บทที่ 7
ดิมิเทรียสนั่งมองน้องชายที่ใบหน้าบูดบึ้ง กระดกแก้วบรั่นดีลงคอไปแก้วแล้วแก้วเล่าด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยแซวออกมาเสียงขบขัน
“เห็นผู้หญิงคนนั้นจู๋จี๋กับคนรักอยู่หรือไง ถึงได้มานั่งซดเหล้าหน้าบึ้งแบบนี้”
นิ้วแกร่งสีแทนยาวเรียวบีบแก้วบรั่นดีแน่นจนแทบละเอียด นัยน์ตาสีเข้มคมกริบตวัดขึ้นมองหน้าพี่ชายคนรองที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ อย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
“พี่ดิมเดาพลาดแล้วล่ะครับ”
“เดาพลาด? หมายความว่ายังไงลูซ”
รอยยิ้มหยันโลกผุดพรายขึ้นที่มุมปากบางเฉียบสีสดของลูเซียสช้าๆ
“ก็คนที่เธอจู๋จี๋ด้วยคือผมต่างหาก ผมพึ่งจะจูบเธอ”
“ก้าวหน้านะลูซ ไหนว่าจะไม่สนแล้วไง” ดิมิเทรียสหัวเราะร่วน ยกมือขึ้นตบไหล่น้องชายอย่างให้กำลังใจ
“ผู้หญิงสวยๆ มีเยอะแยะไป เดี๋ยวพี่แนะนำให้รู้จัก บางทีนายอาจจะลืมแม่ยาใจคนนั้นไปสนิทเลยก็ได้ใครจะไปรู้”
ลูเซียสจ้องหน้าพี่ชายเขม็ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วพี่ดิมล่ะ ลืมเคทได้หรือเปล่า เวลามีผู้หญิงสวยๆ คนอื่นมาอยู่ใกล้ๆ น่ะ”
คำพูดของน้องชายทำเอาดิมิเทรียสที่ยิ้มกว้างอยู่นั้นหุบฉับลงทันที ใบหน้าหล่อเหลากระด้างขึ้นมาจนลูเซียสต้องส่ายหน้า
“ผมก็รู้สึกเหมือนที่พี่ดิมกำลังเป็นอยู่นั่นแหละครับ ผู้หญิงคนไหนก็แทนคนที่เราถูกใจไม่ได้ คนที่ไม่ใช่ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่มีวันใช่หรอกครับ”
ดิมิเทรียสแค่นยิ้ม
“นั่นมันสำหรับนาย แต่สำหรับพี่ ผู้หญิงก็เหมือนๆ กันหมด ทุกคนมีไว้บำบัดความใคร่ให้กับผู้ชายทั้งนั้น ถ้ามีเงินก็มีสิทธิ์เลือก”
“แต่เงินซื้อเคทไม่ได้ พี่ดิมก็รู้ ผมว่าพี่ดิมหนักกว่าผมอีกนะ รักแต่ไม่ยอมรับเนี่ย”
กรามแกร่งของดิมิเทรียสขบกันจนขึ้นสันนูน มือใหญ่เอื้อมไปคว้าแก้วบรั่นดีที่รินไว้นานแล้วขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว
ไม่อยากนึกถึงผู้หญิงคนนั้นเลย ผู้หญิงที่เลือกจะเดินหนีแทนที่จะวิ่งเข้าหาเขาเหมือนกับแม่สาวคนอื่นๆ แต่ฝันไปเถอะว่าคนอย่างนายดิมิเทรียส เมเนนเดซ จะตามไปง้องอน แคทเธอรีนต่างหากที่ต้องซมซานกลับมาซบแทบเท้าของเขา
“ผู้หญิงเปลี่ยนใจง่ายไม่ต่างจากจิ้งจก บางทีถ้านายเลือกที่จะใช้เงินแทนหัวใจกับแม่ญานิดาอะไรนั่น นายก็อาจจะได้เห็นทาสแท้ของเจ้าหล่อนในเร็ววันนี้ก็ได้ และนายก็จะได้รู้ว่าผู้หญิงเหมาะสำหรับบำบัดความใคร่เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับเป็นแม่ของลูกนายหรอก” ทัศนคติที่ดิมิเทรียสมีต่อผู้หญิงแย่กว่าลูเซียสเสียอีก
“ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า มันน่าปวดหัวชะมัด ดื่มกันเถอะ”
ลูเซียสยกแก้วบรั่นดีที่บริกรมาเติมให้แล้วชนกับพี่ชาย ก่อนจะเทลงคอไปจนหมด ดิมิเทรียสเองก็ดื่มจนหมดแก้วเช่นเดียวกับน้องชาย
“แล้วนี่นายจะกลับนิวยอร์กเมื่อไรล่ะ หรือว่าจะประจำที่กรุงเทพฯ นี่จนกว่าจะได้ผู้หญิงคนนั้นมาขึ้นเตียง”
ลูเซียสส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ใช่หรอกครับ ตอนนี้ที่นิวยอร์กอยู่ตัวแล้ว ที่กรุงเทพฯ นี่ต่างหากที่องค์กรยังไม่มีประสิทธิภาพพอ ผมคงต้องรื้อระบบใหม่ พอเรียบร้อยแล้วก็จะกลับเอเธนส์ กะว่าจะไปเยี่ยมพี่ริคกับคุณอรสักหน่อย ได้ข่าวว่าพี่สะใภ้ของพวกเราท้องแก่ใกล้จะคลอดแล้ว”
ดิมิเทรียสระบายยิ้ม
“พี่ก็ได้ข่าวมาอย่างนั้น อาทิตย์หน้าหลังจากจัดการเรื่องโรงเรียนของภิญญาพัชฌ์เรียบร้อยแล้ว พี่ก็จะกลับไปเอเธนส์สักพักเหมือนกัน”
“ภิญญาพัชฌ์? เด็กคนที่พี่ริคให้พี่ดิมอุปการะน่ะหรือครับ”
ผู้เป็นพี่พยักหน้ารับช้าๆ
“ใช่ ครอบครัวของภิญญาพัชฌ์ยากจนมาก พี่ก็เลยต้องช่วยเหลือหามหาวิทยาลัยให้กับเธอน่ะ เพราะยายแฉล้มแกอยากให้หลานเรียนสูงๆ”
สองพี่น้องนั่งคุยกันจนเกือบจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันอยู่แล้ว แต่ลูเซียสก็เห็นใครคนหนึ่งที่เขาจำได้ติดตากำลังนั่งพลอดรักอยู่กับสาวเจนจัดนางหนึ่งที่โต๊ะมุมในสุด ทั้งคู่แลกลิ้นกันอย่างเมามัน ทำราวกับหากผสมพันธุ์ในนี้ได้ก็คงจะทำ
“รู้จักเหรอลูซ” ดิมิเทรียสมองตามสายตาของน้องชายไป ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
ลูเซียสพยักหน้าช้าๆ หากสายตายังไม่หยุดจ้องมองชายหญิงคู่นั้น
“คนรักของญานิดายังไงล่ะครับ ไม่คิดว่าจะมั่วแบบนี้”
คำพูดของน้องชายทำให้ดิมิเทรียสแสยะยิ้มหยันที่มุมปาก
“ผู้ชายก็แบบนี้แหละ พวกเราก็ไม่หยุดเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“แต่พวกเขาเป็นคนรักกัน หากผมมีคนที่ผมรักจริงๆ ผมก็จะไม่แทงข้างหลังแบบนี้”
“เป็นเอามากนะลูซ พี่ว่านายควรออกห่างผู้หญิงคนนั้นซะ รีบกลับไปนิวยอร์กหรือเมืองไหนก็ได้ที่เรามีสาขาอยู่ นายจะได้รอดพ้นจากหายนะครั้งนี้”
ลูเซียสไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมากับคำแนะนำของพี่ชาย เขาเลือกที่จะนั่งมองผู้ชายคนนั้น คนที่ญานิดาเลือก ด้วยสายตาที่เย็นชา สมองชาญฉลาดเริ่มครุ่นคิดหาทางออกที่แยบยลให้กับหัวใจตัวเอง
ในช่วงเช้าวันต่อมา ขณะที่ญานิดากำลังยืนรอรถเมล์ดั่งที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตร ก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมา
“นิดา ขึ้นรถมาสิ”
รถญี่ปุ่นประจำตำแหน่งของกรรชัยหนุ่มคนรักมาหยุดเทียบฟุตบาทอยู่ตรงหน้า หากแต่ญานิดากลับส่ายหน้าน้อยๆ
“นิดาจะไปรถเมล์ พี่ชัยไปเถอะค่ะ”
หล่อนไม่อยากอยู่ใกล้กับกรรชัยตามลำพังสองคนอีกแล้ว เหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนยังฝังแน่นอยู่ในหัวไม่จาง เขาขับรถพาหล่อนเข้าม่านรูด ตอนนั้นจำได้ดีว่าตัวเองตกใจจนหน้าซีด ผิดหวังอย่างที่สุด แต่ก็ยังดีที่กรรชัยไม่คิดจะหักหาญน้ำใจของหล่อน พอเห็นว่าหล่อนไม่ยอมก็พากลับ แต่กระนั้นมันก็ทำให้ความไว้ใจที่หล่อนมีต่อผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่หล่อนไม่เคยคิดจะรักแต่จำต้องมาคบหาเยี่ยงคนรักด้วยบุญคุณ ลดน้อยถอยลงถนัดตา
“พี่อุตส่าห์มารับนะนิดา ไปกับพี่เถอะ เร็วเข้า รถบีบแตรกันใหญ่แล้ว” กรรชัยอ้อนวอน แต่ญานิดาก็ยังยืนยันคำเดิม
“นิดาจะไปรถเมล์ค่ะ”
เสียงย้ำชัดหนักแน่นของคนรักสาวที่ตอนนี้เขาเริ่มจะระอาแล้วอย่างญานิดา ทำให้กรรชัยถอนใจออกมาแรงๆ อย่างขัดใจนัก
“อยากขึ้นไปเบียดเสียดกันบนรถเมล์ก็ตามใจ ขอให้สนุกแล้วกัน ไปล่ะ”
จบคำพูดไม่แยแสนั้น รถญี่ปุ่นขนาดกลางของกรรชัยก็เคลื่อนจากไปทันที
“นิดาไม่กล้าเสี่ยงไปกับพี่ชัยอีกแล้วล่ะค่ะ”
ญานิดาเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นรถเมล์สายที่ตัวเองรอคอยวิ่งมาจอดตรงป้ายรถที่หล่อนยืนอยู่ แต่ผู้คนในยามเช้านี้แออัดมาก แถมน้ำใจที่ควรมีต่อเพื่อนมนุษย์ก็ยังหาได้ยากขึ้นทุกวัน และนั่นก็มีผลทำให้หญิงสาวไม่ได้ขึ้นไปบนรถเมล์ เนื่องจากรถเต็มเอี้ยด
“ขึ้นรถสิ ญานิดา”