พึ่บ!
ยังไม่ทันได้ค้านอะไรออกไปอีกรอบ เงินจำนวนนั้นก็ถูกยัดเข้าที่มือฉันเรียบร้อยแล้ว
“ใช้ให้หมดเลยก็ได้นะ”
นี่เขาประชดฉันอยู่ไหม?
เงินตั้งเยอะแยะจะให้ฉันที่ไปเรียนใช้ให้หมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงใครจะไปทำได้ อีกอย่าง... คุณค่าของเงิน ไม่มีใครรู้ซึ้งเท่าฉัน ฟางเซียน คนนี้แล้ว
“ไปเถอะ ตอนเที่ยงค่อยเจอกัน”
นี่ถ้าเขารวบฉันเข้าไปกอดจะได้ฟิวส์เหมือนพ่อส่งลูกไปเรียนเลยนะ
“หนูไปนะคะ”
ยกมือไหว้คนตรงหน้าอีกรอบ ยัดเงินนั้นเข้ากระเป๋าอย่างจำใจ เดินออกมาด้านนอกก็เจอคุณเทชิยืนเปิดประตูรถหรูรอแล้ว ไม่ว่าจะตบหน้าตัวเองกี่ทีต่อกี่ที เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คือความจริงไม่ใช่ความฝัน
“วันนี้มีนักศึกษาย้ายมาเรียนกลางเทอม ใครใจดีก็ช่วยบอกงานเพื่อนให้ตามเก็บด้วยนะ”
อาจารย์ประจำคลาสแนะนำฉัน ก่อนจะบอกให้หาที่นั่งเองตามสบาย ด้วยความที่เพิ่งเคยเจอบรรยากาศในห้องเรียนแบบกลิ่นไอผู้ใหญ่แบบนี้ก็รู้สึกเกร็งนิดหน่อย
พอหาที่นั่งได้ก็รู้สึกเหมือนใครสะกิดจากทางขวามือ พอหันไปมองเจอผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารัก ผมสั้นกำลังดี รับกับกรอบหน้ารูปไข่ของเธอได้เป็นอย่างดี
“หวัดดี พูดไทยได้ไหม”
ทำไมเธอทักฉันแบบนั้นนะ ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าฉันมาจากที่ไหน
“สวัสดีค่ะ”
“คนไทยเหรอเนี่ย!”
เหมือนเธอจะตกใจมากที่เห็นฉันพูดไทยฉะฉานแบบนั้น
“เรานึกว่าสาวเกาหลีไรงี้”
ไหงไปทางนั้นได้นะ...
“เราชื่อชล” เธอยื่นมือมาเหมือนขอจับ
“เราชื่อฟางเซียน”
“ชื่อเหมือนคนจีนเลย”
“อืม”
ฉันไม่ได้เล่าต่อว่าตัวเองมีแม่เป็นคนจีนและพ่อเป็นคนไทย
“มหาลัยเราต้องมีพี่รหัสนะ เดี๋ยวจบคลาสนี้เราพาเธอไปหาพี่รหัสเราก่อน เดี๋ยวให้เขาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้”
“...” ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ
ดีจัง มาเรียนวันแรกก็ได้เพื่อนใหม่หนึ่งคนแล้ว
เราใช้เวลาเรียนคลาสแรกจนถึงสิบโมงเช้า ก็เป็นการพักเบรกอิสระประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อเรียนคลาสสุดท้ายของวันนี้ ชลที่เป็นเพื่อนใหม่เธอเลยพาฉันมาหาพี่รหัสของเธอ
“พี่แก้ม”
ผู้หญิงที่ถูกชลเรียกหันมามองก่อนจะทักทายเหมือนสนิทกันมาก
“ยัยแสบมาไงไปไงวันนี้”
ว่าชลสวยแล้ว ผู้หญิงที่ชื่อแก้มก็สวยไม่ต่างกัน แต่ดูมีความเป็นกุลสตรีมากกว่าเพื่อนใหม่ที่ยืนข้าง ๆ ฉันหลายเท่าตัว
“นี่ฟางเซียน เพื่อนใหม่เพิ่งย้ายมาค่ะ”
รีบยกมือไหว้ตามมารยาท
“น่ารักจัง”
“ใช่ม้า!”
“คงไม่ใช่พามาหาพี่เพื่อแนะนำเพื่อนใหม่แค่นี้ใช่ไหม”
ฉันยืนมองชลกับพี่รหัสของเธอคุยกัน พลางเริ่มมองไปรอบบริเวณที่ยืนอยู่ เห็นเหล่านักศึกษาหลายชั้นปีหลากหลายคณะเดินขวักไขว่ไปมา บ้างก็มองมาทางฉันแล้วซุบซิบอะไรกัน บ้างก็เดินมองแบบชนิดที่ลืมมองทางเดินก็มี
“แฮ่ ๆ รู้ทัน คืองี้นะ พี่แก้มพอจะรู้จักใครที่ยังไม่มีน้องรหัสหรือเปล่า ชลจะหาให้ฟางเซียนน่ะ”
เพราะได้ยินอีกคนเหมือนเรียกชื่อตัวเองเลยหันไปมอง
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวพี่ลองสืบ ๆ ให้นะ เข้ากลางคันก็แบบนี้แหละ อาจจะมีหรือไม่มีพี่รหัสจนจบเลยก็ได้” ตอนแรกเธอคุยกับชล แต่ประโยคท้ายหันมาบอกฉันอย่างเป็นมิตร
“แล้วนี่ไม่มีเรียนเหรอ”
“พวกเราพักเบรกค่ะ”
“งั้นไปร้าค้ากันไหม น้องรหัสมาหาทั้งที่ พี่ต้องเทกแคร์หน่อย”
“เย่! ไปกันฟางเซียน”
ข้อมือฉันถูกคว้าจากชล เธอดึงฉันให้เดินตามพี่คนสวยที่ชื่อแก้ม
ตลอดทางฉันเอาแต่เดินก้มหน้าเพราะไม่อยากสบตากับคนรอบข้างที่เอาแต่มองเหมือนฉันเป็นตัวประหลาด
วี้ดวิ้ว~
เสียงผิวปากดังลอยมาแต่ไกล จากนั้นก็ปรากฏกลุ่มผู้ชาย สูงยาวเข่าดี หน้าตาจัดว่าดีแต่ไม่เท่าลูกน้องคุณเพลิงกัลป์ที่ฉันรู้จัก
“พาสาวสวยที่ไหนมาเอ่ย”
ผู้ชายรูปร่างสูงผิวติดคล้ำนิด ๆ กระโดดมาขวางทางพวกเรา
“ถอยไปเลยอันธพาล” ขอกลับคำนิดนึง
ตอนแรกบอกว่าพี่แก้มแกเหมือนกุลสตรี แต่ตอนนี้ฉันว่าไม่ใช่แล้วล่ะ เธอดูห้าวนิด ๆ แต่ไม่ถึงกับดีดกะโหลก
“น้องแก้มก็ตอบพี่เอสมาก่อนสิครับ”
ชลที่จับมือฉันอยู่รีบปล่อยทันทีแล้วเดินไปดึงพี่รหัสเธอถอยห่างคนกลุ่มนั้น
“พวกพี่ช่วยมีมารยาทหน่อยสิคะ”
ฉันไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้เลย
“พี่ไม่มีมารยาทตรงไหน เมื่อกี้ก็ถามพวกเราดี ๆ”
ประโยคน่ะดี แต่การกระทำยอดแย่เลยล่ะ
“โอ๊ะโอ... นั่นใครหนอ พี่เอสสุดหล่อไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”
คนที่เรียกตัวเองว่าเอส เปลี่ยนเป้าหมายมาทางฉันแทน
“นี่! อย่ามายุ่งกับเพื่อนน้องรหัสฉันนะ”
พี่แก้มรีบเข้ามาขวางไว้ แต่เหมือนอีกคนจะไม่ค่อยกลัวเกรง เขาผลักไหล่เธอจนเกือบเซล้ม อันธพาลอย่างที่พี่เขาเรียกตอนแรกเลย
“เป็นไรไหมพี่” ชลรับพี่รหัสเธอไว้ทัน
ทว่าฉันที่มัวแต่เป็นห่วงคนที่ยื่นมือมาช่วยเลยลืมดูแลตัวเอง ข้อมือถูกรั้งให้เซไปข้างหน้าจนใบหน้าชนเข้ากับแผงอกเขา
“ปล่อยนะ!”
การกระทำของเขาทำให้ฉันนึกถึงพวกมาเฟียที่ป้าเหยาขายฉันให้พวกมัน หัวเริ่มมึนตื้อ เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง รู้สึกลมหายใจเริ่มติดขัดจนต้องใช้ปากช่วยหายใจ
“ปะ...ปล่อย” แม้แต่เสียงยังเหมือนมีแค่ลมพ่นออกไปเลย
หมับ!
“มึงเป็นใครวะ โอ๊ย!”
รู้สึกเหมือนถูกใครอีกคนกระชากร่างเข้าไปกอดไว้ ตามมาด้วยเสียงเหมือนคนโดนรุม เพราะมีเสียงร้องเหมือนเจ็บปวดดังขึ้น อยากลืมตาขึ้นมองแต่ยิ่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวายชกต่อยกันฉันยิ่งหายใจไม่ออก
“พอแล้ว!” เสียงคุ้นหูดังขึ้น
ร่างกายรู้สึกถึงการกอดรัดที่แน่นขึ้นแต่กลับรู้สึกอบอุ่น
“ครับนาย”
คำว่า ‘นาย’ จากเสียงที่คุ้นหูเช่นกันทำให้ฉันตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมอง สันกรรมได้รูป ใบหน้าคมเข้มแววตาเย็นชาแบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น
“คะ...คุณเพลิงกัลป์”
เขามาได้ไง?
“กลับกันเถอะ”
ยังไม่ทันได้ตอบตกลง ฉันก็ถูกโอบไหล่ให้เดินตามแรงนำพาของเจ้าของอ้อมกอดนั้นไปเสียแล้ว
ฉันถูกคุณเพลิงกัลป์พาขึ้นรถหรูของเขาขับออกมาจากมหาลัย ไม่รู้ว่าบังเอิญไปหาฉันที่มหา’ลัย แล้วเจอเหตุการณ์นั้นพอดี หรือว่าเขาตั้งใจตามไปตั้งแต่แรก แต่ที่แน่ ๆ คือ ฉันไม่กล้าถามความจริงเขาแน่นอน
“พวกนั้นเป็นใคร”
ความเงียบที่ปกคลุมมานานถูกคนตัวโตผมสีเงินถามขึ้น
“...” ฉันก้มหน้างุด สองมือพันกันไปมาด้วยความกลัวส่วนหนึ่งและไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใครอีกส่วนเลยยังไม่ตอบ
“ผู้ชายพวกนั้น” เขาคงเพิ่งนึกได้ว่าคำถามตัวเองมันดูกว้างไปเลยถามอีกครั้งแบบระบุตัวตน
“หนูไม่รู้ค่ะ แต่พี่แก้มกับชลเรียกพวกเขาว่าอันธพาล”
“ต่อไปฉันคงต้องให้ใครสักคนตามประกบเธอ”
“ไม่ได้นะคะ!”
แย่แล้ว! ทำไมถึงกล้าปฏิเสธเขาเสียงแข็งแบบนั้นนะ
ดูสิ! คุณเพลิงกัลป์คิ้วขมวดแล้ว
“คือ... หนูไม่อยากให้คนอื่นมองหนูแบบเป็นลูกมาเฟียอะไรพวกนั้นค่ะ” ถ้าเขาให้คนตามประกบฉันจริงขอเลือกนอนอยู่บ้านไม่ต้องออก ไปเรียนดีกว่า
“อึดอัด?”
“...” ข้อนี้ถามตรง ฉันเลยพยักหน้าเบา ๆ แต่ยังไม่กล้าสบตาเขา
“นายจะกลับเพนต์เฮาส์เลยไหมครับ” เสียงคุณเทชิถามขึ้น
“ไปห้าง” แต่คำตอบผู้เป็นนายทำฉันขมวดคิ้วเป็นหนที่เท่าไหร่ไม่รู้
“ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอ แต่หลังจากนี้เราต้องมีกฎที่ต้องตกลงกัน”
กฎเหรอ? คงไม่มีอะไรยากหรอกมั้ง
อย่างฉันจะทำอะไรได้นอกจากตอบตกลง “ค่ะ”
เอาจริง ๆ มาอยู่ที่นี่ได้ห้าเดือน ฉันนับจำนวนครั้งที่ออกมาเดินห้างแบบนี้ได้เลย นี่เป็นครั้งที่สามในรอบห้าเดือนที่ฉันได้ออกมาเปิดหูเปิดตา
“เอาเครื่องที่แพงที่สุด”
สงสัยไหมว่าเขากำลังทำอะไร
คุณเพลิงกัลป์พาฉันมาร้านโทรศัพท์มือถือ เขาสั่งพนักงานให้หยิบเครื่องที่แพงที่สุดมาให้ฉันเลือก
“ชอบเครื่องไหน”
ฉันเล่นไม่เป็น ไม่รู้ว่าเครื่องไหนดีกว่ากัน เลยจิ้มมั่ว ๆ
“สีม่วง เขาบอกสีของคนอกหัก”
เขาพูดพร้อมกับเปลี่ยนเครื่องเป็นสีขาวแทน
“เอาสีนี้เหมาะกับเธอดี” เขากำลังจะสื่อว่าสีขาวบริสุทธิ์หรือเปล่า
“ค่ะ”
ก็ไม่น่าให้เลือกแต่แรกก็จบไหม?
“เฮียเพลิง!”
เสียงนี้ค่อนข้างคุ้น พอหันตามทิศทางที่คุณเพลิงกัลป์มองก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยเฉี่ยว แต่งตัวเปรี้ยวจัด ต่างจากตอนที่เจอกันที่โรงพยาบาลอย่างสิ้นเชิง
“วันนี้ไม่ทำงาน”
เขาถามน้องสาวเขาหรือก็คือหมอลิลณาที่เคยรักษาฉัน
“หยุดยาววววว” เธอลากเสียงก่อนจะสะดุดตอนที่สบตาฉันพอดี
“อ้าว วันนี้ไปเรียนวันแรกไม่ใช่เหรอ”
หมอลิลณาถามขึ้น เธอมองฉันสลับพี่ชายเธอแถมยังเห็นมุมปากที่แย้มขึ้นนิด ๆ เหมือนคิดอะไรอยู่
“เลิกแล้ว” คนที่ตอบก็เป็นคนที่ยืนข้างฉันนี่แหละ
“แล้วนี่มาทำไรกันอะ เดตเหรอ?”
“ยัยแสบ!”
“อุ๊ย! ปากไวไปหน่อย” เธอยกมือปิดปาก ท่าทางแบบนี้เหมือนแกล้งพี่ชายเธอมากกว่าพูดจริง แต่ดูอีกคนจะไม่ค่อยมีอารมณ์ขันใด ๆ กับเขาเลยนะ
“ชื่อฟางเซียนใช่ไหม”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้า ทว่ายังไม่กล้าสู้สายตาที่มองมาแบบแปลก ๆ ของหมอลิลณา
“นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวเป็นเพื่อนเจ้หน่อยสิ” มือบางเรียวจับเข้าที่ข้อมือฉันเบา ๆ พร้อมดึงให้เดินตาม
หมับ!
มืออีกข้างก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือหนาของคนที่มองตาขวางใส่น้องสาวเขาเช่นกัน
“ไม่มีมารยาท ฉันยังทำธุระไม่เสร็จ” เสียงคุณเพลิงกัลป์ออกไปทางดุอีกคน แต่เหมือนหมอลิลณาจะไม่สะทกสะท้านทั้งสายตาเย็นชาและน้ำเสียงดุ ๆ นั่นของพี่ชายเธอเลยสักนิด
“ฟางเซียนไม่มีเงินจ่ายของพวกนั้นหรอก เฮียจัดการเสร็จค่อยตามพวกเรามาแล้วกัน”
“อ๊ะ!” ร่างฉันเกือบจะลอยตามแรงกระชากของเธอ แต่ไม่ใช่กระชากให้เจ็บตัวอะไรนะ เธอแค่ดึงฉันให้เดินตามปกติ ผิดที่ฉันมัวแต่เหม่อจนเดินตามไม่ทันเอง
“ตกลงนี่คบกันเหรอ?”
“คะ?” ไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้นจนคิ้วขมวดยุ่น
“ไม่มีอะไรหรอก”
หรือว่าเมื่อกี้ฉันจะหูแว่วไปเอง?
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
เราสองคนหยุดยืนอยู่ใจกลางโซนร้านอาหารที่มีให้เลือกหลาก หลายร้านหลากหลายสไตล์
“นั่นเป็นไง” หมอลิลณาชี้ไปยังร้านที่เป็นป้ายชื่อภาษาจีน
ฉันรีบขืนแรงไว้เพราะไม่อยากนึกถึงตัวตนของตัวเอง
“หนูว่ารอคุณเพลิงกัลป์ก่อนดีไหมคะ”
ยื้อเวลาไว้ก่อนฟางเซียน ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่จะอยู่กับหมอลิลณาคนสวย แต่ฉันแค่รู้สึกว่าเธอมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาไม่ดี แต่เธอกำลังมีลับลมคมนัยอะไรสักอย่างแน่ ๆ
“ห่างกันไม่ได้เลยนะ”
กำลังจะปฏิเสธสิ่งที่เธอว่า แต่อีกคนก็ขำพรืดออกมาทำลายบรรยากาศอึดอัดของฉัน
“ล้อเล่น”
“...”
“เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยใช่ไหม ฉันชื่อลิลณา เป็นน้องสาวเฮียเพลิง ต่อไปเรียกเจ้ลิลลี่แล้วกันนะ น้องฟางเซียน” รอยยิ้มหวานของเธอยิ่งขับให้ใบหน้าที่สวยเฉี่ยวอยู่แล้วสวยยิ่งกว่าเก่า
“สำหรับตระกูลวิสุทธิ์กมลเทพ ถ้านับญาติกับใครแล้วแปลว่าคนนั้นคือครอบครัวของพวกเราคนหนึ่ง”
ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะสื่ออะไร แต่ที่จับสัมผัสได้คือ คนตรงหน้าไม่ได้คิดร้ายอะไรกับฉัน
“ไม่รู้ใครห่างใครไม่ได้กันแน่”
สักพักเธอก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมมองไปทางด้านหลังฉัน อดใจไม่ได้เลยมองตามสายตาของเจ้ลิลลี่ เห็นผู้ชายที่ออร่าโดดเด่นกว่าคนไหน ๆ ที่เดินสวนไปมากับเขากำลังย่างสามขุมมาทางนี้ น้องสาวก็สวย พี่ชายก็หล่อ อิจฉาคนบ้านนี้จริง ๆ
“เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านัดเพื่อนไว้ ลิลลี่ไปก่อนนะคะ”
เอ้า! เมื่อกี้ไม่เห็นจะมีวี่แววแบบนี้เลยนี่ พอพี่ชายเธอมา ตัวเองก็ชิ่งซะงั้น
“คุยอะไรกัน” เจ้ลิลลี่ทิ้งฉันไว้กับพี่ชายเขาตามเดิม
ส่วนคนตัวสูงก็ไม่ได้สนใจน้องสาวตัวเองสักนิด หันมาคาดคั้นเหมือนฉันกับน้องสาวเขามีความลับอะไรกันงั้นแหละ
“เปล่าค่ะ เจ้ลิลลี่ให้หนูเลือกร้านอาหาร แต่ว่าตอนนี้...”
‘คนลากฉันมาหนีไปเรียบร้อยแล้ว’ ต่อประโยคในใจเงียบ ๆ
“ยัยแสบให้เรียกแบบนั้น?”
“คะ? อ้อ ใช่ค่ะ” เขาคงหมายถึงที่ฉันเรียกน้องสาวเขาว่าเจ้ลิลลี่
“ถ้าไม่อยากกินอะไรก็กลับบ้านกัน”
ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีดำแทบจะเป็นสีโปรดของเขาเดินนำออกไปแล้ว ฉันจำต้องรีบก้าวขาสั้น ๆ ให้ก้าวยาว ๆ จะได้ตามเขาทัน ทุกพื้นที่ ๆ เดินผ่าน สาวน้อยสาวใหญ่มองคุณเพลิงกัลป์ตาเป็นมันเชียว บางคนถึงกับแอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ก็มี
เฮ้อ! ฮอตจริง ๆ ผู้มีพระคุณของฉัน
ตอนนี้ฉันกำลังถูกขนาบข้างด้วยบอดี้การ์ดของคุณเพลิงกัลป์ทั้งสองคน ส่วนด้านหน้ายังมีผู้ชายแสนเย็นชานั่งเฝ้าอีกต่างหาก
“อะ สมัครให้ครบทุกอย่างแล้ว”
เฮียเทพยื่นโทรศัพท์ที่คุณเพลิงกัลป์เพิ่งซื้อให้หมาด ๆ คืนฉัน
“ส่วนนี่ รหัสพร้อมพาสเวิร์ดสำหรับเข้าใช้งานแอปต่าง ๆ”
คุณเทชิเองก็ยื่นสมุดโน้ตขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ฉันเช่นกัน
“ฝึกเล่นให้ชิน” คุณเพลิงกัลป์สั่ง
“จะพยายามค่ะ” ฉันตอบอย่างเรียบง่าย
นั่งดูเฮียเทพเล่นเมื่อกี้ก็ไม่เห็นจะยากอะไร
“เฮียครับ ได้เวลาแล้ว”
ฉันเหลือบมองดูเวลาที่ผนังห้อง บ่งบอกว่าเที่ยงตรงพอดี
เมื่อเช้าเขามีนัดนี่นะ...
“พวกมึงออกไปก่อน”
สิ้นคำสั่งทั้งสองคนก็ออกไปจากห้องนี้ทันที ส่วนห้องที่ว่าก็ไม่ใช่ห้องไหน เป็นห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่างนี่แหละ
Rrrr...
เสียงริงโทนที่เฮียเทพเพิ่งตั้งให้ฉันหมาด ๆ ดังขึ้นจากโทรศัพท์เครื่องที่ถืออยู่ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าใครโทร.มา เพราะเครื่องเพิ่งเปิดใช้บริการ และในวินาทีต่อมาฉันก็กระจ่างแจ้งว่าเบอร์ที่ว่านี้คือเบอร์ใคร
“รับสิ นั่นเบอร์ฉันเอง”
เบอร์เขา?
แล้วทำไมต้องให้ฉันรับสายด้วย บอกแค่นี้ก็รู้แล้ว
“รับ” เสียงทุ้มดังขึ้นอีกรอบ
รีบลนลานสไลด์หน้าจอที่ปุ่มสีเขียวทันที
“ค่ะ” กรอกเสียงลงไปพร้อมสบตาเขาอย่างงง ๆ
“ต่อไปถ้าฉันโทร.หา ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้า เธอก็ต้องรับสายห้ามปฏิเสธเด็ดขาด!”
ดะ...เดี๋ยวนะ! แบบนี้ก็ได้เหรอ?
ยืนอยู่ด้วยกันเขายังจะต้องโทร.หาฉันทำไมอีก
“ค่ะ” แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ ไม่ว่าคำสั่งเขาจะแปลกพิสดารแค่ไหนฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากน้อมรับคำสั่งพวกนั้น
“บันทึกไว้ด้วย” เขาวางสายไปแล้ว
ฉันกำลังจะกดบันทึกเบอร์ ลำคอเนียนโล่งก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ กระทบจนชวนขนลุก
“พิมพ์ตามที่ฉันบอก”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ลมหายใจฉันหยุดเฮือกไปชั่ววินาที ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจอีกครั้งแต่ยังไม่ปกติเท่าไรเมื่อใบหน้าคมเข้มที่แทรกมาจากทางด้านหลังอยู่ห่างแก้มเนียนฉันไปไม่กี่เซนฯ
ทะ...ทำไมต้องมายืนซ้อนด้านหลังแบบนี้ด้วย
“สระเอ” เสียงทุ้มเอ่ยช้า ๆ ในท่าเดิม
ฉันพยายามคุมมือไม่ให้สั่นทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงคือฉันสั่นไปทั้งตัวแล้ว ไม่ใช่ความสั่นกลัว แต่มันสั่นวูบวาบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ฮ.นกฮูก”
ทำไมไม่บอกเป็นชื่อมาเลยจะให้พิมพ์ว่าอะไร มาบอกทีละคำแบบนี้ ลมที่ออกจากปากเขาก็ยิ่งกระทบผิวแก้มฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก
“สระอี”
ตุ้บ!
เห็นไหม มือฉันสั่นจนทำโทรศัพท์หลุดมือไปแล้ว
“หึ!”
ได้ยินเสียงขำเบา ๆ ดังลอดออกมา จากนั้นร่างกายฉันก็แข็งทื่อราวถูกสาป เมื่อมือแกร่งเอื้อมเหมือนโอบกอดฉันข้างหนึ่งเพื่อมาคว้ามือถือไปถือไว้
จากที่ตอนแรกมาแค่มือข้างเดียว แต่นาทีนี้เขาใช้มืออีกข้างเอื้อมโอบมาด้านหน้า กลายเป็นร่างบางของฉันอยู่กึ่งกลางแขนทั้งสองข้างของเขา ใบหน้าเขายังคงวางตำแหน่งเดิมจนบางครั้งแอบเสียดสีแก้มฉันเบา ๆ แล้วก็ขยับออกห่างเล็กน้อย
ไม่ดี ๆ ตอนนี้ร่างกายฉันวูบวาบ หายใจไม่ทั่วท้องไปหมดแล้ว
“พูดตามสิ”
นึกว่าจะจบแล้ว แต่คนตัวโตที่ไม่รู้กำลังเล่นอะไรอยู่ออกคำสั่งให้ฉันอ่านตามสิ่งที่เขาพิมพ์
“ยะ...ย.ยักษ์”
นี่เขากำลังจะสอนพยัญชนะไทยให้อยู่หรือเปล่าเนี่ย
“สระเอ” เสียงฉัน
“อืม” ทำไมต้องครางตอบด้วย
ฉันถูกสอนเขียน สอนอ่านภาษาไทยมาตั้งแต่จำความได้จากแม่แท้ ๆ อยู่แล้ว ทำให้พื้นฐานแน่น ไม่ต้องมาหลอกวัดไอคิวฉันก็ได้ค่ะ
“พูดต่อสิ”
พอฉันเงียบเพราะรู้สึกสติสตังไม่ค่อยอยู่กับตัว คนด้านหลังก็ใช้ไหล่หนาเขาสะกิดไหล่บางฉันที่เหมือนถูกโอบกอดอยู่ให้อ่านพยัญชนะตัวต่อไป
“พ.พาน”
ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ก็ไม่รู้
“ล.ลิง”
“...”
“สระอิ”
“...”
“งะ...ง.งู”
เพียงแค่ฉันอ่านตัวสุดท้าย (คิดว่านะ) จบ คนตัวโตก็กดปุ่มบันทึกทันที
“ลองอ่านทวนเป็นคำให้ฟังหน่อยสิ”
นี่เขากำลังจะวัดความรู้ฉันจริง ๆ ใช่ไหม
“ไม่อ่าน? งั้นเดี๋ยวฉันอ่านให้ฟัง”
“...” ฉันได้แต่กลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอ หายใจยังต้องค่อย ๆ และเบาที่สุดเพราะกลัวใบหน้าจะเฉียดถูกัน
“เฮียเพลิง” เสียงเขา
“ถ้าเบอร์นี้โชว์ที่เครื่องเธอเมื่อไร ต้องรับสายทันที ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม นี่คือกฎข้อแรกของฉัน”
ให้ตายสิ!
เขาบันทึกเบอร์ตัวเองว่า ‘เฮียเพลิง’ ไม่พอ ยังบังคับให้ฉันอ่านให้เขาฟัง พอฉันไม่อ่านคนเอาแต่ใจกลับออกเสียงอ่านเอง แถมยังตั้งกฎประหลาด ๆ นั้นไว้อีก
“ไหน ลองมาทวนคำพูดฉันเมื่อกี้ดูสิ”
“คะ!?” นึกว่าจะรอดแล้วแท้ ๆ แต่เหมือนผู้มีพระคุณฉันจะไม่ยอมจบง่าย ๆ
“เอาสิ ฉันอยากฟังจากปากเธอ”
ฮือ ๆ วันนี้ฉันคงไม่ได้ไปเหยียบขาหรือทำอะไรให้เขาโกรธใช่หรือเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่ากำลังโดนแกล้งอยู่ก็ไม่รู้
“ฮะ...เฮีย เพลิง” แม้แต่ออกเสียงยังสั่นเครือเลย หายใจก็ติด ๆ ขัด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนอีกคนจะโถมน้ำหนักตัวลงมาพิงฉันมากเกินไปจนต้องขืนร่างกายให้ดูมั่นคงแข็งแรงรับน้ำหนักเขา
“ถ้าเบอร์นี้โทร.มา หนูต้องรับสาย ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”
ฉันทวนสิ่งที่เขาพูดตอนแรกในแบบที่ตัวเองเข้าใจ และดูเหมือนอีกคนจะพอใจแล้วเลยปล่อยฉันให้เป็นอิสระ เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมก่อนออกคำสั่งต่อมา
“กฎข้อที่สอง”
แค่กฎข้อแรกหัวใจฟางเซียนก็จะวายอยู่แล้ว หวังว่าข้อสองของเขาคงไม่ยากนะ
“ห้ามคบเพื่อนผู้ชายที่มหาลัย”
“แล้วถ้ามีงานกลุ่มล่ะคะ?” แบบนี้มันกดสิทธิส่วนบุคคลเกินไปนะ
“ฉันหมายถึงคบเป็นแฟน”
อ๋อ นึกว่าหมายถึงคบพูดคุยเป็นเพื่อนอะไรพวกนั้น
“หนูไม่คิดเรื่องพวกนั้นตอนนี้หรอกค่ะ คุณเพลิงกัลป์ไว้ใจได้”
ฉันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ แถมรอยยิ้มสวยให้อีกหนึ่งรอยเลย
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะพร้อม”
“คะ?” ทำไมวันนี้เขาดูแปลก ๆ
“ช่างเถอะ ทำให้ได้อย่างที่รับปากแล้วกัน”
ฉันพยักหน้าสบตาเขาอย่างไม่ละไปไหนเพื่อแสดงความจริงใจว่าฉันจะไม่ผิดคำพูดตัวเองแน่นอน
“ข้อสาม”
ยังมีต่ออีกเหรอเนี่ย!
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่เธอต้องนึกถึงคนแรกคือฉัน”
ข้อนี้เขาไม่บอกฉันก็ทำอยู่แล้ว ในเมื่อที่นี่ฉันมีเขาแค่คนเดียวที่พึ่งพิงได้
“ค่ะ คุณเพลิงกัลป์จะเป็นคนแรกที่หนูคิดถึง”
ฉันว่าวันนี้เริ่มจะรู้จักคำว่ารอยยิ้มขึ้นเยอะเลยละ เมื่อกี้มุมปากฉันยกสูงขึ้นทั้งสองข้างแถมยังกว้างกว่าปกติด้วย
“ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ถ้าหิวก็เรียกแม่บ้านแล้วกัน”
สั่งฉันเสร็จ ตัวเขาเองก็เป็นฝ่ายเดินออกไปจากตรงนี้แทน ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างจนลับสายตา ก่อนที่อกข้างซ้ายจะเต้นผิดแปลกไป