จังหวัดสุรินทร์
“ฉันบอกแกแล้วว่าไม่ต้องเอาเสื้อผ้ามาเยอะ” พระพายเอ่ยบอกฟ้าใหม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างบนรถสองแถวหกล้อเมื่อเห็นฟ้าใหม่ถือกระเป๋าสามใบพะรุงพะรัง
“ก็ฉันไม่คิดว่าบ้านแกจะไกลขนาดนี้” คิดว่าลงเครื่องแล้วนั่งรถแค่ต่อเดียวก็คงถึงแต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ฟ้าใหม่นั่งรถโดยสารจากตัวเมืองมายังตัวอำเภอหนึ่งชั่วโมงต่อด้วยรถสองแถวหกล้อที่สภาพเหมือนจะพังไม่พังจากตัวอำเภอมาหมู่บ้านของพระพายได้ครึ่งชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงเลย…
“บ้านฉันมันไกลจากตัวเมืองน่ะแล้วช่วงนี้ก็ไม่ใช่เทศกาลด้วยคิวรถโดยสารที่วิ่งก็เลยน้อย” ทุกครั้งที่พระพายกลับบ้านจะเป็นช่วงเทศกาลซึ่งมีรถโดยสารวิ่งค่อนข้างเยอะจึงไม่มีปัญหา แต่ครั้งนี้เธอลืมไปสนิททำให้เวลาคลาดเคลื่อนไปหมดเพราะมัวเสียเวลารอรถจนทำให้ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินเป็นที่เรียบร้อยแต่ก็ยังไม่ถึงบ้าน
“แต่ก็ใกล้ถึงแล้วแหละ” พระพายมองดูรอบข้างเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงหมู่บ้านแล้วจึงเอ่ยบอกฟ้าใหม่เพื่อให้สบายใจขึ้น
“เอาเถอะง่ายไปชีวิตก็ไม่มีสีสัน” แม้จะเหนื่อยเมื่อยล้าเหงื่อไหลไคลย้อยเต็มตัวแค่ไหนแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มของฟ้าใหม่ก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มน่ารักสดใสที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องหลงใหล
หลังจากทั้งสองเรียนจบพระพายก็ชวนฟ้าใหม่มาเที่ยวบ้านของเธอก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไปเติบโตเพราะพระพายจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดส่วนฟ้าใหม่ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพกับพ่อแม่ของเธอ
ทั้งสองนั่งคุยกันเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่พัดปลิวเข้ามาทางช่องลมทำเอาผมสยายจึงต้องใช้หนังยางมัดรวบไว้แต่โชคดีที่ทั้งรถไม่มีใครนอกจากพวกเธอสองคนทำให้คุยกันเสียงดังได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร
ไม่นานสองแถวคันเก่า ๆ ก็จอดหน้าศาลาไม้ริมถนนที่มีไฟรายทางตั้งอยู่ห่าง ๆ กันพอให้มองเห็นบรรยากาศรอบข้างในช่วงเวลาโพล้เพล้…
“ถึงแล้ว”
“ถึงแล้วเหรอ?” ฟ้าใหม่ถามย้ำเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าเธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมเพราะเธอมองเห็นแค่ทุ่งนากว้างใหญ่ยาวสุดลูกหูลูกตาทั้งสองฝั่งข้างทางเท่านั้นไม่เห็นแม้แต่บ้านเรือนของชาวบ้านเลยสักหลัง
“ใช่” แต่เมื่อพระพายยืนยันแบบนั้นฟ้าใหม่ก็รีบหอบหิ้วกระเป๋าลงจากรถสองแถวแล้วยืนรอพระพายที่กำลังเดินไปจ่ายค่ารถโดยสารกับคนขับรถหน้าศาลาไม้…
“เดี๋ยวฉันโทรบอกพี่พายุให้มารับก่อน” เป็นอันเข้าใจว่าต้องนั่งรถเข้าไปในหมู่บ้านอีกฟ้าใหม่จึงพยักหน้าตอบไม่ได้ถามอะไรออกไป
ขณะที่พระพายกำลังโทรหาพี่ชายของเธอให้มารับ ฟ้าใหม่ก็มองสำรวจบรรยากาศรอบข้างที่ดูเงียบสงัดแม้แต่รถของชาวบ้านก็ไม่มีสัญจรจะมีผ่านมาสักคันก็รอเกือบนาทีได้
ก่อนที่ดวงตาจะสะดุดกับใบตองที่ทำเป็นกระทงใส่อาหารมีธูปหนึ่งดอกปักอยู่วางตั้งคู่กับขวดน้ำข้างศาลาไม้ ฟ้าใหม่พยายามเพ่งมองว่ามันคืออะไรทำไมต้องเอาสิ่งนั้นไปตั้งวางตรงนั้นขณะที่ตกอยู่ในภวังค์จู่ ๆ สายลมเย็น ๆ ก็กระทบลงผิวทำเอาขนลุกชูชัน…
“ไปนั่งรอในศาลาก่อนไหม” แต่เมื่อได้ยินเสียงของพระพายก็ทำให้ฟ้าใหม่ลืมทุกอย่างสิ้นก่อนจะพยักหน้าตอบกลับเพราะหากจะยืนรอพายุก็ไม่รู้จะมาถึงตอนไหน ด้วยความเหนื่อยล้าจึงเลือกเดินเข้าไปนั่งรอในศาลาไม้เก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยคำบอกรักของวัยรุ่นที่มาเขียนไว้
“ที่นี่เงียบมากเลยเนอะ”
“ใช่ ไม่เหมือนในเมืองหรอกที่นี่พอพระอาทิตย์ตกดินชาวบ้านก็เข้าบ้านกันหมดแล้วไม่มีใครออกมาข้างนอกหรอก”
“ถึงว่าขนาดนั่งอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้วนับรถที่วิ่งผ่านไปมาได้เลย”
“ใช่”
“แล้วพี่พายุรู้ไหมว่าฉันมาด้วย?”
“แหะ ๆ ฉันไม่ได้บอก” หากพระพายบอกพายุว่าฟ้าใหม่จะมาเที่ยวบ้านพี่ชายเธอไม่ยอมแน่เพราะเขาไม่ชอบให้คนนอกเข้าไปวุ่นวายในบ้าน
“แล้วทำไมแกไม่บอกล่ะ ถ้าเกิดไปถึงบ้านแล้วพี่พายุไม่ยอมให้ฉันเข้าบ้านทำไงอะ”
“แกก็ยิ้มหวาน ๆ ให้พี่พาดิเดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง”
“บ้า! ถ้าทำแบบนั้นแล้วใจอ่อนก็ดีสิ”
“ลองดูฉันว่าได้ผลแน่”
“เอาดี ๆ ฉันจริงจังนะ” ถึงฟ้าใหม่จะไม่เคยเห็นหน้าพายุมาก่อนเลยแต่ก็ได้ยินพระพายพูดถึงพายุให้ฟังอยู่บ่อยครั้งว่าเขานั้นเป็นคนนิ่ง ๆ ขี้หงุดหงิด ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายแถมยังดุมาก ๆ อีกด้วย
“แกไม่ต้องคิดมากหรอกฉันเชื่อว่าพี่พามีเหตุผลมากพอไม่ใจร้ายไล่แกกลับมืด ๆ ค่ำ ๆ แบบนี้หรอก แล้วยิ่งวันนี้เป็นวัน…” พระพายยังพูดไม่จบเสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างก็ดังขึ้น ทั้งสองตกใจจึงรีบหันไปมองทางต้นเสียง
“มึงสิบีบแตรหาพ่อมึงเบาะบักเสตกใจเบิ่ด” (มึงจะบีบแตรหาพ่อมึงเหรอไอ้เสตกใจหมด)
“เอื้อยก็เล่นพ่อเลยเนาะ” (พี่ก็เล่นพ่อเลยนะ) เสเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีที่ตามติดพายุเพราะอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลานชายเพียงคนเดียวของพ่อครูผันผู้เก่งกาจเรื่องไสยศาสตร์ที่ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว แต่พายุก็ไม่รับมันเป็นศิษย์เพราะเขาไม่อยากเป็นอาจารย์หรือพร่ำสอนวิชาให้กับใคร เพียงแค่อยากมีวิชาติดตัวไว้ช่วยเหลือคนในหมู่บ้านโดยไม่หวังผลตอบแทนเท่านั้น
แต่หากถ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้านพายุจะไม่ช่วยเหลือเด็ดขาด…
เพราะเคยช่วยแล้วพวกนั้นก็หัวหมอรับเงินนอกแล้วพาคนมากหน้าหลายตามาหาเขาที่นับวันยิ่งเยอะขึ้นพายุจึงตัดปัญหาเรื่องนี้ไปเพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย
“แล้วมึงสิบีบแตรเฮ็ดหยังล่ะ” (แล้วมึงจะบีบแตรทำไมล่ะ) พระพายตอบพร้อมกับยกมือลูบอกตัวเองที่เมื่อกี้ตกใจจนขวัญเกือบหายก่อนจะเดินถือกระเป๋าเดินไปที่รถ
“ขอโทษได๋บ่ล่ะ” (ขอโทษได้ไหมล่ะ)
“เออ ไปช่วยหมู่กูถือกระเป๋าแน่” (เออ ไปช่วยเพื่อนกูถือกระเป๋าหน่อย) เสรีบลงจากรถวิ่งไปช่วยฟ้าใหม่ถือกระเป๋าด้วยท่าทีเร่งรีบ
“ผมช่วยครับพี่…”
“พี่ชื่อฟ้าใหม่ หรือเรียกฟ้าเฉย ๆ ก็ได้”
“ครับเอื้อยคนงาม” (ครับพี่คนสวย)
“ขอบใจจ้ะ” ฟ้าใหม่ส่งยิ้มให้เสด้วยท่าทีเป็นกันเองก่อนจะยื่นกระเป๋าใบใหญ่ให้ไอ้เสก่อนที่มันจะเดินถือไปที่รถ ฟ้าใหม่จึงจะหันไปหยิบกระเป๋าอีกสองใบที่วางอยู่ศาลา
…แต่ขณะที่เธอกำลังเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋านั้นก็ได้ยินเสียงพระพายเรียกชื่อจากทางด้านหลังเสียก่อน
“ฟ้า!”
“ว่าไงพาย” จึงขานรับแล้วหันกลับไปมองพระพายที่นั่งหันหลังให้เธอคุยกับเสอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้มองเธอเลยสักนิดคิ้วสองข้างขมวดเป็นปมแต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจ
“สงสัยจะหูแว่ว” ฟ้าใหม่บ่นพึมพำคนเดียวก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินไปขึ้นรถทันที…