลี่และพิงศีรษะซบไหล่ปู่ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “คุณปู่คะ หนูคิดถึงคุณปู่มากเลย!”
บิลลี่มองดูหลานสาวทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เขาลูบผมเธออย่างเอ็นดูด้วยมือที่อบอุ่นและพูดว่า “หลานโทร. หาปู่ได้ทุกเมื่อนี่ หลานรัก”
“ไม่ค่ะ หนูอยากอยู่ดูแลคุณปู่ใกล้ ๆ มากกว่า!”
"ได้สิ ได้อยู่แล้ว!"
เมื่อคาร์ลีได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง มีความดุร้ายเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาแวววาวเจ้าเล่ห์ของเธอ
แค่เพียงวูบเดียวเท่านั้นแต่จอยก็สังเกตเห็น
เธอจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณปู่บิลลี่ และเนื่องจากคุณปู่ชอบความเงียบสงบมากกว่า ท่านจึงตัดสินใจฉลองวันเกิดด้วยการรับประทานอาหารเย็นกับลูกหลานที่บ้านแทนที่จะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต
อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกคาร์ลีวางแผนหลอกล่อ จอยจำใจต้องบอกบิลลี่ว่าเธอไม่อยากไปหาคุณปู่ที่บ้าน
เพราะอย่างนี้บิลลี่จึงมาบ้านลุงของจอยตั้งแต่เช้าด้วยความที่อยากเจอหลานสาวเต็มทน
เสียแต่ว่าคาร์ลี วางแผนล่อลวงจอย ทำให้เธอต้องอยู่นอกบ้านตลอดทั้งคืน ด้วยหวังจะให้จอยโดนใส่ร้ายเสีย ๆ หาย ๆ
ผลที่น่าจะเกิดตามมาก็คือ โรคหลอดเลือดสมองของคุณปู่กำเริบหลังฉากระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ แล้วก็ยังทำให้จอยถูกครหาว่าทำตัวเละเทะอีกด้วย
ตอนแรกทุกอย่างดูจะเข้าทางไปเสียหมด เป็นไปตามที่คาร์ลีวางแผนไว้ทุกอย่าง
ตอนนี้เมื่อแผนการนั้นล้มเหลว คาร์ลีจะหาทางวางกับดักหลอกจอยอีกครั้งเป็นแน่!
ขณะที่จอยกำลังคิดหาทางแก้ เธอได้ยินเสียงแข็งกระด้างพูดขึ้นในทันใด
“เธอไม่ใช่เด็กอีกแล้วนะ จอย ซัลลิแวน! ทำไมยังใส่ชุดนอนเดินเตร่ไปทั่ว?”
จอยเห็นเทเรซา แรนดอล์ฟ ผู้มีศักดิ์เป็นป้า เดินมาหาเธอด้วยอารมณ์ไม่พอใจ คุณป้าคงรออยู่ที่ประตูสักพักแล้ว
นี่ถ้าเป็นตัวเธอในชีวิตเก่าหญิงสาวคงจะขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุดนอน แต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เธอต้องการก็คือตอบโต้เทเรซา
ทว่าคุณปู่บิลลี่พูดขึ้นก่อนเธอ
“เทเรซา จอยยังเด็กอยู่เลย ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ลูกคุยกับหลานดี ๆ ก็ได้นี่”
ทันทีที่เทเรซาได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของสตรีสูงวัยดูเข้มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบิลลี่เป็นสมาชิกผู้อาวุโสสุดของครอบครัว และเพราะเห็นแก่มรดกของผู้เป็นพ่อ เทเรซาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่รื่นหูขึ้น
“มันก็เพื่อตัวแกเองนะคะ คุณพ่อ จอยเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เราจะปล่อยให้แกออกนอกลู่นอกทางและถูกใคร ๆ ต่อว่าว่าเป็นเด็กนิสัยเสียไม่ได้!”
บิลลี่ได้ฟังเทเรซาแล้วทำหน้าดุในทันที
“ลูกเป็นป้าของแกนะ ลูกพูดแบบนี้ได้ยังไง”
เมื่อจอยเห็นคุณปู่บิลลี่เข้าปกป้องเธอ ดวงตาของหญิงสาวก็แดงเรื่อและมีน้ำตารื้น
เทเรซารู้ว่าผู้เป็นพ่อโกรธ เธอจึงหยุดพูด
ระหว่างนั้นคาร์ลีซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็เดินเข้ามาและพยายามจะสร้างความสมานฉันท์
“อย่าโกรธไปเลยนะคะ คุณปู่ คุณแม่พูดจาตรง ๆ ไปสักหน่อย ก็คุณแม่เป็นห่วงจอยนี่คะ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่คาร์ลีพูด บิลลี่ก็เลิกใส่ใจ
แต่จอยเป็นฝ่ายพูดบ้าง
“จริงค่ะที่หนูไม่ใช่เด็กอีกแล้ว แล้วหนูก็ซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่คุณป้าดูแลหนูตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ คุณป้าเทเรซา หนูตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับคุณปู่”
เมื่อคาร์ลีกับเทเรซาได้ยินดังนั้น ใบหน้าของทั้งสองก็เริ่มเผือดสี แล้วสองแม่ลูกก็เริ่มพูดจาเกลี้ยกล่อมเธอ
“นี่ จอย อยู่ที่นี่ไม่ดีหรือไง เธออยากจะย้ายไปทำไมล่ะ”
จอยมองคุณป้าเทเรซาจอมตลบตะแลง แล้วก็รู้สึกระอา
เธอรู้เหตุผลที่เทเรซาไม่ต้องการให้เธอย้ายออกไป
คุณปู่บิลลี่จะโอนเงินจำนวนหนึ่งเข้าบัญชีของเทเรซาเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเป็นค่ากินอยู่ของจอย
เนื่องจากคุณปู่บิลลี่เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายของจอยมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเธอจะพักอยู่ที่บ้านของเทเรซาก็ตาม
อีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะบริษัทเล็ก ๆ ที่พ่อของจอยก่อตั้งไว้ อย่างไรเสียมันก็ยังทำกำไรให้ในแต่ละเดือน
ไม่เพียงเท่านั้น คาร์ลีกับเทเรซายังชอบพาเธอไปชอปปิง รวมทั้งไปสถานเสริมความงาม แล้วสองแม่ลูกก็ชอบอ้างเสมอว่าลืมพกกระเป๋าเงินมา หรือไม่ก็ยังไม่ได้ผูกบัญชีบัตรเดบิตกับโทรศัพท์
จอยจึงต้องเป็นคนจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรโดยอัตโนมัติ
การยอมตกเป็นเบี้ยล่างของสองแม่ลูกในชาติที่แล้วทำให้จอยได้บทเรียนหลายอย่าง จากนี้ไปเธอจะต้องระวังตัวให้มากกว่าเก่า
“หนูรู้อยู่แล้วค่ะว่าคุณป้าเทเรซาดีกับหนู แต่หนูอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตไม่ได้อยู่แล้ว ถูกไหมคะ หนูจะต้องลงหลักปักฐานและแต่งงานในสักวันหนึ่งด้วย!”