ตอนที่ 2 วิหคเพลิงสร้างเรื่อง

1363 Words
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้น ทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือ หลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนาง ด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็มีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น เซียนผู้ดูแลสวรรค์เดินมาหานางด้วยท่าทีขึงขังพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เสียงตวาดแข็งกร้าวถามหยางซือซือที่กำลังตกใจไม่ได้สติ “หยางซือซือ!” เซียวอวี้เทียนเรียกนางแล้วหันไปพูดกับคนที่เหลือว่า “พวกท่านฟังข้าอธิบายก่อน” แต่เซียนผู้ดูแลยกมือขึ้นมาห้ามไม่ให้เขาพูดแทนนาง “เทพสงครามเซียวอวี้เทียน ท่านไม่ใช่ผู้ดูแลตำหนักแห่งนี้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องอธิบาย เวลานี้ทางตำหนักใหญ่ของสวรรค์กำลังวุ่นวาย เทพเซียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้เรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” เขาหันไปหาหยางซือซือที่ทำหน้าเศร้าสร้อย “ส่วนเจ้า ตามข้ามา” แล้วทุกคนก็หายตัวกลับไปที่ตำหนักใหญ่พร้อมกัน ห้องโถงโอ่อ่าเต็มไปด้วยเทพเซียนที่มารออยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ต้องลงไปเผชิญด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แต่กลับต้องขึ้นสวรรค์ก่อนเวลาอันควรเพราะเปลวไฟจากโคมดวงจิตดับมอดกระทันหัน โคมดวงจิตนั้นเป็นที่ฝากฝังจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของพวกเขาก่อนที่จะลงไปโลกมนุษย์ เดิมทีควรจะกลับมาหลอมรวมกันเมื่อวิญญาณส่วนที่เหลือได้กลับมาในที่ทางของตนเอง เสียงอื้ออึงและสายตาที่มองมาที่หยางซือซือมีทั้งสับสน ไม่เข้าใจ กล่าวโทษนาง อาจจะเพราะกำลังจะผ่านด่านเคราะห์แล้วแต่โดนขัดจังหวะไปเสียก่อน นางได้แต่ก้มหน้าลงสำนึกผิด ไม่ได้คิดจะโทษวิหคเพลิงแต่อย่างใด สามพันปีที่นางดูแลตำหนักแห่งนี้ แม้จะมีเตร็ดเตร่ออกไปเที่ยวนอกตำหนักบ้างแต่ก็ร่ายเวทเพื่อป้องกันตำหนักเพิ่มทุกครั้ง นี่คงจะเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ใครกันเล่าจะคิดว่าวิหคเพลิงจะมาบินวนเวียนอยู่แถวนี้ เซียวอวี้เทียนเดินตามเข้ามามองไปรอบ ๆ เขาเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่ง พลันรู้ทันทีว่านางจะต้องมีส่วนรู้เห็นไม่มากก็น้อย หากแต่ไม่เข้าใจว่านางจะทำไปเพราะเหตุใด “พวกท่านทั้งหลาย เงียบก่อน ๆ” เทียนจวินตรัสให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ก่อนจะเริ่มสอบถามความเป็นไปกับหยางซือซือที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าพระแท่น “ถวายพระพร เทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพเขา นางเพิ่งจะเคยพบหน้าเขาเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่เงียบขรึมของเขาทำให้นางอ่านสีหน้าไม่ถูก “เซียนน้อย เจ้าเป็นผู้ดูแลตำหนักใช่หรือไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น” น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้นางพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง “คือว่า วิหคเพลิงตัวหนึ่งบินทะลุเข้ามาในม่านเขตแดนของตำหนัก ข้าพยายามหยุดมันแล้ว แต่ข้าสู้พละกำลังของมันไม่ได้ ดังนั้นเปลวไฟของโคมดวงจิตจึงดับมอดลงเพคะ” หยางซือซืออธิบายแก่ทุกคนตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ หลังจากที่หยางซือซือพูดถึงวิหคเพลิง เทพเซียนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็ซุบซิบความน่าจะเป็นราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าสถานที่ไกลผู้คนและมีเสี้ยวดวงจิตของเทพเซียนพำนักอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นสัตว์พาหนะแล้วด้วย ไม่มีทางเข้าเขตแดนรอบนอกก่อนถึงตำหนักได้แน่ “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ สัตว์พาหนะไม่มีทางเข้าไปที่เขตแดนบริเวณรอบ ๆ ได้อยู่แล้ว เจ้ากำลังแก้ตัวหนีความผิดใช่หรือไม่ เซียนน้อย” เซียนอาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาหันไปมองหน้าเทียนจวิน แล้วพูดต่อว่า “ขอเทียนจวินสืบเรื่องราวให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “นางพูดความจริง พ่ะย่ะค่ะ วิหคเพลิงตัวนั้นข้าจับมัดไว้ที่ด้านนอกตำหนัก หากพระองค์ต้องการหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของนาง” เซียวอวี้เทียนโพล่งขึ้นท่ามกลางที่ชุมนุม คำพูดของเทพสงครามเป็นที่น่าเชื่อถือแต่ก็น่ากังขาว่าทำไมเขาถึงได้อยู่ในที่แห่งนั้น แม้กระทั่งเทียน จวินเองยังสงสัย เพื่อไม่ให้ทุกคนหลุดประเด็นไปมากกว่านี้ เทพเซียนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์จึงก้าวเข้ามาที่กลางห้องโถงใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน “องค์เทียนจวิน เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีผู้ที่ถูกลงโทษ” ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าการผ่านด่านเคราะห์เป็นภารกิจสำคัญของเทพเซียนในการเลื่อนขั้นบนสวรรค์ มีผลต่อการบำเพ็ญตบะของตนเอง การทำหน้าที่ไม่สำเร็จนั้นนอกจากจะทำให้พวกเขาต้องเริ่มต้นใหม่แล้วยังต้องลำบากลบความทรงจำของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับชะตาลิขิตด้วย “เทียนจวิน ข้ายอมรับโทษครั้งนี้ เป็นข้าเองที่ประมาทจนทำให้เกิดเรื่องร้ายแรง” หยางซือซือยอมรับผิด นางทำให้ทุกคนต้องลำบากเพราะนางไม่ได้ ไม่ว่าบทลงโทษเป็นอะไร นางก็จะก้มหน้าทำตามแต่โดยดี “ในเมื่อเจ้ายอมรับผิด ขอเทียนจวินได้โปรดให้นางได้ลงไปผ่านด่านเคราะห์ที่โลกมนุษย์ด้วยเถิด เผื่อนางจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าหน้าที่ของนางสำคัญเพียงใด” เทพอาวุโสองค์หนึ่งกล่าวขึ้น “แต่จะให้ดีกว่านี้ หากนางเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น” เสียงแหลมเล็กดังมาจากข้าง ๆ เทียนจวิน นางคือซ่งอี้ อัคคีเทพ ผู้เป็นธิดาเพียงองค์เดียวของเขา รอยยิ้มที่เซียวอวี้เทียนเห็นเมื่อตอนที่เขาเดินเข้าห้องโถงมาได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับรอจังหวะเหมาะสม “ตบะเซียนเก้าขั้น นั่นจะไม่มากไปหรือ” เซียนอาวุโสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวอวี้เทียนคัดค้าน เขารู้สึกว่าบทลงโทษนี้มากเกินความผิดที่นางก่อไว้เสียอีก ราวกับจะไม่ยุติธรรมต่อนางเลยจริง ๆ “หากให้ซือมิ่งช่วยวาดโชคชะตาเล่า จะเป็นอย่างไร ลงไปอยู่ในยุทธภพ สำนักเซียนสักแห่ง ตลอดชีวิตของนางก็น่าจะบำเพ็ญตบะเซียนได้ครบเก้าขั้นพอดี ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวลแม้แต่น้อย” ซ่งอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนพูดต่อว่า “หากนางมีพลังเซียนเพิ่มขึ้น ก็น่าจะดีกับพวกท่านไม่ใช่หรือ นางจะได้ปกป้องโคมดวงจิต ไม่มีเรื่องให้พวกท่านวุ่นวายใจยามที่ต้องเผชิญด่านเคราะห์อย่างไรเล่า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD