CHAPTER 06

2636 Words
CHAPTER 06 “ถึงเวลาที่พี่จะทวงคืนทุกอย่างแล้วสินะ” แล้วทุกอย่างก็เหมือนเข้ามาเล่นตลกในคราวเดียวกันวันเดียวกันที่มีเวลาเท่ากับวันอื่นๆ แต่มันช่างยาวนานยิ่งกว่าทุกๆ วันที่ผ่านมา การเดินกลับบ้านวันนี้มันห่อเหี่ยวกว่าวันอื่นเพราะฉันมัวแต่คิดเรื่องนั้นไม่ตกเขาบอกจะทวงทุกอย่างคืนมันก็ชัดแล้วว่าต้องการอะไร ไม่มีปัญญา หมดปัญญาแล้วจริงๆ พอพูดประโยคนั้นจบภายในห้องที่มีทั้งเขาและฉันอยู่มันก็ตกอยู่ในความเงียบงันไร้เสียงใดๆ เกิดขึ้น เรื่องราวที่จบไปเมื่อหลายปีถูกรื้อฟื้นออกมาทางสายตาทั้งของฉันและเขาจากนั้นความทรงจำทั้งหมดก็ไหลออกมาเกิดเป็นจอภาพให้ได้เห็น แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็... “หนู...” ฉันเอ่ยได้แค่นี้จริงๆ ไม่สามารถเอ่ยเป็นประโยคได้มากกว่านี้แล้วเพราะถ้าฉันฝืนโกหกต่อไปมันไม่เนียนอีกแล้วอีกอย่างเขารับรู้ตั้งแต่แรกจริงๆ ว่าสตางค์ก็ลูก ไม่ใช่เพียงแค่เห็นจากรูปถ่ายในโทรศัพท์ฉันเพียงอย่างเดียวคนอย่างเขามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอีก หรือว่าฉันจะคิดมากเกินไปนะ เขาสามารถพูดอะไรก็ได้มาทำให้ฉันหวั่นใจแต่พอดีอีกครั้งผู้ชายคนนี้มีทั้งเงิน อำนาจและทุกอย่างที่สามารถทำให้เขาได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเขาไม่น่าจะพูดเล่นออกมาทำลายตัวเอง “ทวงทุกอย่างที่ถูกพรากไป” “ถ้าคิดว่าหนูยอมก็ลองดู” เหมือนตัวเองเกินทนกับคำพูดนั้นการเถียงเขาจึงเกิดขึ้น มันไม่ใช่การอยากเอาชนะหรือการตั้งใจประกาศสงครามแต่มันคือการเลือกปกป้องคนที่ตัวเองรักมากที่สุด “หนูไม่มีทางยอมแน่” “เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำจริงๆ” “คุณ...” “ก็ยังมีความฉลาดทันคนน้อยกว่าเดิม” “นี่ มะ หมายความว่าอะไร” “หมายความว่า...” เขาจงใจเอ่ยเสียงลากยาวเพื่อทำให้ฉันขาดใจตายกับความอยากรับรู้เรื่องพวกนั้นซึ่งแน่ละเขาทำมันสำเร็จไปแล้วเพราะตอนนี้ร่างกายฉันอยู่ไม่นิ่ง “ยังเป็นเด็กถูกหลอกเหมือนเดิม” “...” ถูกหลอก “แล้วแบบนี้จะเอาอะไรมาปกป้องเจ้าก้อนหิมะได้” “...” “รู้อะไรมั้ยซานการไม่ปฏิเสธแต่เลือกพูดแบบนี้มันก็เหมือนยอมรับ ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดนะว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้กับหูตัวเองแค่หยั่งเชิงดู” ทุกอย่างมันผิดคาด ผิดที่ฉันยังอ่อนหัดกับผู้ชายคนนี้ “นี่คุณหลอกหนูเหรอ ใช้นิสัยเดิมอยู่อีกเหรอ” “ไม่ได้หลอกไม่เคยคิดเอาลูกไม้ซ้ำซากมาหลอกเพราะกับคนบางคนเขารู้ทันและมันใช้ไม่ได้ผลถ้าทำอีกเป็นครั้งที่สองแต่คงยกเว้นเพียงแค่เธอ ก็แค่เอ่ยขึ้นมาเฉยๆ ถ้าไม่มีการตอบรับก็แล้วไปแต่ถ้ามีมันก็คือคำตอบที่ใช่” “...” เขาปล่อยให้ฉันเป็นอิสระซึ่งไรการจับล็อคมือเหมือนก่อนหน้าทันใดที่หลุดร่างฉันก็ทรุดลงไปกับพื้นห้องอันแสนเย็นเฉียบ เนื่องจากก่อนหน้าฉันพยายามรั้งตัวขัดขืนให้เขาปล่อยร่างกายจึงถ่วงน้ำหนักมากอยู่เหมือนกันพอโดนปล่อยทันทีโดยไม่ทันให้ตั้งตัวสะโพกจึงกระแทกพื้นแรงเอาการอยู่ แรงกายมันอ่อนแรงไปหมดเพราะทุกอย่างเหมือนว่าฉันทำพังเอง ฉันไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครอย่างที่ทุกคนเคยว่าให้จริงๆ แค่ลูกคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ยังมาให้เขารับรู้อีก “จะพูดอะไรก็พูดมาซาน” “...” “แต่อย่ามาพูดว่าไม่ใช่ลูกพี่ พี่ไม่ใช่พ่อของเจ้าก้อนหิมะ มันไม่ตลก” “หนูยังไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ” เขาเห็นฉันเป็นเด็กขนาดไหนนะถึงอยากชวนทะเลาะมากเหลือเกิน คิดว่าฉันไม่โตขึ้นหรือยังไง “คิดว่ามันตลกหรือไง” แต่ตอนนี้ฉันว่าตัวเองเริ่มนิสัยไม่ดีแล้ว ด้วยอารมณ์ที่ขึ้นลงทำให้พาลไม่หมดมองไปยังคนตรงหน้าก็ขัดหูขัดตาไปเสียหมดพอเบี่ยงมองไปทางอื่นสายตาอีกคู่ก็เหมือนจับจ้องตัวเองตลอดเวลา “พาไป” “หา?” ฉันหันขวับไปหาทันที หวังว่าคงหูฝาด คงไม่จริงใช่ไหม “ไปหาเจ้าก้อนหิมะ พาพี่ไปหน่อย” “...” แล้วฉันก็เงียบ “อย่าพาล ลูกกับพ่อมันคนละคนกัน” “หนูไม่ได้พาลแต่ต้องทำงานค่ะ” “ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้นก่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาทำเป็นไตร่ตรองคิดสักครู่หนึ่งจากนั้นก็หลุบสายตามองลงมาที่ฉันนิ่ง “ไม่ต้องทำ เดี๋ยวลาหยุด” “ไม่ได้ค่ะ” ฉันยังยืนยันประโยคเดิมเพราะต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมงานได้รับผลกระทบ ไม่อยากมีปัญหาตามมาแค่นี้ปัญหาที่เข้ามาในชีวิตก็มากมายหลายแสนอย่างแล้วขืนมีเพิ่มอีกคงรับไม่ไหวอีกแน่ “มีปัญหา?” “ค่ะ หนูไม่อยากมีปัญหาตามมาอีก” “แสดงว่าที่เป็นอยู่มันก็มีอยู่แล้ว” เป็นอีกครั้งที่ฉันว่าตัวเองแสดงความโง่เง่าของตัวเองออกไปให้เขาเห็น การมองของผู้ชายคนนี้ทะลุปรุโปร่งการคาดเดาที่มันเฉียบขาดและทุกอย่างมันคือความจริง “ไม่ต้องห่วงไม่มีเพิ่มหรอก” ฉันจะเชื่อได้ยังไง จะสามารถเชื่อคนที่เคยทำร้ายตัวเองได้ยังไง “หนูยืนยันคำเดิมว่าต้องทำงาน” “พี่ก็ยืนยันคำเดิม” เชื่อเขาเลย กระทั่งอีกสักพักที่ทั้งฉันและเขาเล่นจ้องตาพูดสื่อสารกันผ่านทางสายตาต่างคนต่างไม่ยอมกันพอฉันเคลื่อนไหวกระชับเสื้อตัวโคร่งบนตัวและลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกจากห้องอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกทว่าแค่ออกก้าวเดินแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้นร่างกายก็ถูกแรงกระชากเข้าไปนั่งบนตักแกร่งอีกทั้งยังมีมือใหญ่เข้ามาโอบเอวพร้อมกับประสานมือไว้ตรงหน้าท้องของฉัน “นี่ปล่อยหนูนะ!” การดีดดิ้นขัดขืนเกิดขึ้น “จุ๊ๆ ” ใบหน้าหล่อส่งเสียงออกมาห้ามปรามไม่ให้ฉันดิ้นอีกซึ่งมันก็ได้ผลจริงจังเนื่องจากฉันหยุดนิ่งแต่ความจริงแล้วกำลังใช้ความคิดต่างหาก “แต่ใจใช่มั้ยว่าจะไม่ไป” “ค่ะ ไม่ไป” “งั้นก็อยู่มันที่นี่แหละ” “ไม่นะ หนูอยู่ไม่ได้ หนูไม่อยู่” “อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเจ้าก้อนหิมะไม่ได้เจอหน้าแม่ ไม่ได้ดูดนมจะงอแงขนาดไหนกัน” นี่อย่างบอกนะว่าเขาเห็นอกหน้าฉันถึงใช้มันเป็นข้ออ้างที่ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้ขึ้นมาต่อรอง “ลูกจะร้องไห้แค่ไหน แดงตาตัวแดงไม่ยอมหลับนอนเพราะคนเป็นแม่ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่คน” “...” “เห็นแบบนี้แล้ว... พี่พาลูกไปอยู่ด้วยดีมั้ยซาน” “มะ....” “ในเมื่อเธอเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอง สู้ให้เจ้าก้อนหิมะไปอยู่กับพ่อมันเองไม่ดีกว่าเหรอ?” ติ ภาพฟ้า ศิลาธนันการ: TALK หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ มันคือเรื่องจริง มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ สายตาของผมจดจ้องไปยังกระดาษแผ่นหนึ่งตรงหน้าที่วางอยู่บนโต๊ะไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวห้านาทีเศษที่ผมอ่านมันวนเวียนซ้ำไปมาเป็นเกือบสี่ห้ารอบจนในขณะนี้สามารถจำได้ทุกตัวอักษรทุกรายละเอียดที่มีจะให้กล่าวสรุปออกมาก็ยังได้ ผมรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้หัวใจไม่ได้เย็นช่ำเหมือนสายน้ำที่ไหลแต่มันร้อนไหม้เกรียมจนสามารถแผดเผาทุกอย่างให้หายได้ไปในพริบตากับเรื่องบางสิ่งบางอย่างที่ตัวเองพึ่งรับรู้ การบีบฝ่ามือตัวเองแน่น การถอนหายใจทุกๆ ช่วงอึดใจ การพยายามนับเลขให้ตัวเองได้ใจเย็น จบลงด้วยการเบี่ยงใบหน้าหลีกหนีข้อความมองไปด้านนอก ซึ่งสิ่งที่ผมทำไม่ได้ทำให้ใจเย็นได้เลย แต่ว่ามันกลับร้อนระอุขึ้นกว่าเดิม... เกือบสองปีกว่าที่ผมต้องค่อยสืบค้น ค่อยจ้างนักสืบบวกกับใช้อิทธิพลต่างๆ เข้ามาช่วยในการค้นหาตัวบุคคลคนหนึ่งซึ่งความจริงก็เกือบหนึ่งปีกว่าแล้วที่รับรู้เรื่องราวพวกนั้น ได้รู้ว่าเธออยู่ไหน ได้เห็นรูปถ่ายบางในบ้างครั้งคราว ได้เห็นการเคลื่อนไหวบ้างในยามที่ผมทนไม่ได้จริงๆ แต่นอกจากนั้นผมไม่เคยเข้าไปทำให้เธอตื่นกลัวด้วยซ้ำ ผมกลัว กลัวการโดนเกลียดไปมากกว่านี้ สิ่งเดียวที่ผมไม่กล้าเข้าไปพูดคุย ไม่กล้าเข้าไปให้เธอได้เห็นหน้าหรือรู้จักอีกก็เพราะความกลัว ความกลัวมีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นมา มันค่อนข้างซับซ้อนและทำให้ผมเลือกไม่ได้ง่ายๆ แต่เมื่อได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ผมกับต้องเปลี่ยนความคิด เพราะแค่... เด็กหญิงภาพตะวัน ชัยวรรณยะ ชื่อเล่นสตางค์ เกิดเมื่อ... แค่นี้จริงๆ แล้วในตอนนี้มันก็ฝังอยู่ในหัวสมองแทนเรื่องอื่นๆ ไปด้วยแล้วแหละ ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อยๆ สุดท้ายสายตาฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างแรง สภาพอากาศตอนนี้ยิ่งเหมือนเข้าใจหัวอกของผมเลย โดดเดี่ยว อ้างว้าง ไม่มีใคร อยู่ไหนก็ไร้ความสุขแม้กระทั่งบ้านตัวเอง ผมมองแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้ว มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การได้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น แบบที่ผมเจอมาตั้งแต่เด็กจนมันค่อยซึมซับลึกเข้ามาจากการเรียนรู้เรื่อยๆ โดยไม่ผ่านใครเป็นตัวกลาง ผมเลือกจำจดความเลวร้ายที่คนพวกนั้นแสดงออกมาให้เห็นโดยไม่แคร์ถึงบางครั้งความคิดมันจะคอยบอกกับตัวเองว่าตัวอย่างที่ได้เห็นนั้นบอกได้เต็มปากว่ามันไม่ได้ดี มันเหี้ยเกินทนเบอร์ไหนก็รับไม่ได้ทั้งนั้นแต่ผมกลับคิดว่ามันน่าเบื่อ ทุกวันเหตุการณ์ซ้ำๆ เกิดขึ้นให้เห็นเรื่อยไปตามสภาพและเมื่อว่าความรุนแรงจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติหาดูได้ทั่วไปทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่สักนิด ผมรู้ดีว่าหลายคนต่อต้านแขยงจนเกินทนกับภาพความรุนแรงทั้งหลายแหล่ เสียงเรียกร้องหาความช่วยเหลือที่ปวดร้าวเจียนแทบขาดใจประกอบกับเลือดสีแดงสดนองส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว พอผมรับรู้เห็นคนพวกนั้นก็ไม่ว่า ไม่สั่งสอนถึงจะไม่ได้ส่งเสริมก็เถอะ ทุกครั้งที่ผมเข้าไปเห็น เข้าไปยืนนิ่งมองการกระทำของคนพวกนั้น มองเหมือนกำลังพยายามจำจดเรียนรู้ความรุนแรง เสพติดการร้องหวยโหยของคนที่ถูกกระทำซ้ำๆ แปลกที่สุดก็คือมันทำให้ผมยิ้มได้ ยิ้มให้กับคำสั่งของผู้ชายที่มีฐานะว่าพ่อ ยิ้มให้กับสายตาเย็นชาของผู้หญิงที่มีฐานะว่าแม่ ยิ้มให้กับคำสั่งของคนทั้งสองที่เอ่ยออกมาลูกน้องก็พร้อมทำ ผมคงได้ความเลวร้ายผสมมาตั้งแต่นั้นแหละ ครั้งสุดท้ายที่ผ้าขาวใสสะอาดอย่างผมผู้ซึ่งเป็นลูกมันแปดเปื้อนไม่พอมั้งพวกเขาถึงต้องเอาเป็นคนส่งมันมาเองมาแปดเปื้อนตัวผมคาบอันโสมมไร้ซึ้งความดี ครั้งนั้นมีคนถามว่าให้ผมเอาคุณหนูออกไปก่อนไหมครับแต่รู้ไหมว่าคำตอบที่ได้ฝังลึกลงจิตใจของผม มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องให้มันได้เรียนรู้ต่อไปมันก็ต้องทำแบบฉัน ไร้การห้ามปราม ไร้การสั่งสอนสิ่งดีงาม ไร้ซึ่งความดีนั่นคือ ผม ผมจึงไม่ใช่ผู้ชายที่ดี ผมไม่ใช่ลูกชายคนเดียวที่ดี ผมไม่ใช่คนที่ควรเอาเป็นตัวอย่าง และสุดท้ายผมมันเลว เลวจนนรกไม่ต้องการ การแสยะยิ้มในแบบฉบับที่ผมเองก็รู้ดีว่าไม่ได้แสดงความรู้สึกเหมือนคนทั่วไปแต่มันคือการสมเพชปนมั่วไปกับความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกผิด เท้าความถึงเมื่อก่อนเอามันตั้งแต่อนุบาลผมชอบเอาของเล่นแสนแพงของลูกคนชอบอวดรวยไปทิ้งหลังห้องน้ำให้พวกนั้นร้องไห้โฮพอมาประถมผมก็ต่อยตีกับประธานโรงเรียนในห้องประชุมของสภาจวบจนขึ้นมัธยมโรงเรียนนานาชาติผมก็อยากรู้อยากลองแหกกฎทุกอย่างทั้งไม่เข้าเรียนแต่เข้าออกให้ปกครองเป็นว่าเล่น โดดเรียนหนีเรียนวิชาที่ครูเข้าสอนสิบนาทีที่เหลือบ่นจนหมดคาบ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าตรงตึกร้างหลังโรงเรียน มัวสุมตามแนวชายป่าโรงเรียนไปเสียหมดสุดท้ายทุกครั้งเรื่องมันก็ถึงผู้ปกครอง แต่รู้ไหมว่าใครเข้ามาแทนในห้องปกครองบอกเลยว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับผม เขาเป็นลูกน้องมือขวา เขาเข้ามารับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อแม่ มันไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผมเลยสักครั้งเดียว ไม่เคยได้สัมผัสเหมือนคนอื่น ดีมาก... เหอะ... พอเริ่มเข้ามหาลัยผมถูกส่งตัวให้ไปไกลหูสุดตีนจากพวกเขานั่นคือกระบี่ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเสียใจหรือดีใจแต่มันชินชาไปหมดเรียกง่ายๆ ว่าอยู่ไหนก็ได้ซีเรียส ในเมื่อจะอยู่ไหนผมก็ไม่ใช่คนดีเด่นตั้งแต่แรกจะไปไหนเหนือใต้ออกตกมันก็เลวระยำอยู่ดี การทำนิสัยเดิม ผลาญเงินเที่ยวเก่งไม่ใส่ใจการเรียนมีวันหยุดยาวพอปิดเรียนก็ไม่ไปเพราะความขี้เกียจ ผมคบเพื่อนที่นิสัยไม่ต่างกันนักหรอกมีเหมือนกันทุกอย่างแม้กระทั่งความเลวระยำ พวกเราเช้ามาก็ขาดเรียน โดดเรียนพอตกเย็นก็แดกเหล้า ต่อยตีตามคลับบาร์ต่างๆ มากมาย ชื่อเสียงในด้านลบมีเกินหนังสือเรียนส่วนด้านบวกแทบไม่เห็นสามบรรทัดยังไม่ถึงเลยมั้ง สุดท้ายคนทางบ้านก็รับรู้ สุดท้ายพวกเขาก็มีแค่เงินที่เลี้ยงผม สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สนใจตัดหางปล่อยวัดไม่ใส่ใจ และสุดท้ายผมก็ขึ้นไปเพชรบูรณ์ ไปทำเรื่องต่ำทรามที่สุดเกินบรรยาย ที่นั่นคือจุดเกิดเรื่องราวมากมายที่ถึงจะเป็นการกระทำตั้งแต่อดีตสองปีกว่าผ่านไปแต่ผลของมันส่งมาถึงปัจจุบัน ทำให้ทุกวันผมนั่งไม่ติด นอนไม่หลับและดื้อดึงเป็นที่สุด เรื่องราวมันเกิดขึ้นจากผมได้พบเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในร้านขายของชำเล็กๆ ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้หญิงที่แทบไม่มีอะไรดึงดูดได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหุ่น ใบหน้า ทรวดทรงองเอวแทบติดลบเอาเป็นว่าทุกอย่างตกอยู่ภายใต้คำจำกัดความที่ว่า ‘ธรรมดาโคตร’ มีแค่ผิวสีขาวซีดเท่านั้นที่สะดุดตา แต่ทำไมผมถึงถูกใจ แต่ทำไมผมถึงโคตรอยากได้ ถึงแม้จะรับรู้ว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงบ้านๆ ดูหลอกง่ายดีทำเนียนไปตามน้ำพอได้สมใจก็เลิกเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคงไม่มีอะไรหรอกทว่าการคิดตื้นๆ ในวันนั้น การเห็นเธอเป็นแค่สินค้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ การไม่รับรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงหัวอ่อนมาก ใสซื่อมากกว่าผม ทำให้ทุกอย่างยิ่งยุ่ง ผมเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ผมเหมือนคนไม่มีความคิดสุด เพราะ... ผมหน้าตัวเมียข่มเหงเธอทั้งที่เธอสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD