คนร่างสูงยิ้มแล้วดึงแขนเสื้อฉันให้เดินฉับๆ ออกจากทางเดินแคบๆ จนกระทั่งถึงลานคณะกว้างๆ โล่งๆ ที่มีม้าหินอ่อนให้นั่งเล่นประปราย คนร่างสูงหันมามองหน้าฉันก่อนจะกวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเริ่มปั่นประสาทฉันขึ้นมาอีก
“ที่บ้านนี่ขาดแคลนผ้าเหรอ ทำไมกระโปรงสั้นจัง?” เขาเอ่ยแล้วก็จ้องแบบโคตรจะไม่เกรงใจในทรงเอเหนือเข่าขึ้นมานิดนึงของฉัน คือฉันจะใส่อะไรมันก็เรื่องของฉันปะวะ
“แล้วที่บ้านไม่ได้สอนเหรอว่าเสือกเรื่องชาวบ้านมากๆ จะตายไม่ดี” ฉันว่าพลางจ้องตาเขาถลึง คนร่างสูงชะงักไปนิดนึงแล้วกลับมาลอยหน้าลอยตาเหมือนเดิม
ยังจะไม่สำนึกอีก! เบ้าหน้าทำด้วยอะไรอ่ะ เหล็กไหลเหรอ? ด้านเหลือเกิน!
“แล้วเธอเสือกน่ารักเองทำไมอ่ะ ถ้าเธอไม่น่ารักอ่ะ เราก็ไม่เสียเวลามาเสือกเรื่องเธอหรอก”
เขาพูดด้วยท่าทางจริงจังจนฉันสับสนว่าพูดจริงหรือเอาตลก คนร่างสูงทอดสายตาไปทางอื่นทิ้งให้ฉันงงกับรูปประโยคเมื่อตะกี้อยู่นานสองนาน
คือไง ตกลงนี่… ฉันผิดเหรอวะ! จะด่าหรือจะชมเลือกสักอย่างได้มั้ย ฉันไปไม่ถูกแล้วนะ
เพราะฉันยืนสตั๊นไปกับคำพูดของเขา คิดยังไงก็ไม่เข้าใจพฤติกรรมคนร่างสูง ไอ้คนที่พูดประโยคงงๆ เมื่อกี้ก็เริ่มขึ้นอีกเพื่อย้ำชัดให้ฉันมั่นใจว่าเขามาตามติดฉันทำไมกันแน่
“เอ้า งงอีก ไม่เคยมีคนชมอ่ะดิ” เขาพยายามจะบอกว่าเขาชมฉันแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกโดนกวนตีนอยู่ตลอดเวลา
“ถ้าเราขอโทษเรื่องเสื้ออ่ะ จะเลิกกวนตีนปะ?” ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดและคำพูดไร้สาระของเขาออก ฟังแล้วก็งงทุกทีว่ามันชมรึด่า
“เฮ้ย ไม่ต้องขอโทษหรอก” เขาทำหน้าตกใจก่อนจะเบรกฉันด้วยท่าทีซีเรียสจนฉันเริ่มจะคิดว่าบางทีหมอนี่อาจจะไม่ได้มากวนตีนฉันจริงๆ ก็ได้ แต่คิดได้อยู่ไม่กี่วิ อีตานี่ก็ทำลายมันลงทันที “ทำตัวดูเป็นคนมีจิตสำนึกนี่ไม่เหมาะกับเธอเลยอ่ะ เห็นแล้วคงขนลุก”
เฮ้ย พูดแบบนี้นี่ตบมั้ย! ฉันกัดฟันกรอดแต่ข่มอารมณ์โกรธไว้ ไม่ให้เขารู้ว่าเขายั่วประสาทฉันสำเร็จ คิดว่าเขาทำได้คนเดียวหรือไง ระวังไว้เหอะ ถึงทีฉันเมื่อไหร่เขาร้องไห้สามวันเจ็ดวันแน่!
“เออ แล้วเราจะกินอะไรกันดีอ่ะ” เขาเปลี่ยนเรื่องพลางเนียนเดินมายืนข้างฉัน ด้วยความที่เขาสูงกว่าเป็นสิบเซนติเมตรทำให้ฉันต้องเงยหน้านิดๆ เวลาคุยด้วย
“แล้วเจกินอาหารคนเป็นมั้ยอ่ะ ปกตินี่กินอะไร เพ็ดดีกรีปะ?” ฉันว่าแล้วแอบหัวเราะในใจที่ได้แซะกลับ คนร่างสูงปรายหางตามามองฉันนิ่งๆ ก่อนจะเบ้ยิ้มเล็กน้อย
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัวเองดิ ไม่น่ารักเลยว่ะ” เขาย้อนทำให้ฉันหุบยิ้มลงทันที ฉันว่าถ้าฉันยืนคุยกับเขานานกว่านี้คงมีสงครามโลกครั้งที่สามแน่
“เฮ้ย ไม่ต้องอายหรอกเรื่องแบบนี้ เราเข้าใจ” ฉันว่าแล้วทำหน้าสตรองเหมือนจะบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่าฉันไม่แพ้เขาง่ายๆ หรอกย่ะ!
“เถียงกันพอยัง ตกลงจะกินอะไร?” เขาวกกลับเข้าเรื่องเดิม ทำให้ฉันรู้สึกพราวอยู่หน่อยๆ เถียงสู้ไม่ได้ล่ะสิ ถึงได้เปลี่ยนเรื่อง เฮอะ ฉันระดับไหน เขาระดับไหน รู้บ้าง!
ฉันยิ้มก่อนจะถอนลมหายใจเพราะฉันไม่ได้อยากจะไปนั่งชิลๆ กินข้าวอะไรกับเขาปะวะ ดูหน้าตาไม่น่าไว้วางใจอีกต่างหาก
“ไม่กินอ่ะ ไม่หิว เชิญเจกินไปเหอะ เราจะกลับหอละ”
“ชวนกินข้าวแค่นี้เล่นตัวจังวะ คิดว่าสวยนักเหรอ?” เขาเบะปากเมื่อฉันปฏิเสธก่อนที่ฉันจะไหวไหล่ ทำหน้าใสๆ แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงสูงบวกความมั่นหน้าระดับสิบ
“แน่น๊อนนนนนน”
“ให้คิดอีกที มันคงไม่มีใครหลงผิดมาจีบเธอบ่อยๆ หรอก” เขาว่าหน้าตาจริงจังทำให้ฉันสตั๊นไปอีกรอบ คือยังไง นี่เขามาจีบฉันเหรอ? เอาจริงๆ หมอนั่นก็พูดตรงๆ ตั้งแต่แรกอะนะ แต่กิริยาท่าทางพฤติกรรม คำพูดคำจานี่ไม่ชวนให้ฉันคิดอย่างนั้นเลยอ่ะ คิดยังไงก็ไม่อ่ะ
คนที่ไหนเขาจีบกันด้วยการบอกว่าคิ้วเหมือนชินจัง ที่บ้านขาดแคลนเสื้อผ้า หรือด่าว่าหน้าตาอุบาทบ้างวะ ถ้าไม่ปากหมามากๆ ก็อารมณ์เด็กประถมเรียกร้องความสนใจจากคนที่ชอบอ่ะ
“เจ มันไม่ตลก” ฉันทำหน้ารู้ทันว่าเขาแค่อยากจะกวนประสาท
“ไม่ได้ตลกนะ นี่ก็จริงจังตลอด เธอคิดมากไปเองปะเนี่ย” เขามองหน้าฉันแบบเซ็งๆ ประหนึ่งว่าฉันนี่คิดอะไรไร้สาระ เป็นตุเป็นตะ “ไปกินข้าวกัน ไม่อยากกินคนเดียว เราเบื่อ”
“…” ฉันนิ่งก่อนจะลังเลอยู่ในหัว คือถ้าฉันไม่ไปเขาก็คงจะเร้าหรือ วอแว วุ่นวายไม่เลิกแน่ๆ แต่ฉันก็ไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมฉันต้องเสียสละเวลาไปนั่งกินข้าวกับเขาอ่ะ เหมือนเขาจะรู้ทันว่าฉันคิดอะไรอยู่เลยยกนิ้วชี้ชี้เข้าที่หน้าฉันด้วยท่าทีนิ่งๆ
“เฮ้ย เตือนไว้ก่อนเลยนะ ถ้าคิดจะปล่อยเบลอเราอ่ะ เธอเสียใจแน่” เขาพูดเสียงเคร่งขรึมดูมีพลังทำให้ฉันแอบหวั่นๆ นิดหน่อย ทำไม ถ้าฉันไม่ให้เขาจีบ เขาจะมาทำอะไรฉันหรือไง ฉันมองกลับอย่างหาเรื่องก่อนที่คนร่างสูงจะทำให้ฉันสับสนหนักเข้าไปอีก…
“เราว่านอกจากเรา ก็ไม่น่ามีใครเอาเธอแล้วล่ะ”