“พี่ม่อนคะ หนูถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ”
ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินข้าวปาร์ตี้ร่วมกันอยู่นั้น มิรินก็เอ่ยถามไดม่อนขึ้น
“ถามอะไรหรอน้องริน”
ไดม่อนที่กำลังคุยกับโรสอยู่ก็ต้องหันไปมองมิรินพร้อมกับเอ่ยถามเธอกลับทันที
“ที่มหาลัยพี่ม่อนไม่มีเพื่อนสนิทเลยหรอคะ”
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่มีเพื่อนสนิทล่ะ”
ไดม่อนเอ่ยถามมิรินกลับด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำถามของน้องสาว
“ก็ภาพงานแต่งของพี่คินกับพี่มินเหมือนจะมีเพื่อนสนิทมาถ่ายรูปด้วย แต่งานแต่งของพี่ม่อนหนูไม่เห็นมีเพื่อนมาถ่ายรูปด้วยเลยค่ะ”
มิรินตอบไดม่อนไปตามตรง เพราะรูปงานแต่งของพี่ชายทั้งสามของเธอที่พวกเขาส่งมาให้เธอดูนั้นของอคินและรามินจะมีเพื่อนมาถ่ายรูปด้วย แต่ของไดม่อนนั้นไม่มีเลย ทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูกับความสงสัยของมิริน
“พี่มีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคนครับ แต่มันไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ค่อยออกสังคมเท่าไหร่ ดีที่มันยังมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้พี่”
ไดม่อนตอบมิรินไปตามตรง เพราะเพื่อนสนิทของเขานั้นไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เรียกได้ว่านิ่ง พอๆ กันกับเขาเลยก็ว่าได้
“จริงหรอคะ จะเป็นไปได้หรอคะที่รูปถ่ายบรรยากาศงานแต่งของพี่ม่อนจะไม่มีพี่เค้าติดมาสักรูปเลยหรอ”
มิรินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีหรอกครับ เพราะไอ้เจมันไม่ได้ขึ้นเวทีด้วย ส่วนมากก็ยืนอยู่ในงานเงียบๆ พอเสร็จพิธีเช้ามันก็กลับ เพราะมันต้องไปเคลียร์งานของมัน”
“พี่ม่อนนี่ก็หาเพื่อนได้นิสัยเหมือนตัวเองจังเลยนะคะ ถ้าไม่ติดว่าเจอพี่โรสชาตินี้จะได้เห็นพี่ม่อนถ่ายรูปมั้ย อิอิ”
มิรินพูดแซวไดม่อนทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะตามเธอทันที
“หนูริน ตัดสินใจได้ยังลูกว่าจะลงเรียนคณะอะไร อีกอาทิตย์เดียวก็จะจบมอปลายแล้ว หนูต้องเตรียมตัวได้แล้วนะจ้ะ”
มะนาวเอ่ยถามมิรินเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลานสาวตัวเองจะเรียนจบมอปลายแล้ว
“หนูจะเรียนวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนพี่ไดม่อนค่ะแม่นาว หนูอยากเรียนเหมือนคุณพ่อด้วย เพราะพี่คินไม่เรียนเหมือนคุณพ่อเดี๋ยวคุณพ่อน้อยใจค่า”
มิรินตอบมะนาวด้วยรอยยิ้ม เพราะเธอตัดสินใจจะเรียนวิศวกรรมเครื่องกล เธอไม่ได้เรียนเพราะพ่อตัวเองแต่อยากเรียนเพราะความชอบ แถมแพทตี้เพื่อนสนิทของเธอก็จะเรียนคณะเดียวกันกับเธอด้วย
“คิดดีแล้วใช่มั้ยมิริน ลูกชอบคณะนี้จริงๆ หรอ”
มาวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะการเลือกคณะเรียนนั้นสำคัญมาก
“หนูคิดดีแล้วค่ะคุณพ่อ หนูอยากเรียนจริงๆ ไม่ได้อยากเรียนเพราะคุณพ่อนะคะ หนูชอบงานด้านนี้จริงๆ ค่ะ”
มิรินตอบมาวินผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นบ่งบอกว่าเธอนั้นจริงจังที่จะเรียนคณะนี้จริงๆ
“ถ้าหนูรินชอบก็เรียนเถอะลูก”
เมย์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มจนมิรินนั้นพยักหน้ายิ้มตอบเมย์ทันที
“อ้อ หนูมีอีกเรื่องอยากจะถามทุกคนด้วยนะคะ”
ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะต่างหันมามองมิรินพร้อมกันทันทีเพื่อรอว่าเธอจะถามอะไร
“ถามอะไรหรอน้องริน”
รามินเอ่ยถามมิรินด้วยความอยากรู้ จนมิรินนั้นยิ้มกว้างขึ้นแล้วเอ่ยถามทุกคนทันที
“ตอนนี้หนูมีแฟนได้ยังคะ”
“ไม่ได้!”
มิรินถึงกับคิ้วขมวดขึ้นทันที เมื่อได้ยินพ่อๆทั้งสาม รวมทั้งแก๊งพี่ชายพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอาแก๊งแม่ๆ และพี่สะใภ้ถึงกับหลุดขำออกมาทันที เพราะอาการหวงมิรินของแก๊งพ่อและพี่ชายนั้นชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรกันเล่า อีกไม่กี่เดือนหนูก็จะเข้ามหาลัยแล้วนะ หนูอายุสิบแปดจะย่างสิบเก้าแล้วทำไมยังมีแฟนไม่ได้คะ”
มิรินพูดบ่นทันทีเมื่อโดนแก๊งพ่อกับพี่ชายค้านขึ้น
“รอเข้ามหาลัยก่อนค่อยคิดเรื่องแฟนมั้ยน้องริน”
รามินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“พี่ว่าน้องรินอย่าพึ่งคิดเรื่องแฟนเลยนะ น้องยังเด็กอยู่”
ไดม่อนพูดขึ้นอีกคน
“เป็นเด็กเป็นเล็กรอเรียนจบก่อนมั้ยค่อยมีแฟน”
อคินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งตามประสานิสัยของเขา ทำเอามิรินถึงกับคิ้วขมวดมากกว่าเดิมอีก
“พวกพี่บอกให้น้องอย่าพึ่งคิดเรื่องมีแฟน แต่ตัวเองเล่นแต่งงานตั้งแต่เรียนไม่จบเนี่ยนะ มันย้อนแย้งมากนะคะ”
คำพูดของมิรินทำเอาอคิน ไดม่อนและรามินถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโดนมิรินพูดย้อนใส่
“เป็นไงล่ะ โดนน้องสวนคืนถึงกับเงียบยกแก๊ง เหล่าคุณพ่อก็อย่าพูดขึ้นมานะคะ เพราะหนูรินรู้ประวัติทุกคนหมดแล้ว ฮ่าๆ”
เมย์พูดแซวแก๊งลูกชายแล้วพูดดักมาวิน ราเชนทร์และดินแดนทันทีเพราะเธอเล่าวีรกรรมพ่อๆ ตอนจีบสาวให้มิรินฟังหมดแล้ว ทำเอาแก๊งพ่อๆ ถึงกับเงียบไปตามกัน
“หนุ่มๆ ควรปล่อยคนสวยของเราได้แล้วนะคะ มิรินโตแล้วต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
เพลงขวัญพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทำเอาเหล่าหนุ่มๆ ถึงกับหน้าซึมกันทุกคน
“แต่พี่ยังทำใจไม่ได้เลยอะน้องเพลงที่จะเห็นเจ้าหญิงน้อยของพี่ต้องไปควงแขนผู้ชายคนอื่นแทนพวกพี่”
ราเชนทร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อจนมิรินลุกออกจากเก้าอี้ไปกอดราเชนทร์ทันที
“ไม่เศร้านะคะพ่อเชนทร์ ถึงหนูจะมีแฟนยังไงหนูก็จะมาอ้อนพ่อเชนทร์เหมือนเดิม อีกอย่างตอนนี้หนูยังไม่มีแฟนสักหน่อย แถมยังไม่เจอคนที่ชอบด้วย อย่าน้อยใจน๊า”
มิรินพูดกับราเชนทร์ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนจนราเชนทร์ถึงกับยิ้มแล้วกอดตอบหลานสาวอย่างเอ็นดู
“หึ โดนอ้อนหน่อยใจอ่อนเลยนะไอ้เชนทร์”
ดินแดนพูดแซวราเชนทร์ทันทีเพราะราเชนทร์นั้นชอบใจอ่อนให้กับมิรินตลอดเช่นเดียวกับรามินที่ตามใจน้องสาวที่หนึ่งชนิดที่แบบน้องอยากได้อะไรก็จัดให้ตลอด ทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะออกมาแล้วนั่งปาร์ตี้ครอบครัวกันอย่างมีความสุข ตัดมาอีกด้านหนึ่งร่างสูงเดินเข้ามาในผับตัวเองด้วยใบหน้านิ่งขรึมไม่สนใจแม้กระทั่งสาวๆ ที่พยายามส่งสายตายั่วยวนให้กับเขาแต่ก็ต้องเสียใจเพราะเขานั้นไม่ชายตาเหลียวมองเลยสักคน
“ไอ้โจมายัง”
เจไดหนุ่มหล่อหน้านิ่งวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสามปีเอ่ยถามหาโจเซฟพี่ชายแท้ๆ ที่อายุห่างกันสามปีกับลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทำงานชั้นสองของผับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เพราะชั้นสองของผับจะมีห้องทำงานสองห้องนั่นก็คือห้องของโจเซฟและเจไดเพราะทั้งสองนั้นเปิดผับนี้ด้วยกันโดยชั้นสองนี้จะไม่อนุญาตให้คนนอกขึ้นมาจึงมีลูกน้องคอยเฝ้าไว้ตลอด
“คุณโจเซฟมาแล้วครับคุณเจได”
“อืม”
เมื่อได้ยินคำตอบของลูกน้องเจไดก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของพี่ชายทันที
“สาวๆ ส่งสายตายั่วยวนจนตาแทบถลนออกมา มึงก็ยังนิ่งไม่สนใจได้เนาะไอ้เจ”
โจเซฟพูดแซวน้องชายตัวเองทันทีเพราะห้องทำงานของเขาและเจไดจะมองเห็นด้านล่างของผับทั้งหมด
“เรื่องของกู มึงทำบัญชีรายจ่ายของเดือนนี้ยัง”
เจไดพูดขึ้นเสียงเรียบเพราะนิสัยของเขานั้นเป็นคนนิ่งขรึม พูดน้อย แถมยังไม่ชอบสุงสิงกับใคร เจไดเรียนวิศวกรรมเครื่องกลปีสาม มีเพื่อนสนิทคนเดียวก็คือไดม่อนเพราะนิสัยเหมือนกัน
“ใจคอมึงมาถึงก็จะเข้าเรื่องงานอย่างเดียวรึไง หัดชวนกูดื่มบ้างสิ”
โจเซฟบ่นให้เจไดทันทีเพราะน้องชายเขามาที่ผับทีไรก็คุยแต่เรื่องงานตลอด แถมทำงานเสร็จก็กลับคอนโดทันทีโดยไม่คิดจะดื่มกับเขาเลยสักครั้ง
“ไร้สาระ เวลากูมีค่า สรุปมึงทำยังถ้ายังกูจะได้เอาไปทำ”
เจไดตอบกลับโจเซฟเสียงเรียบทำเอาโจเซฟได้แต่ส่ายหน้าเอือมกับนิสัยนิ่งๆ ของน้องชายตัวเอง
“ยัง มึงเอาไปทำเถอะ”
โจเซฟพูดขึ้นแล้วยื่นแฟ้มสรุปรายจ่ายของเดือนนี้ให้เจได เมื่อเห็นพี่ชายยื่นแฟ้มให้เจไดก็รับมาแล้วเดินออกจากห้องทำงานของโจเซฟตรงไปยังห้องทำงานตัวเองทันที
“แม่ง นิสัยนิ่งขรึมไม่สนโลกแบบนี้ ชาตินี้น้องชายกูจะได้เมียกับเค้ามั้ยเนี่ย”
โจเซฟพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับนิสัยน้องชายตัวเอง จากนั้นก็หันมาสนใจทำงานของตัวเองต่อ ทางด้านเจไดเมื่อทำงานเสร็จก็นั่งดื่มคนเดียวในห้องทำงานดูความเรียบร้อยด้านล่างของผับ พอผับปิดก็กลับทันที