CHAPTER 01
@เพชรบูรณ์
สมุดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กเท่าฝ่ามือถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตรงหน้าล่าสุดที่จำนวนเงินทั้งหมดถูกถอนออกไปเมื่อตอนกลางวัน นัยน์ตาเศร้าของตัวเองจ้องมองยอดปัจจุบันตรงนั้นซ้ำๆ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้เงินจำนวนนั้นกลับเข้ามาในบัญชีแบบเดิมแต่มันก็เป็นได้แค่ความฝันเมื่อความเป็นจริงมันอยู่ตรงหน้า
ปาฏิหาริย์ไม่เคยเกิดขึ้น
ปาฏิหาริย์ไม่เคยมีจริงด้วยซ้ำ
ทุกอย่างมันพังลงหมดแล้วทางเลือกของฉันก็ถูกทำลายลงอย่างไม่มีทางก่อให้มันเกิดขึ้นได้อีก ไม่ใช่ท้อไม่ใช่เหนื่อยแต่ฉันเคยทำแบบนั้นแล้วมันก็เกิดแบบเดิมตลอด ตอนนี้ก็เหมือนกันเงินทุนก้อนสุดท้ายของลูกไม่มีแล้ว...
ฉันชื่อ ‘ซาน’ อายุแค่ 19 ย่างยี่สิบที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเด็กเหลือขอใจแตกท้องไม่มีพ่อตั้งแต่อายุ 17 แล้ว ฉันไม่เคยเถียงไม่เคยแก้ต่างให้กับตัวเองสักครั้งได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับคงเพราะมันเป็นจริง จะเถียงความจริงไปทำไมยังไงฉันก็รู้ตัวดีว่าอะไรเป็นอะไร ฉันไม่มีพ่อไม่มีแม่เหมือนอย่างใครเขาในรุ่นเดียวกัน ไม่มีใครอยากเข้ามาเป็นเพื่อนและข้อนี้ฉันก็เข้าใจดีอีกต่างหาก ชาวบ้านบอกกรอกหูเสมอว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการเอามาทิ้งไว้ข้างถนน
การเติบโตของฉันจึงเกิดขึ้นจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองใหญ่แต่พออายุได้ 14 ก็มีผู้ใจบุญอยากอุปะการะดูแล ตอนนั้นดีใจมากเลยนะรอยยิ้มครั้งแรกเกิดขึ้นเพราะไม่คิดว่ายังมีคนต้องการ ฉันอยู่อาศัยกับเขาจนถึงปัจจุบันจึงได้รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่ เขาไม่ได้ต้องการขนาดนั้น...
ฉันเป็นได้แค่คนรองมือรองตีน
ฉันเป็นได้แค่คนนอกที่ต้องทำงานหาเงินเข้าบ้าน
เชื่อไหมรอยยิ้มฉันได้หายจากไปนานแล้ว แค่ผู้หญิงคนหนึ่งด่างพร้อยไม่มีความดีอะไรให้ได้จำฉันว่าทุกคนรับรู้เอาไว้แค่นี้ก็พอแล้วแหละ
~ฟิ้ว~
สายลมหนาวพัดเข้ามาเยือนทางหน้าต่างจนต้องห่อตัวแต่ฉันไม่เท่าไหร่หรอกหวงก็แค่อีกคนหนึ่งต่างหาก การรีบลุกขึ้นไปคว้าผ้าห่มเข้ามาถือไว้จากนั้นก็จัดการห่มให้ร่างเล็กอ้วนปุย ใบหน้ากลมริมฝีปากจิ้มลิ้มนอนหลับลึกผ่อนลมหายใจอย่างสม่ำเสมอหลังจากอิ่มนมจากเต้าไปไม่ถึงสิบนาทีพอให้ฉันยิ้มได้ในรอบวันส่วนวันต่อไปก็ช่างมันเพราะยังไม่เกิดขึ้น
ฉันจะสู้ให้ถึงที่สุด สู้ให้ลูกมีอนาคตมากกว่าตัวเองถึงเค้าจะเกิดมาในตอนที่ฉันไม่พร้อมทุกด้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดูแลไม่ได้ ยังไงฉันต้องดูแลให้ดีที่สุดไม่ว่าจะแลกด้วยความเหนื่อยยากยังไงก็ตาม
“เป็นกำลังใจให้แม่ด้วยนะสตางค์ หนูเป็นทุกอย่างของแม่แล้วนะลูก”
ลูกฉันชื่อสตางค์ เพศหญิงส่วนอายุ 2 ขวบครึ่ง ได้ชื่อว่าลูกตัวเองแต่ไม่มีส่วนไหนคล้ายฉันเลยสักนิดทั้งที่อุ้มท้องมาเก้าเดือน ทุกอย่างคล้ายผู้ชายคนนั้นหมดจด ผู้ชายที่รู้จักกันมานานแต่ก็ใช่ว่าจะคบหรือรักกันได้...
วันต่อมา...
“เดี๋ยวตอนเย็นหนูมารับสตางค์นะคะป้าส่วนเงินค่าฝากอีกสองสามวันซานเอาให้” ป้าสายยิ้มก่อนพยักหน้าให้ฉันพร้อมกับการเอื้อมมือยกขึ้นมาอุ้มเจ้าหญิงตัวอ้วนจากอ้อมกอดไป สายตาเอ็นดูของป้าที่มองลูกฉันเชื่อว่าไว้ใจได้เพราะตั้งแต่ลูกลืมตาดูโลกก็มีป้าสายนี่แหละที่อุ้มสตางค์พอๆ กันกับฉันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ “มาแม่หอมแก้มก่อน”
~ฟอด~
กลิ่นเด็กยังหอมติดจมูกพลอยให้ชื่นใจไปอีกวันหนึ่ง
“บายแม่ซาน... บ้ายบายรีบกลับมาหาสตางค์นะคะ” ป้าสายพูด
“แบะๆ” [บายบ่าย]
มีเหรอที่สตางค์จะไม่เรียนแบบคนเลี้ยงในการพูดถึงจะตัดเอาแค่คำว่าบายบ่ายก็เถอะเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาให้ฉันได้ใจชื่นขึ้นมา
การที่ป้าสายอุ้มด้วยแขนข้างเดียวอีกข้างก็ยกมือเล็กขึ้นมาทำท่าทางโบกไม้โบกมือให้ฉัน รอยยิ้มของลูกทำฉันอดยิ้มแฉ่งจนตาหยีไม่ได้ส่วนป้าสายก็ยิ้มเหมือนกัน ท่านอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้มีรายได้อะไรนอกจากร้อยมาลัยขาย
วันนั้นประมาณเกือบสองปีกว่าฉันจึงเข้ามาถามหลังจากคลอดลูกซึ่งท่านก็ตอบรับอย่างง่ายดายบัดนั้นเป็นต้นมาเราจึงสนิทกันมาก
ที่ต้องให้เลี้ยงเพราะยังไงตอนทำงานก็พาลูกไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ฝากด้วยนะคะป้า”
“ไม่ต้องห่วงไปทำงานดีๆ เจ้าซาน”
รอยยิ้มป้าสายที่ฉันมองเหมือนแม่มานานท่านรอให้ฉันเดินลับสายตาจากนั้นก็พาสตางค์เข้าบ้าน อุปกรณ์การเลี้ยงก็อยู่ในบ้านป้าสายหมดสิ่งที่ฉันต้องซื้อมาให้เสมอคือนมเสริมจากเต้าบ้าง ฉันทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในรีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้บ้านแห่งหนึ่งชื่อ ‘ศิลาธนันรีสอร์ท’
เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเขาควบคุมพื้นที่หลายร้อยไร่ในเพชรบูรณ์ ได้ยินว่าในตัวเมืองยังมีกิจการโรงแรมระดับห้าดาวด้วยนะ ทั้งปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาดสายเรียกง่ายๆ คือไม่มีห้องว่างรับรองอยากพักต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น
จบแค่มอสามได้เป็นพนักงานทำความสะอาดในรีสอร์ทใหญ่ขนาดนี้ก็คือว่าดีแล้ว เพราะมีเพื่อนร่วมงานหลายคนจบการโรงแรมมาด้วยซ้ำ ที่ฉันทำได้ก็เพราะป้าหัวหน้างานซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกันสงสารก็เลยช่วยแต่ฉันต้องเรียนรู้งานหลากหลายอย่างมากซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรง่ายสักนิด
“มาก่อนเวลามากเลยนะซาน”
“แต่ยังช้ากว่าป้าอุ่นอยู่ดี ขนาดอยู่หมู่บ้านเดียวกันนะคะ”
“ฉันต้องมาก่อนเวลาอยู่ดีปะล่ะ เออ...” ที่ฉันเรียกป้าอุ่นเพราะมันติดปากไปแล้วความจริงนั่นป้าอุ่นอายุประมาณสี่สิบแต่วัยรุ่นมากทั้งความคิดแล้วคำพูดคำจา “เมื่อไหร่แกจะเรียกฉันมาพี่อย่าเรียกป้าเลยขอร้อง โคตรเจ็บใจในการเกิดเร็ว”
“ให้ซานเรียกเถอะค่ะ ติดปากไปแล้ว น๊าคะ”
“ลูกอ้อนของแกไม่ได้ผลแน่จ๊ะ ฉันรับรองได้ด้วยเกียรติของหัวหน้างาน จริงสิมีเรื่องเม้าท์จ๊ะเมื่อวานเขาบอกว่าฝ่ายต้อนรับวุ่นวายมากถึงขั้นระดับรุนแรงเพราะมีแขกสำคัญมาเยือนถึงขนาดเจ้าของโรงแรมมาต้อนรับเองเลย ใหญ่เบอร์ไหนกันถึงเรียกเจ้าของมาต้อนรับได้”
แบบนี้เรียกว่างานช้างเลยนะ
“แล้วเป็นยังไงต่อคะ ได้ไปต่อหรือเปล่า”
ไปต่อหมายความว่ากลุ่มพนักงานต้อนรับถูกไล่ออกหรือเปล่า เคยมีเหตุการณ์ก่อนหน้าทุกคนเล่าลือกันมาแล้วว่ากลุ่มก่อนหน้าถูกไล่ออกเพราะแค่ทำเด็กร้องไห้ คำสั่งนั้นถูกสั่งตรงลงมาจากผู้บริหารใหญ่
“อันนี้ฉันไม่สนจ๊ะถือว่าไม่เกี่ยวกับเรา อย่าเป็นคนดี”
“อ้าว... ”
“มันมีเรื่องให้สนมากกว่านี้ปะ ปากต่อปากเล่าลือกันไปทั่วรีสอร์ทว่าชายคนนั้นจมูกเป็นสันโครงหน้าสันกรามเด่นราวกับพระเจ้าปลูกปั้นมาอย่างดีมีผิวขาวถึงภายนอกดูนิ่งๆ หยิ่งๆ เข้าถึงยากแต่หล่อลากมากเลยเป็นข้อยกเว้น พนักงานสาวในรีสอร์ทชอบมาก”
“เขามาแล้วเหรอคะ?”
ยกเว้นฉันคนหนึ่งที่ไม่สนว่าจะหล่อลากมากแค่ไหน
“พวกคณะคนอื่นมาถึงวันนี้ตอนเที่ยงส่วนคนหล่อลากเห็นเขาพูดกันว่ามาถึงเมื่อวานตอนเย็น”
“อ๋อ”
“แค่อ๋อ? ถามจริงไม่สนใจ”
“ไม่ค่ะป้าอุ่น ซานขอตัวไปทำงานก่อนเดี๋ยวโดนว่า”
“เชิญจ๊ะนางซานคนดี”
เพียงแค่นี้ฉันก็เดินยิ้มออกมาจากห้องมุ่งตรงไปทำความสะอาดห้องที่ได้รับมอบหมาย โซนนี้เป็นโซนติดกับภูเขาสามารถเห็นวิวได้สามร้อยหกสิบองศาตอนเช้าจึงมีหมอกหนาตกลงมาหนักแทบมองไม่เห็นทาง ธรรมชาติที่เรียกผู้คนให้เข้ามาเยือนหรือสัมผัสสักครั้งเพียงแค่ว่าตอนนี้
สายตาฉันกับไม่โฟกัสกับวิวหลักล้านพวกนั้นเลย
ห่างออกไปไม่เท่าไหร่นักสายตาฉันดันไปสะดุดกับร่างสูงใหญ่สวมกางเกงลำลองเสื้อแขนยาวเข้าชุดยี่ห้อดังยืนหันไปทางภูเขา รูปร่างคล้ายกับใครคนหนึ่งซึ่งเล่นเอาหัวใจฉันตกฮวบลงปลายเท้า
ยิ่งขยับตัวถ่วงท่ามันยิ่งกว่าใช่เสียอีก
คงไม่หรอกมั้ง...
ไม่ใช่แน่ๆ เขาจะมาทำไม
“ยัยซาน!”
แต่แล้วก็มีเสียงร้องเรียกชื่อตัวเองดังมากฉันไม่ได้หันไปทางเสียงต้นตอยังลุ้นกลืนน้ำลายอักใหญ่เพราะกลัวว่าคนนั้นที่กำลังออกกำลังกายจะหันมามอง ทว่าโชคดีมากที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะตรงหูเขาสวมใส่หูฟังอยู่จึงไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อฉัน ไม่ใช่หรอกเขาจะมาอยู่ตรงนี้ได้ไง ยืนตรงที่ที่ไม่ใช่ยังไงก็ไม่สามารถเป็นไปได้...
“ถามจริงเป็นผู้ชายกันเปล่าเนี่ย ทำไมแรงสู้ผู้หญิงไม่ได้!”
มุกเพื่อนร่วมงานที่เรียกฉันเอ่ยว่าขึ้นให้เพื่อนร่วมงานผู้ชายอีกสองคนในระหว่างเหตุการณ์ที่พวกเราทั้งหมดกำลังช่วยกันยกโต๊ะทานข้าวจากอีกห้องด้านบนลงมาไว้อีกห้องด้านล่างตามคำสั่งซึ่งถึงแม้ระยะไม่ห่างกันเท่าไหร่แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอยู่ดีเพราะต้องยกลงบันใดความยากจึงเกิดขึ้น
ความยากที่อยู่ในระดับมาก
“งั้นพวกเธอมายกด้านนี้มั้ย”
“ใช่ไอ้บอยมันพูดถูก ทางมันต่างระดับอีกทั้งยกคาบันใดขนาดนี้แรงโน้มถ่วงก็มาทางพวกฉันทั้งสองคนหมด”
ประโยคแรกเป็นของบอยที่เอ่ยเถียงมุกส่วนประโยคยาวตบท้ายเป็นของมินสองคนนี้เป็นผู้ชายสองในสาม ขณะที่พวกเรากำลังยกย้ายโต๊ะอยู่นั่นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้ในโซนนี้หรอกจึงสามารถถกเถียงกันได้เสียงดัง
“อ๋อ... นี่จะบอกว่าพวกฉันออมแรงให้แต่พวกนายยกหรือไง”
“เธอพูดเองนะมุก” บอยเถียงขึ้น
สงครามน้ำลายกำลังก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมุกเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างรักในความเท่าเทียมกันไม่ว่าเพศไหนทุกอย่างที่เกิดขึ้นถ้าอยู่ในสายตาของเธอมันคือระดับเท่ากันหมดส่วนบอยกับมินนั้นนิสัยเหมือนกันราวกับเป็นพี่น้องทั้งที่ไม่ใช่เมื่อฝ่ายใดถูกว่าไม่ว่าจะรวมกันหรือแยกทั้งคู่ก็เถียงให้กันเสมอ
ไม่จบง่ายๆ
“โอ้ย! เถียงกันอยู่ได้จะเสร็จเมื่อไหร่!”
“...”
คราวนี้เป็นเสียงของกุ๊กดังขึ้นอีกครั้ง เธอเป็นคนเจ้าอารมณ์ค่อนข้างมากพอพูดขึ้นก็ใส่อารมณ์ออกมาเต็มทั้งทางสีหน้าท่าทางนี่ถ้าปล่อยมือจากโต๊ะได้คงทำไปแล้ว
ดีหน่อยที่ในตอนนี้พวกเราอยู่กลางบันใดจึงไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้
แค่นั้นการถกเถียงกันก็เหมือนจะหยุดลงไปด้วยอันที่จริงแล้วด้านพวกเราผู้หญิงช่วยกันถึงสามคนส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นผู้ชายมีสองคนด้วยความที่ว่าการก้าวเดินบวกกับทางมันต่างระดับจึงดูยากหน่อย อีกอย่างโต๊ะก็ราคาค่อนข้างแพงเอาการอยู่จึงไม่มีใครนึกสนุกแกล้งกันหรอก
ในความคิดของฉันนะ
“เอางี้ค่อยๆ ก้าวลงมั้ย”
พอฉันเสมอความคิดเห็นบ้างนัยน์ตาแข็งของกุ๊กก็หันมาตวัดสาดใส่ด้วยความไม่ชอบ พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าเธอไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่นัก
“อย่าอวดฉลาด!”