บทที่ 6
ลูเซียสก้าวยาวๆ ขึ้นมานั่งในรถลีมูซีนที่จอดรอรับอยู่ ประตูถูกปิดลงอย่างนุ่มนวลด้วยฝีมือของบอดีการ์ดประจำตัว ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวมุ่งหน้ากลับสู่คฤหาสน์ของเมเนนเดซอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรหรือครับพี่ดิม”
ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ปกตินัก ก็จะให้ปกติได้ยังไงล่ะ ในเมื่อกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแม่นั่นยังกรุ่นอยู่ในจมูก รสชาติหวานๆ ยังติดตรึงอยู่ที่ปลายลิ้น รู้ทั้งรู้ว่าการเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้คือหายนะ แต่เขาก็ยังเสี่ยงที่จะเข้าไป แล้วเป็นไงล่ะ ดูสิ ร่างกายอึดอัดปวดร้าวแค่ไหน นัยน์ตาคมหรี่มองที่หน้าขาตัวเองด้วยความเดือดดาล ก่อนจะขบกรามแกร่งจนมันแทบแตกระเบิดออกมา
“ได้ครับ อีกสิบนาทีเจอกัน ครับพี่ดิม”
มือใหญ่สีแทนหย่อนมือถือบางเฉียบลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดปุ่มให้กระจกที่กั้นอยู่ระหว่างตัวห้องโดยสารกับห้องคนขับเปิดออกจากกัน
“ไปที่เมเนนเดซโฮเทล”
“ครับคุณลูซ”
ร่างใหญ่โตในชุดราคาแพงเอนหลังพิงกับเบาะนุ่มในรถราคาแพงระยับของตัวเองอย่างเคร่งเครียด ภาพเหตุการณ์ในลิฟต์ผุดขึ้นมาในสมองอีกแล้ว และมันก็มีผลทำให้เลือดเนื้อของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“ทำยังไงนะ ฉันถึงจะไม่นึกถึงเธอ”
ศีรษะทุยที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำขลับผ่านการตัดแต่งมาอย่างประณีตสะบัดแรงๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดจนน่าเจ็บใจ สัญญาอันตรายบางอย่างวิ่งเข้ามาใกล้ทุกขณะ และยิ่งวิ่งหนี มันก็ยิ่งเร่งเครื่องตามอย่างไม่ลดละ จนเขาไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าจะทานทนต่อแรงเสน่หาที่มีต่อญานิดาได้อีกนานแค่ไหนกัน
ญานิดาเปิดประตูห้องเช่าเข้าไปด้วยท่าทางห่อเหี่ยว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้หล่อนสูญเสียอะไรไปหลายอย่าง ตั้งแต่จูบแรก กอดแรก และที่น่าหวั่นใจก็คือ หล่อนอาจจะกำลังเสียหัวใจไปก็ได้
ไม่ได้นะ ไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นต่างกับหล่อนยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากับก้นเหวเสียอีก ลูเซียสหล่อเลิศ แสนร่ำรวย เป็นที่หมายตาของสาวๆ สวยๆ ทั่วโลก ขณะที่หล่อนเป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อย สวยก็ไม่สวย หุ่นก็แสนจะแย่ การศึกษาหรือก็ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ปวส.เท่านั้นเอง แม้จะเก่งภาษาก็ตามทีเถอะ เงินเดือนของหล่อนทั้งเดือนยังไม่พอค่าถุงเท้าของเขาเลย
ความแตกต่างมันมหาศาลขนาดนี้ หล่อนยังจะคิดจะฝันถึงเขาอีกเหรอ แค่เขาจูบเอาทำเป็นเคลิ้ม ไม่เจียมตัวสักนิด แถมตัวเองก็ยังมีคนรักอยู่แล้วด้วย ถึงแม้จะเป็นคนรักที่ไม่ได้รักก็ตามเถอะ
ญานิดาสั่งสอนตัวเองอยู่ภายในใจ ขณะปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่น เพราะห้องเช่าเล็กๆ ที่หล่อนกับแม่มาพักอาศัยอยู่นี้ไม่ค่อยปลอดภัยนัก แม้ราคาห้องจะแพงหูฉี่เพราะตกเดือนละ สามพันบาท แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เมื่อสองคืนก่อนห้องด้านขวาก็ถูกงัด ข้าวของหายไปเกือบหมด แถมจับคนร้ายก็ไม่ได้
แล้วเมื่อคืนนี้ห้องข้างซ้ายมือก็พึ่งจะถูกข่มขืนไป มันน่ากลัวมาก แต่หล่อนก็ไม่มีปัญญาพาแม่ไปอยู่ที่อื่น เพราะถึงแม้เงินเดือนที่ได้รับจากเมเนนเดซแอร์เวย์จะไม่ได้น้อย แต่หล่อนก็ต้องเจียดไปส่งให้กับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบที่หล่อนเคยกู้มาใช้ตอนที่แม่ป่วยเข้าโรงพยาบาล แล้วไหนจะถูกกรรชัยใช้บุญคุณมาอ้างยืมไปอีก
“แม่จ๋า นิดากลับมาแล้วจ้ะ”
หญิงสาววางกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองที่ซื้อมาจากตลาดนัดมือสองในราคาแค่หนึ่งร้อยบาทลงกับโต๊ะไม้เก่าๆ ที่มีอยู่ตัวเดียวในห้องนี้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่ถูกกั้นด้วยตู้เสื้อผ้าไม้อัดราคาแสนถูก
“แม่จ๋า...แม่นอนแล้วเหรอจ๊ะ”
มือบางคลำสวิตช์ไฟแล้วเปิดมันขึ้น ร่างของแม่ที่นอนนิ่งอยู่บนฟูกเก่าๆ ที่ใช้กันมายาวนานทำให้สีหน้าของญานิดาไม่สู้ดีนัก สาวน้อยรีบทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างของมารดา มือบางยื่นไปอังที่หน้าผากของผู้มีพระคุณด้วยความร้อนใจ
“แม่ไปสบายนี่ ตัวร้อนด้วย ทานยาหรือยังจ๊ะ”
“แม่ไม่เป็นอะไรมากหรอก วันนี้ถูกฝนนิดหน่อยก็เลยมึนหัว นี่ก็กินยาเข้าไปแล้ว อีกสักพักก็น่าจะดีขึ้น”
เสียงของวันนาที่ป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดตั้งแต่ถูกรถชนเข้าเมื่อสามปีก่อนตอบออกมา ขณะค่อยๆ ฝืนใจลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นมามองบุตรสาวด้วยความรักใคร่
“ทำไมวันนี้กลับดึกนักล่ะนิดา แล้วนั่นปากของลูก...ทำไมบวมแบบนั้น”
ญานิดาหน้าตื่น รีบยกมือขึ้นลูบปากของตัวเองเอาไว้อย่างมีพิรุธ สมองนึกสาปแช่งไปถึงคนที่ทำให้หล่อนปากช้ำจนมารดาจับได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้ชายหล่อเหลาอย่างลูเซียสจะเถื่อนถ่อยแบบนี้
“เอ่อ...คือว่า...คือนิดาชนโต๊ะค่ะ หกล้มชนโต๊ะ” เวลาพูดปดทีไร ญานิดาต้องหลบตาทุกทีสิน่าจนมารดาต้องหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ
“โกหกแม่หรือนิดา บอกแม่มาเถอะ ใครทำนิดา”
“ไม่มีค่ะ ไม่มี นิดาหกล้มจริงๆ สาบานก็ได้ค่ะ”
สาวน้อยพยายามฝืนใจสบตากับผู้เป็นแม่ ปั้นยิ้มขื่นๆ ส่งให้ท่านเพื่อปกปิดเรื่องที่ตัวเองประสบมา ให้แม่รู้ได้ที่ไหนกันล่ะ ถ้ารู้ท่านคงเสียใจมากทีเดียว ที่หล่อนยอมตกต่ำถึงเพียงนั้น ให้ผู้ชายขยี้ปากในลิฟต์ แถมในสายตาของผู้ชายคนนั้น หล่อนยังมีค่าต่ำกว่าอีตัวที่เขาลากขึ้นเตียงด้วยเป็นประจำเสียอีก
“แน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกแม่นิดา”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้โกหกเลย นิดาพูดเรื่องจริง” ฝืนตอบเสียงใสเพื่อกลบพิรุธในใจ และมันก็ได้ผลเมื่อมารดาเชื่อสนิทใจ
“งั้นแม่ก็สบายใจ ไปกินข้าวเถอะ วันนี้แม่ทำน้ำพริกปลาทูของโปรดนิดาเอาไว้ให้”
ญานิดายิ้มกว้าง ยกมือขึ้นลูบปากของตัวเองด้วยท่าทางหิวจัด
“นิดากำลังหิวจนตาลายพอดีเลยจ้ะ แม่ไปกินด้วยกันนะ นิดาอยากแกะปลาให้แม่”
นางวันนายิ้มน้อยๆ ให้กับบุตรสาว แต่ศีรษะหนักอึ้งจนไม่สามารถลุกไหว
“แม่ปวดหัว ขอนอนพักสักหน่อย นิดากินเถอะนะ พรุ่งนี้แม่สัญญาว่าจะกินข้าวพร้อมนิดา”
สาวน้อยเห็นสีหน้าเซียวของมารดาบังเกิดเกล้าก็พยักหน้ารับรู้ด้วยความเข้าใจ แม่หน้าซีด คงจะไม่สบายมาก
“งั้นแม่นอนเถอะจ้ะ นิดาไม่กวนแล้ว ถ้าอยากได้อะไรเรียกนิดาได้นะจ๊ะแม่ นิดายินดีบริการ เพราะนิดารักแม่” ก้มลงหอมแก้มมารดาด้วยความรักใคร่
นางวันนายิ้มออกมาทั้งน้ำตา ตั้งแต่เสียสามีไปในอุบัติเหตุเมื่อครั้งนั้น หล่อนมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงป่านนี้ ก็เพราะญานิดาลูกรักคนนี้
“แม่ก็รักนิดามากนะจ๊ะ ดูแลตัวเองดีๆ แม่จะได้สบายใจ”
“ค่ะ นิดาสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี เพื่อแม่ค่ะ”
สองแม่ลูกกอดกันแน่นทั้งน้ำตา ความรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทรถูกถ่ายทอดให้กันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เขาว่าความรักของแม่เปรียบเสมือนดอกมะลิสีขาว บริสุทธิ์ สะอาด ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ญานิดาขอยืนยันว่ามันคือความจริง เพราะแม่ของหล่อนไม่เคยต้องการอะไรจากหล่อนเลย นอกจากอยากเห็นหล่อนมีความสุขเท่านั้น