CHAPTER 02
พอฉันเสมอความคิดเห็นบ้างนัยน์ตาแข็งของกุ๊กก็หันมาตวัดสาดใส่ด้วยความไม่ชอบ พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าเธอไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่นัก
“อย่าอวดฉลาด!”
“กุ๊กเกินไปมั้ย ว่าให้ซานแบบนั้นได้ไง” มุกเอ็ดขึ้นบ้างเพื่อห้ามปราม
“ส่วนเธอก็เงียบปากไปเลยยัยมุก เข้าข้างกันดีนัก ความจริงพวกเราไม่น่าจะมาทำอะไรแบบนี้สักนิดทำไมไม่ให้คนเรียนน้อยทำเอง”
ใช่... เธอหมายถึงฉัน
“ซานเรียนจบไม่เท่าวุฒิพวกเราก็จริงแต่เธอมีประสบการณ์เยอะกว่า”
“ถ้าไม่ใช้เส้นจะเข้าได้เหรอ เหอะ...” กุ๊กแสยะยิ้มส่งมาให้ฉันอีกครั้งหนึ่งก่อนเชิดใบหน้าขึ้นและขยับตัวดันร่างฉันออกมา เนื่องจากฉันอยู่ริมสุดและเธออยู่ตรงกลาง “ลงไปรอช่วยบอยกับมินด้านล่าง อยู่ตรงนี้ก็เกะกะช่องบันใดเล็กนิดเดียวจะอัดให้ตายเลยหรือไง”
“ได้ งั้นเดียวเรารอช่วยด้านล่างนะ”
เพราะเห็นว่าอีกห้าหกขั้นบันใดก็จะพ้นฉันจึงค่อยๆ ปล่อยมือจากโต๊ะจากนั้นก็พยายามขยับออกมาจากช่องว่างที่มีนิดหน่อยจนถึงบันใดขั้นสุดท้าย การยืนรอรับโต๊ะจากตรงนั้นเมื่อพวกนั้นเริ่มขยับตัวยกโต๊ะลงมาทีละนิดไม่ได้รวดเร็วเหมือนก่อนหน้าจึงทำให้โล่งใจหน่อยทว่า...
“เฮ้ยซาน!/ซานหลบ!”
แค่ละสายตาแป๊บเดียวเสียงมุกกับเสียงของมินก็ตะโกนดังลั่น ภาพที่ฉันเห็นคือโต๊ะทานข้างกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากบันใดโดยไร้การจับใดๆ ของทั้งมุก กุ๊ก มินและบอย ในขณะที่ยืนแข้งขาแข็งมีเพียงสายตาของตัวเองเท่านั้นที่จ้องมองโต๊ะเคลื่อนลงมาหาตัวเอง
ฉันโดนโต๊ะชนแน่...
ในเมื่อหลบไม่ทันฉันจึงหลับตาลง
หมับ!
“จะยืนบื้อทำไมยัยงั่ง”
ยัยงั่ง...
มีคนเดียวเท่านั้นที่เรียกแบบนี้
ตึ่ง!
เสียงกระแทกของโต๊ะกับผนังปูนดังสนั่นแต่ไม่ได้ตกใจเท่าการที่ตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดของบุคคลหนึ่ง คนนี้ทำเอาร่างกายฉันชาหนึบไปจนสุดขั้วหัวใจเมื่อเงยขึ้นสบนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่ตรงหน้า
หัวใจเต้นรัวแต่ลมหายใจกับติดขัดเอาเสียดื้อๆ ราวกับว่าฉันกำลังนอนคว่ำใบหน้ากับหมอนหายใจออกในแต่ละครั้งช่างอึดอัดเพิ่มความทรมานเป็นเท่าตัว หลายปีผ่านมาการที่ฉันไม่เคยเจอเขาเลยตั้งแต่วันนั้นคืนนั้นทว่าตอนนี้เขากับมายืนกอดตัวเองอยู่ตรงนี้
พี่ติ...
ผู้ชายที่เห็นเป็นเขาจริงๆ
ผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกฉัน
“...”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
ไม่ว่าเปล่านัยน์ตาคู่นั้นมองสำรวจลงยังร่างกายของฉัน ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ได้ใส่ใจแต่ทำไมเขากับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นและรั้งตัวฉันออกจากบริเวณตรงนั้นนิดหนึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการผละตัวออกอีกทั้งยังขยับห่างไม่กล้าเงยหน้าสบตาใดๆ จึงไม่เห็นว่าเขามองมาที่ตัวฉันหรือไม่แต่มันก็ดีแล้วเพราะไม่ควรคาดหวังที่จะได้เห็นอะไรทั้งสิ้นไม่นานพวกเพื่อนที่เหลือต่างก็ลงมายืนข้างกายฉัน
“ไม่เป็นไร... ค่ะ”
น้ำเสียงของตัวเองค่อนข้างสั่นกว่าที่จะบังคับเอ่ยพูดออกมาได้ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากแล้วนะ ดีหน่อยมุกขยับเข้ามาจับแขนฉันเอาไว้ราวกับปลอบใจที่รอดจากวินาทีเฉียดตาย เปล่าเลยฉันไม่ได้กังวลเรื่องที่ตัวเองรอดแต่กำลังกังวลการเจอหน้าเขาต่างหาก
ได้ยินนะเสียงซุบซิบของเพื่อนๆ ดังขึ้นว่าคนนี้แหละ แขกสำคัญคนนั้น
ที่แท้ก็เป็นเขาเอง
“เออ ขอบคุณนะคะที่ช่วยซาน”
“...”
กุ๊กเป็นตัวตั้งตัวตีเอ่ยคำขอบคุณออกไปแทนฉันแต่ก็ได้แค่ความเงียบงันไร้การโต้ตอบใดๆ จากเขา พอฉันเงยหน้าขึ้นจึงได้พบว่าพี่ติจ้องมองมาที่ตัวเองไม่มองใครแม้แต่น้อยมีแต่สายตาเท่านั้นแหละที่เปลี่ยนแววตาไปจากเมื่อกี้ เขาทำราวทุกคนกลายเป็นธาตุอากาศไม่จำเป็นสำหรับชีวิตเมื่อฉันหลบสายตาเขาจึงเอ่ยขึ้น
“เหมือนตรงนี้จะไม่ใช่หน้าที่ของพวกคุณ ใครสั่งพวกคุณทำ”
“...”
ใช่ ตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกฉันแต่เป็นของอีกฝ่ายหนึ่งการโยกย้ายอุปกรณ์แบบนี้แต่พอพวกเราแจ้งไปก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไม่เช่นนั้นจะตัดสินใจทำกันเหรอ
“จะถามอีกครั้งหนึ่ง”
เสียงเตือนดีๆ นี่เอง
เขาทำให้พวกเราประหม่าและกดดันไปพร้อมๆ กันในคราเดียว ในสายตาฉันเขาเปลี่ยนไปมากเหมือนไม่ใช่คนเดิมทั้งสีผมการวางตัวที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครนักแม้กระทั่งฉัน
ช่างเถอะ...
ทุกอย่างระหว่างฉันกับเขามันเป็นเรื่องของอดีตคงเอามารวมกับปัจจุบันไม่ได้เพราะเส้นทางเดินชีวิตของเรามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ไม่มีครับ” คราวนี้มินเป็นหน่วยกล้าตายตอบแต่ก็ยังไม่สามารถดึงดูดสายตาเขาให้มองไปตรงนั้นได้ “พวกเราตกลงทำกันเองเพราะแจ้งไปแต่ก็ไม่ได้รับความคืบหน้า โต๊ะวางไว้ที่เดิม”
“ทำกันโดยภาระการสินะ” ความเยือกเย็นของประโยคนี้เหมือนเป็นการเองมือยื่นเข้ามาตบหน้าดีๆ นี่เอง “กลับไปทำงานกันได้ละที่เหลือผมจัดการเองแต่คราวนี้ควรทำตามกฎถ้าฝืนก็อยู่ร่วมกันไม่ได้”
ก็จริงข้อนี้ฉันยอมรับความผิด
“...”
“คงเข้าใจที่ผมพูด”
“ครับ/ค่ะ”
“การทำงานทุกอย่างมีการลำดับขั้นตอนเอาไว้อย่างเคร่งครัด โต๊ะตัวนี้อีกฝ่ายแจ้งแล้วว่าจะขนย้ายในวันนี้เวลาบ่ายสามแต่ตอนนี้...” ใบหน้าหล่อเบี่ยงไปมองสภาพโต๊ะด้วยสายตาว่างเปล่าไม่สะทกสะท้านเหมือนกับพวกฉัน “มันคงใช้งานไม่ได้แล้ว”
“แต่คุณตะ...”
กุ๊กทำท่าจะแย้งแต่โดนมุกกระชากแขนออกไปส่วนฉันก็แยกไปอีกทางหนึ่งซึ่งรับผิดชอบอีกโซนห่าไกลกันมากอยู่ส่วนมินกับบอยก็ตามมุกและกุ๊กไป การเป่าลมหายใจออกด้วยความแรงเหมือนโล่งใจขั้นสุดในขณะกำลังเปิดประตูห้องเพื่อเข้าไปทำความสะอาดก็มีฝ่ามือใหญ่ดันร่างฉันเข้าไปด้านในด้วยความรวดเร็วเขาตวัดให้ฉันติดผนังห้องก่อนใช้มือวางดันไหล่เพื่อกันหนีเท่านั้นยังไม่พอมืออีกข้างเอื้อมไปล็อคประตู
กริ๊ก...
“รู้มั้ยการเลือกหนีพี่ทุกรายมักจบไม่สวย”
“...”
ใช่จบไม่สวย
จากวันนั้นสู่วันนี้ไม่มีอะไรสวยสำหรับความคิดฉันอีกแล้วมีแต่การยอมรับความจริงและการเผชิญกับโลกความเป็นจริงมากกว่า ฉันส่งสายตาแข็งไปให้เขาเพื่ออยากให้เลิกทำแบบนี้กับตัวเองสักที
“หนีทำไม?”
ใบหน้าคมที่คุ้นเคยลมหายใจของเขาปัดเป่ารดกับใบหน้าฉันที่เหลือช่องว่างระยะห่างแค่นิดเดียวนานเข้าก็มีกลิ่นน้ำหอมตีขึ้นมามากกว่ากลิ่นเหงื่อของกายออกกำลังกาย นัยน์ตาสีน้ำตาลมองนิ่งเรียบลึกลงไปมันดูน่ากลัวบวกกับความน่าค้นหาซึ่งขอหลีกเลี่ยงเป็นดีที่สุด
พี่ติ ผู้ชายชื่อนี้คนนี้ไม่ควรเข้าใกล้
“ปล่อยนะ!”
ฉันตัดสินใจขึ้นเสียงตวาดใส่เขาทั้งที่รู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่ชอบแล้วทำไมในเมื่อเขาก็กำลังทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบเช่นเดียวกัน ใช้วิธีนี้บอกเลยว่าไม่ได้ผลแต่พอร่างกายของฉันดิ้นประท้วงดันหน้าอกใหญ่ออกไปให้ห่างด้วยมือเดียวมันช่างยากเย็นนักไม่นานมือข้างนั้นก็ถูกอีกมือหนึ่งซึ่งใหญ่กว่ากำจัดด้วยการล็อคตรึงกับผนังห้องโดยไร้เสียงใดๆ ความเงียบนำมาซึ่งความอดอัดมากกว่าเดิมจนฉันต้องเป็นฝ่ายแพ้
“พี่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด คงรู้ดีว่าขัดขืนมากๆ จะกลายเป็นยังไง”
“ปล่อย” แค่เปล่งพยางค์เดียวแรงกดตรงมือเพิ่มขึ้น เขาไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้กับฉันอีกแล้วเราทั้งสองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเพราะฉะนั้นฉันจึงไม่อยากเจออีก “ปล่อยหนูนะ”
หนูคำนี้ฉันปล่อยออกไปแทนตัวเองกับเขาอีกแล้ว
“...”
“บอกให้ปล่อยไง ปล่อยหนู”
ได้...
อย่ามาว่าทีหลังแล้วกัน
เมื่อยังเหมือนเดิมไร้ความเคลื่อนไหวฉันจึงเปลี่ยนเป็นขยับตัวจะเคลื่อนไปทางซ้ายก็โดยกดด้วยแรงตรงไหล่จะเคลื่อนไปทางขวาก็ไม่ได้เพราะโดนตรึงเอาไว้ขนาดนั้นสุดท้ายจึงยอมนิ่งเพื่อรอโอกาสหรือช่องว่างแต่...
“อะ อย่า...”
ริมฝีปากหยักก้มลงมาเกือบสัมผัสกับริมฝีปากของฉันแต่มันก็หยุดชะงักคาอยู่ตรงนั้นรอมร่อ น่าหวาดเสียวมากถ้าเกิดฉันหรือเขาเคลื่อนไหวมันต้องประกบลงมาสัมผัสกันแน่นอน
“หึ” เสียงนี้ดังขึ้นในลำคอน้ำเสียงปนเหยาะเย้ยชัดๆ พอเขาถอยใบหน้าออกมาให้อยู่ในระดับสายตาก็พบว่าไม่ได้มีแค่เสียงเท่านั้นยังมีการยิ้มตรงมุมปากอีก ยิ้มเลวๆ นั้น “หนีทำไม ถามว่าหนีพี่ทำไม”
“หนูไม่เข้าใจ”
การเฉไฉทั้งที่รู้ดีว่าที่เขาถามเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรแต่ไม่อยากตอบไม่อยากนึกถึงอยากลืมไปให้พ้นๆ คนเราถ้าอะไรที่เป็นแบบนี้ไม่มีใครตอบหรอกเพราะมันกระทบถึงความรู้สึกจากนั้นความทรงจำพวกนั้นก็จะกลับขึ้นมาฉายในความคิดของฉันอีกหลายๆ รอบด้วยสมองไม่รักดีของตัวเอง
ความอวดดีของตัวเองกับคนตรงหน้าแม้จะรู้ดีว่าทำแบบนี้ผลที่ได้มักสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เขาต้องมีวิธีรับมือมาแน่ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้ใครต่างเกรงใจได้ขนาดนี้
บุคคลนี้ไม่ธรรมดา
ยิ่งกาลเวลาเปลี่ยนไปเขายิ่งไม่ธรรมดาในสายตาของฉัน
“อยากเข้าใจให้มันมากกว่านี้?” เขาเลิกคิ้วประกอบท่าทางจากนั้นก็จับจ้องมองหน้าฉันนิ่งด้วยอีกอารมณ์หนึ่งต่างจากก่อนหน้ามันยากหยั่งถึงอีกทั้งดูแววตาเหมือนอยากฆ่าใคร แบบนี้เองสินะใครๆ ถึงได้กลัวเขา การเปลี่ยนอารมณ์รวดเร็วการใช้สายตาสื่อออกมาได้ดีว่าต้องการอะไรไม่ต้องการอะไร “คืนนั้นในม่านรูดที่เราสองคนเป็นผัวเมียกัน เธอหนีออกมาทำไมซาน”
และนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ
“...”
“คืนนั้นที่เป็นครั้งแรกของเธอ ธะ...”
ตึก!
หมับ
การปล่อยให้คนตรงหน้าพูดต่อไม่ได้อีกฉันเลยกระแทรกส้นเท้าตัวเองใส่เท้าของเขาด้วยความเต็มแรงจากนั้นเหมือนโชคเข้าข้างเมื่อทุกอย่างถูกปล่อยออกจากตัวหมดจนถึงเวลาที่ต้องวิ่งหนีนี่สิเขากวาดมือคว้าจับตรงเอวฉันได้และรัดแน่นยิ่งกว่างูรัดเหยื่อ
“ปล่อย ปล่อยหนู”
“ดิ้นอีกจับก็ดีคราวนี้จะได้จับกดตรงเตียง!”
“คุณมันชั่ว มันเลว ไอ้เลว!”
“เออ” เหมือนเขาจะรำคาญสุดและความหัวเสียเริ่มมาเยือนจึงยอมรับออกมาโดยที่ใบหน้ายังเรียบเฉยฉันเห็นจากกระจกตรงหน้าที่มันสะท้อนออกมา “จะพูดดีๆ หรืออยากให้เลวเหมือนคืนนั้นเลือกเอา”