วันที่ 2 ของการอยู่ที่อุดรธานีแต่ต้องเดินทางออกนอกเมือง เพื่อไปเป็นอาสาสมัครให้งานสัมนาของทีมแพทย์ในหมู่บ้านนาข่าที่เธอไปสมัครไว้
“อาสาสมัครที่จะมาช่วยเรามีพอไหม..?”
“ตอนแรกก็คิดว่าไม่พอนะคะ แต่มีน้องคนหนึ่งอาสามาช่วยเลยพอดีเลยค่ะ...”
“ดีแล้ว งั้นเราออกเดินทางกันเถอะ...”
หมอศิรวิทย์ยิ้มตอบแล้วก็หมุนตัวขึ้นรถตู้ไป แต่พอเดินเข้าไปนั่งในรถก็ต้องตกใจที่เห็นใครบางคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“นี่เธอ...”
“สวัสดีค่ะคุณหมอ เจอกันอีกแล้วนะคะ...”
อรพรรณีทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“คุณหมอรู้จักน้องเขาด้วยหรือคะ..? นี่แหละค่ะอาสาสมัครอีกคนของเรา”
“....”
หมอศิรวิทย์จ้องหน้าเธอตาเขม็ง แต่ก็ขึ้นรถไปนั่งเบาะข้างหน้าเธอ
ตลอดทางที่นั่งรถมาอรพรรณีที่นั่งอยู่เบาะหลังเขา ก็คอยใช้มือสะกิดเแขนเพื่อให้เขาหันมามองจนเขาเริ่มรำคาญ แต่เวลาเธอเห็นเขาโมโหแล้วมันตลกดีจนเธออดยิ้มออกมาไม่ได้
“ถึงแล้วค่ะ เดี๋ยวเราเข้าที่พักกันเลยนะคะ”
ทุกคนเดินตามคนที่นำทีมแพทย์มาตามทาง แล้วเห็นเป็นแค่เรือนหลังใหญ่ที่มีที่โล่งๆ แล้วที่นอนวางเรียงกันประมาณ 10 ที่ โดยแบ่งชายหญิงคนละฝั่ง ส่วนใครที่เอาเต๊นท์มาก็ออกไปกลางนอนข้างนอก
“นี่เราต้องนอนรวมกันหมดนี่เลยหรอคะ..?”
“ใช่ค่ะ น้องหมวยเลือกที่นอนได้เลยนะ อยากนอนตรงมุมไหนก็ได้เลย”
อรพรรณีมองไปรอบๆห้องอย่างอึ้งๆ แต่พอหันไปเห็นหมอศิรวิทย์เขาก็เดินหิ้วกระเป๋าไปวางมุมด้านในสุดของห้อง จนเธอต้องรีบวิ่งไปจองที่นอนฝั่งตรงข้ามกับเขา
“หนูขอนอนตรงนี้นะคะ...”
หมอศิวัฒน์หันมามองอรพรรณีแล้วหันกลับไปอย่างไม่สนใจ
ตลอดทั้งวันที่อยู่ด้วยกันหมอศิรวิทย์จะทำอะไร จะเดินไปไหนก็มีอรพรรณีคอยเดินตามตลอดเวลา เขาอยากได้อะไรเธอก็รีบหามาให้จนเธอเริ่มรู้สึกเหนื่อย ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเขาแกล้งแต่เธอก็ไม่ย้อท้อ
“น้องคะ พักทานข้าวก่อนเถอะนี่จะบ่ายโมงแล้วนะ”
เธอเดินไปหยิบของให้หมอศิรวิทย์ผ่านพี่ๆกลุ่มที่นั่งทานข้าวอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหมอก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกันเดี๋ยวหนูรอทานพร้อมคุณหมอเลยก็ได้ค่ะ...”
เธอพูดจบก็เดินไป
“พี่คะ...คุณหมออยู่ไหมค่ะ...?”
เธอกำลังจะเดินไปหาหมอศิรวิทย์ก็เจอเข้ากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวมอมแมมเดินเข้ามาหาเธอ
“น้องมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ...?”
“หนูอยากให้คุณหมอไปที่บ้านหนูหน่อย ไปดูพ่อให้หนูหน่อยได้ไหมคะ...?”
“พ่อหนูเป็นอะไรหรอจ่ะ...?”
“หนูไม่รู้ค่ะ พ่อเอาแต่โวยวายแล้วก็ทำลายข้าวของจนแม่ต้องขังพ่อไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหน หนูบอกให้แม่พาพ่อไปหาหมอแต่แม่บอกว่าไม่มีเงินค่ะ...”
“เอ่อ...ตอนนี้คุณหมอยุ่งอยู่ เอาไว้ถ้าคุณหมอว่างพี่จะบอกคุณหมอให้นะ...”
“ได้ค่ะ...”
“แล้วบ้านของน้องอยู่ที่ไหนหรอ..?”
“อยู่ในป่ากล้วยด้านนู้นค่ะ...หนูเดินออกมาคนเดียวหนูต้องรีบกลับแล้ว เดี๋ยวแม่มาไม่เจอหนูหนูจะโดนตีพี่อย่าลืมบอกคุณหมอให้หนูนะคะ”
“ได้จ๋ะ..”
น้องผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไปโดยมีสายตาของอรพรรณีมองตามไปด้วยความสงสาร แต่เธอต้องรีบวิ่งไปหาหมอศิรวิทย์
“ทำไมหายไปนาน ฉันต้องใช้เอกสารพวกนี้นะเธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง”
“หนูรู้ค่ะ แต่พอดีเมื่อกี้หนู...”
“ฉันไม่อยากฟังเรื่องแก้ตัว ถ้าไม่ได้ตั้งใจวันหลังก็ไม่ต้องมาอีก เสียงานคนอื่นเขาหมด..”
เธอมองหน้าเขาด้วยสีหน้าน้อยใจที่เขาไม่ฟังอะไรเธอเลย
“นี่หนูหัวหมุนกับคุณหมอตั้งแต่มาถึง ช่วยงานคุณหมอสารพัด คุณหมอยังบอกว่าหนูไม่ใส่ใจอีกหรอค่ะ...”
“ก็ที่เธอทำอยู่นี่เธอต้องการอะไรละ ถ้าไม่ใช่เพื่ออ่อยฉันและหวังให้ฉันคบกับเธอ แต่รู้ไว้ด้วยนะว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด... ยิ่งเห็นหน้าเธอฉันยิ่งรำคาญ”
เขาทำสีหน้านิ่งๆ แล้วกระชากเอกสารจากมือเธออย่างไม่สนใจว่าสีหน้าเธอตอนนี้จะเป็นยังไง
“คุณนี่มันเป็นคุณหมอใจมืดบอดจริงๆ ทำไมหรอเมื่อก่อนคุณเคยอกหักกับผู้หญิงคนหนึ่งมาก่อนหรือไง ถึงได้ปิดกั้นหัวใจตัวเองแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่รักคุณเพราะว่าคุณเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้สินะ...”
“หยุดพูด...”
“หนูไม่หยุด คุณอกหักเสียใจจากผู้หญิงคนนั้นจนคุณไม่สามารถรักใครได้อีกใช่ไหม...?”
“ฉันบอกว่าให้เธอหยุดพูด...”
“คุณรักเธอมากสินะ อ่อ....หรือว่าจริงๆแล้วคนที่คุณรักแล้วทำให้คุณอกหัก อาจจะไม่ใช่ผู้หญิงก็ได้...”
“หยุด....พูด”
เขาเริ่มเลือดขึ้นหน้าแล้ว
“ที่คุณไม่ชอบหนูและก็ที่คุณไม่ยอมเปิดใจให้ใครเลย เพราะว่าจริงๆแล้วคุณเป็นเกย์....”
“อื้มมมม....”
เขาดึงเธอเข้ามาจูบปิดปากเพราะเขาสั่งให้เธอหยุดพูดแต่เธอก็ยังไม่หยุด เขาจึงต้องใช้วิธีนี้แทน