CHAPTER 05
ให้ตายเถอะ...
หนทางมืดดับยิ่งกว่าก่อนหน้า
เขามัดมือชกปิดกั้นทุกทางแล้วฉันจะออกจากห้องนี้ไปได้อย่างไรกันล่ะนอกจากขยับตัวสวมเสื้อคลุมตัวโคร่งของเขาให้ร่างกายมิดชิดและแนบศีรษะไปชิดกับประตูตู้ให้ได้มากที่สุดเพื่อหวังว่าจะได้ยินบทสนทนาของคนด้านนอกให้ได้มากที่สุดถึงตอนนี้มันจะเงียบกริบลงไปแล้วก็ตาม
พูดกันต่อสิ
เงียบทำไมล่ะ
สุดท้ายสิ่งที่ฉันได้ยินก็คือเสียงปิดประตูห้องตบด้วยเสียงล็อคปิดท้าย
โอเค...
เกมส์นี้ฉันเองที่แพ้
แพ้ทั้งที่ไม่น่าเริ่มตั้งแต่แรกถึงป้าอุ่นจะมาอีกรอบมันก็เหมือนเดิมไม่ช่วยอะไรหรอกเพราะแค่ย่างเท้าเข้ามาก็ไม่สามารถทำได้ การทิ้งตัวพิงลงผนังตู้อย่างหมดหวังท้ายที่สุดประตูตู้ก็ถูกเลื่อนเปิดออกด้วยฝีมือใหญ่คนเดิมเพิ่มเติมเข้ามานั้นก็คือในมือเขามีโทรศัพท์รุ่นเก่าหน้าจอแตกของฉันอยู่ในมือ
ไม่ได้...
หวังว่าจะไม่ได้เปิดโทรศัพท์หรอกนะ
ถ้าเป็นคนอื่นฉันจะไม่หวงโทรศัพท์เครื่องนั้นขนาดนั้นหรอก ไม่กังวลใดๆ ด้วยยกเว้นเสียแต่ว่าเขาเท่านั้นถ้าได้เห็นเรื่องยิ่งไม่จบ
“ซาน...”
เขาก็ใช้ไม้เดิมคือการกดดันด้วยความเงียบ
ใช้สายตาคมแข็งกร้าวเข้าสมทบ
ด้วยความสูงร้อยแปดสิบกว่าของเขาทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมองมากกว่าปกติด้วยความที่ตัวเองนั่งด้วยสุดท้ายเท้าใหญ่เคลื่อนตัวก้าวถอยหลังแค่สามก้าวก็ประชิดขอบเตียงเขาจึงนั่งลงบรรจงถอดรองเท้าออกกำลังกายออกและยื่นมือข้างที่เหลือคว้าสลิปเปอร์ที่ถูกเตรียมรับรองแขกเอาไว้ใส่แทน
ในเมื่อเขาใช้เตียงเป็นฐานทับฉันก็ให้ตู้เป็นฐานทับตัวเองเช่นกัน
และในเมื่อเขาทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใจเย็นฉันก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน เราไม่ควรกลัวอะไรที่ยังไม่มาถึง
“บอกไปแล้ว”
“รีบบอกมาได้แล้วซาน อย่าลีลา”
“จะให้พูดกี่ครั้งล่ะ หนูบอกไปแล้ว” ขณะตอบฉันขยับขาขึ้นมาเพื่อกอดบังสายตาคู่นั้นที่ไม่รู้ว่าจะจ้องตรงหน้าอกฉันอะไรนักหนา จ้องแบบนี้เหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่างแต่ไม่พูด “หนูบอกคุณแล้วยังไงคำตอบก็เหมือนเดิม”
“ใช่แต่... มันไม่ใช่ความจริง”
“...”
“ถึงจะถูกก็แค่ตรงร่างกายไม่สมบูรณ์เท่านั้น”
“เอาโทรศัพท์หนูมา!”
ไม่รู้แล้วฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้วเมื่อคนตรงหน้ายกมือถือฉันเพื่อเตรียมจะกดลงเพื่ออะไรฉันก็ไม่แน่ใจแต่ดีหน่อยพอฉันตวาดออกไปนิ้วใหญ่ก็ชะงักยังไม่ทำอะไรลงไป
“รู้แล้ว”
“หนูบอกให้เอามา”
~พรึบ~
“หื้ม?”
ไอลมร้อนเป่ารดหน้าผาของฉันเมื่อฉันเงยใบหน้าขึ้นมองส่วนมือก็วางไว้ตรงขาใหญ่ทั้งสองข้างซึ่งก่อนหน้านี้ไอ้มือไม่รักดีพยายามคว้าโทรศัพท์ในมือใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแต่พอรู้สึกตัวตอนนี้ทุกอย่างจึงแน่นิ่งไปหมดไม่กล้าเคลื่อนตัวต่อเลย
เพราะฉันโยกย้ายตัวเองเข้ามานั่งระหว่างของเขา
ได้ยังไง...
หมับ!
“ปล่อยมือหนู”
“...”
“คุณหูตึงเหรอ บอกให้ปล่อยไง” เห็นนะว่าเมื่อกี้โทรศัพท์ฉันถูกโยนข้ามศีรษะไปตกลงพื้นที่เตียงด้านหลังจากนั้นเขาก็เข้ามาจับกุมมือทั้งสองข้างของฉันที่วางบนขาของเขาด้วยความรวดเร็วพอฉันพยายามดึงให้หลุดจากการจับกุมก็ไม่สำเร็จแรงสู้อีกคนไม่ได้ “หนูบอกไปหมดแล้วนะ คุณยังต้องการอะไร?”
“งั้นก็อยู่ในห้องนี้แหละ ไม่มีภาระอะไรให้ดูแลมันอยู่แล้ว”
บ้า
บ้าไปแล้ว
“หนูไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนใครนะ ต้องดิ้นรนแค่ไหนถึงจะได้กินข้าวในแต่ละมื้อกรุณาอย่าใช้ความคิดของคุณซึ่งเป็นผู้อันจะมีกินมีใช้มาตัดสินใจแทนใครค่ะ”
“โอเค”
“ก็ปล่อย”
“แต่หลังจากตอบคำถามอะไรบางอย่างก่อน”
ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปคนอย่างเขาจะใช้ไม้ไหนมาอีกซึ่งฉันเองก็นึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเนื่องจากไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ชายคนตรงหน้าได้เลยสักครั้ง ครั้งไหนที่พยายามก่อตัวเองขึ้นคัดค้านก็เหมือนจะถูกสวนหมัดน็อคกลางคันเสมอแต่ครั้งอาจเป็นครั้งแรกที่ฉันอาจชนะบ้างก็ได้
เขากระชากแขนฉันเข้าไปใกล้ก่อนจ้องมองเหมือนพยายามล้นหาอะไรบางอย่างจากตัวฉันไม่นานนักตรงมุมปากเขาก็เกิดรอยยิ้มเหยาะออกมา
ทำไมเขาออกแรงที่มือบีบแขนฉันแรงขนาดนี้
ทำไมเขาทำเหมือนเป็นผู้ชนะ
“คะ คุณ...”
“แต่เท่าที่เห็นก็พอบอกอะไรได้หลายอย่างแล้ว”
“...”
“เด็กที่ชื่อสตางค์... คือใคร?”
ฆ่าฉันเลย
พูดมาขนาดนี้ก็ฆ่าไปซะ
ต่อไปนี้ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อรู้แค่เพียงว่าไม่มีทางสงบสุขได้เหมือนเดิม ต้องมีเรื่องวุ่นตามมาอีกแน่และมันอาจยืดยาวไม่จบไม่สิ้นจากปัญหาอื่นก็ตามมาอีกเป็นพรวนผลลับมันมากกว่าที่คิดซะอีก
สตางค์คือลูกฉันไม่ใช่เขา
สตางค์คือลูกของฉัน ลูกที่มีฉันเป็นทั้งพ่อและแม่
นี่คือสิ่งที่ฉันโฟกัสมาตลอดตั้งแต่นั้นแต่บัดนี้มันเหมือนถูกทำลายลงไปแบบย่อยยับไม่เหลือแม้แต่ซาก ตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไปในเมื่อถูกจ้องขนาดนี้โดนกดดันขนาดนี้
“...”
มันพูดไม่ออก เถียงไม่ออก ดื้อดึงไม่ออกอีกต่อไป
“เด็กผู้หญิง... วัยซนกำลังน่ารัก”
สายตาจับผิดเคลือบแครง
สายตาของเขาที่ใช้สงสัยในตัวฉัน
แต่ไม่รู้ว่าลึกภายในนั้นเขาจะรู้อะไรมากกว่านี้ไหม
“...”
“เด็กผู้หญิง... ที่เป็นก้อนกลมราวกับตุ๊กตาหิมะ”
นี่เขา
เขานิสัยไม่ดี
“คุณเป็นผู้ใหญ่พอ เป็นผู้บริหารน่าเคารพของพนักงานแต่ทำไมกับไม่มีมารยาทแอบดูโทรศัพท์ของคนอื่นแบบนี้ค่ะ” ฉันพูดโผงออกไปอีกทางหนึ่งอยากเบี่ยงเรื่องของไปอีกทางหนึ่งความจริงก็ผสมกับความโกรธลงไปด้วยนั้นแหละถึงได้กล้าเอ่ยออกไปไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “แต่นี่มันทำให้หมดความน่าเชื่อถือ หมดมองว่าเป็นคนดีด้วย บางอย่างมันคือของใช้ส่วนตัว คำว่า ‘ส่วนตัว’ มันก็หมายถึงไม่ให้ใครยุ่ง”
เอาง่ายๆ หรือไม่ให้เสือกนั้นเอง
อยากด่าแบบไม่มีคำหยาบก็เลยพูดแบบนั้น
“หึ...”
“อยากวอนโดนด่ามากหรือไง เลิกยุ่งได้แล้ว”
อารมณ์ระเบิดในระดับเล็กของฉันไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นแต่มันกับปะทุขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกำลังรอเวลาระเบิดออกมาในที่สุด ความอดทนทุกอย่างมันมีขีดจำกัดทุกคนก็ล้วนแล้วมีแต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จักการระงับเอาไว้
แต่ครั้งนี้คงไม่ใช่ฉัน
“...”
“หนูไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายคุณเลย”
“นั้นสินะ ไม่ควรยุ่ง” ไม่เข้าใจจนกระทั่งน้ำเสียงเขาหยุดลงซักพักก็ผุดขึ้นมาใหม่ คราวนี้มันราบเรียบไร้อารมณ์เสมือนเขากำลังพยายามระงับความพุ่งพร่านของอารมณ์ตัวเองไม่ให้ไปหนักกว่านี้ “แต่คงไม่ได้”
“หมายความว่าไง?”
ทำใจดีสู้เสือไว้ซาน แกต้องทำได้
“ก็รู้อยู่แก่ใจ”
“...”
“รู้มั้ยความลับ มันไม่มีในโลก” ฉันเกลียดที่สุดก็ไอ้รอยยิ้มแบบนี้รอยยิ้มที่เหนือทุกอย่างของเขามันทำให้ฉันเดือดเนื้อร้อนใจกระวนกระวายทุกครั้ง “บางครั้งคนที่มีสถานะเป็นพ่อมันก็ต้องรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
“...”
อึก...
ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แต่ทำไมไอ้อาการชาไปหมดทั่วร่างกายถึงได้ไม่หายไปสักที มันยังคงทำงานต่อเนื่องไม่พักให้ฉันได้หายใจเลย
ตอนนี้โคตรกลัว
กลัวแบบไร้ขีดจำกัด
เพราะคำพูดของเขาสองแง่เกินไปสามารถคิดได้หลายทางทั้งในทางไม่ดีและในทางที่ดี สมองทั้งสองซีกของฉันตบตีกับมากมายเพราะการตัดสินใจไม่ออก
“ที่ปิดไว้ใช่ว่าจะไม่รับรู้” เขาก้มหน้าลงมาค่อยผ่อนลมหายใจรดผิวหน้าฉันด้วยความร้อนผ่าว “บอกพี่มาเถอะ ให้รู้จากปากเธอมันจะดีกว่า”
ความล้อเล่นไม่มีหลงเหลือมีแต่การเอาจริง กรณีนี้ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ฉันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันจุกไปหมดโดยเฉพาะตรงด้านอกด้านซ้ายราวกับว่ามีใครพยายามควักเกี่ยวหัวใจของฉันออกไปจากนั้นก็ทำลายเหยียบย้ำมันต่อหน้าต่อตาให้แตกละเอียด
“หนู...”
“สตางค์คือลูกพี่”
“...”
“ลูกสาวตัวกลมราวกับตุ๊กตาหิมะ เธอมีพ่อชื่อติและมีแม่ชื่อซาน”
“นี่คุณ...”
“ถึงเวลาที่พี่จะทวงคืนทุกอย่างแล้วสินะ”