บทที่ 2
เนื้อคู่ของคุณคือฉัน
“อืมเป็นชาย ร่างสูงโปร่ง ไม่อ้วน ตัดผมรองทรง มีใฝใต้ตา อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์คุณจะเจอเขาเอง โดยบังเอิญ ….”
หมอดูน้อยหลับตาพริ้ม เอ่ยปากพูดออกมา จากนั้นค่อย ๆ ลืมตาประเมินฝ่ายหญิง กับภาพที่เห็นในนิมิต
“อืม ดูท่าเนื้อคู่ของคุณจะอายุน้อยกว่าค่ะ…เหมือนจะเป็นคนใกล้ตัวของคุณ”
“พูดขนาดนี้ ทำไมไม่พูดชื่อออกมาเลยล่ะคะ…ฉันมีคนใกล้ตัวไม่ใช่น้อยๆ” ลูกค้าหญิงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“ไม่ได้ค่ะ” เจ้าของตำหนักบุพเพตอบ
“ทำไมคะ…หากพูดละเอียดขนาดนี้ น่าจะรู้จักชื่อแท้ ๆ..” เธอบ่นอุบอิบ
“เพราะมันเป็นกฎ” ริมฝีปากบางตอบกลับอย่างหนักแน่น ทำให้หญิงสาวตรงหน้าพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ไม่ถามซักไซร้สิ่งใดต่อ ทว่ามันไม่ใช่กฎแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าหญิงสาวไม่รู้จริง ๆ ว่าพ่อหนุ่มที่เห็นในนิมิตคือใคร เธอแค่บรรยายตามภาพที่เห็นแค่นั้น
“โอเคค่ะ หากฉันได้เจอเนื้อคู่ ฉันจะโอนเงินที่เหลือค่ะ”
“ค่ะ” ใบหน้างามยิ้มแย้ม ให้กับลูกค้าสาวสวยคนนี้ พร้อมกับหญิงสาวเดินออกไป อย่างพึงพอใจ
ตั้งแต่เปิดบริษัทตำหนักบุพเพมา แม่ของมิชรินทร์จะมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร โดยให้ลูกค้าจ่ายค่าดูดวงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งจะจ่ายหลังจากที่เห็นผลแล้ว แน่นอนว่าทำเพื่อป้องกันการถูกโกง และทุกท่านที่มาดูดวงล้วนผ่านการคัดเลือกจากผู้เป็นแม่ของ
มิชรินทร์เรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าค่อนข้างมีเงิน และค่าที่มัดจำค่อนข้างแพงในระดับหนึ่ง
เนื่องจากฐานลูกค้าเป็นลูกค้าที่ร่ำรวย และมีระดับ ค่อนข้างมั่นใจเลยว่าจะไม่เกิดการโกงแน่นอน
หลังจากที่ลูกค้าหญิงคนสวยได้ออกไป ใบหน้างามชะเง้อชะแง้ชายตามองด้านนอกด้วยความประหลาดใจ ริมฝีปากฉ่ำวาวด้วยลิปสติก
สีแดงเม้มปากเข้าหากัน เอียงคอเล็กน้อยเอ่ยปากถามแม่ของตน
“คุณแม่คะ ทำไมวันนี้ถึงรับลูกค้าเพียงครึ่งวันล่ะคะ”
“วันนี้แม่รับลูกค้าพิเศษเอาไว้จ้ะ คุณหญิงอัล ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศอย่างไรล่ะลูก รินพอจำได้ไหมว่าเคยดูเนื้อคู่ให้ลูกชายของคุณหญิงไป 2 คน คราวนี้ ดูเนื้อคู่ให้ลูกชายคนโตของคุณหญิงจ้ะ..”
“ริน…จำไม่ได้ค่ะ”
คนตัวเล็กพูดออกมาตามความจริง ลูกค้าที่เธอดูเนื้อคู่ให้ มีเป็นพัน เป็นหมื่นคน ย่อมจำไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว อีกอย่างมิชรินทร์ไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำว่าใครรวยไม่รวย ความตั้งใจของเธอสนใจแค่งานที่ทำอยู่ตรงหน้า และกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นลิมิเต็ดเท่านั้น
เนื่องจากคราวที่เธอยังเป็นเด็ก ครอบครัวของมิลินไม่ใช่คนร่ำรวยมาตั้งแต่แรก ฐานะทางบ้านแค่พอกินพอใช้ ไม่ได้มีพอใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือซื้อของแพง ๆ สิ่งที่คนตัวเล็กอยากได้มาก ๆ ทว่าคุณพ่อคุณแม่มีเงินไม่พอจะซื้อให้ เธอต้องรอวันสำคัญเท่านั้นคุณพ่อกับคุณแม่จะซื้อสิ่งของหนึ่งอย่างให้กับเธอ
ในตอนอายุประมาณ 4 ขวบ มิชรินทร์เห็นโฆษณาในทีวีเห็นกระเป๋าแบรนด์เนมใบหรู ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น
นั่นแหละของขวัญชิ้นต่อไปที่มิชรินทร์อยากได้
เมื่อถึงวันเกิด มิชรินทร์บอกกับแม่ของเธอว่า
‘คุณแม่หนูอยากได้กระเป๋าในทีวีวันนั้น’
ทำให้แม่ของเธอแทบลมจับ มันเป็นราคาที่แตะต้องไม่ได้เลย ต้องทำงานหลายปีก็ยังไม่สามารถซื้อมันได้
‘มันแพงเกินไปลูก หนูต้องเรียนเก่ง ๆ หาเงินได้เยอะ ๆ ถึงจะซื้อมันได้ ส่วนแม่ไม่มีปัญญาหรอกจ้ะ’
ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดของแม่ ทำเอาหนูน้อยนั่งคอตก จึงตั้งมั่นไว้ว่ากระเป๋าใบไหนที่มิชรินทร์อยากได้ ต้องคว้ามันมา และไม่คิดไม่ฝันว่า วันนี้ความฝันในวัยเด็กได้เป็นจริงแล้ว
“ริน…รินได้ยินไหมลูก”
เสียงเรียกของแม่ ทำให้คนตัวเล็กหลุดจากภวังค์ ใบหน้างามงุนงง เมื่อครู่ไม่ได้ยินแม่ลดาพูดเลยว่าแม่ของเธอพูดอะไร
“คะ คุณแม่ว่าอะไรเหรอคะ พอดีว่ารินคิดอะไรเพลินนิดหน่อย…”
“แม่แค่จะบอกรินว่า หลังจากที่รับลูกค้าคนนี้คนสุดท้าย แม่จะพาหนูไปซื้อกระเป๋าใบใหม่ พักครึ่งวันดีไหมจ้ะ”
เมื่อได้ยินที่แม่ลดาพูด หมอดูน้อยแห่งตำหนักบุพเพฉีกยิ้มกว้างออกมาราวกับเด็ก
“จริงเหรอคะ?” เธอถามอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น ถามเพื่อความแน่ใจ เพราะทุกวันนี้เธอทำงานแทบจะไม่ได้ไปไหนเลย
“จริงจ้ะ วันนี้ลูกค้าพิเศษให้เงินมาก้อนโต แม่จึงอยากให้ลูกออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง” แม่ของริน พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของแม่ลดาก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลใจเล็กน้อย พร้อมกับยกแขนขึ้นมามองดูที่นาฬิกาข้อมือ
“เอ๊! ป่านนี้คุณหญิงวาสนา น่าจะมาได้แล้วนะ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย…”
“รถอาจจะติดก็ได้ค่ะแม่…” หญิงสาวยังคงคิดบวกมองโลกในแง่ดี
ตอนนี้มิชรินทร์รู้สึกรำคาญหน้ากากที่ปิดบังใบหน้างามเอาไว้นิดหน่อย จึงเอื้อมมือบางปลดมันลง ทิ้งหน้ากากสีดำไว้บนโต๊ะ
“อ้าวถอดทำไมล่ะลูก ใส่ไว้ๆ…” แม่ลดาโพล่งออกมาด้วยความตกใจ กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า จึงหยิบหน้ากากสีดำขึ้น แล้วยื่นให้มิชรินทร์
“แม่คะ รินไม่อยากใส่ ลูกค้าเพียงคนเดียวเอง คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งคะ… อีกอย่างแม่บอกว่าคุณหญิงร่ำรวย รินว่าคุณหญิงไม่แอบถ่ายรูปหรือเอาไปบอกต่อหรอกค่ะ” หญิงสาวบอกแม่ของตน พูดไปตามสิ่งที่ตนคิดอยู่เสมอ
แม่ลดาครุ่นคิดเพียงแวบเดียว ก็ได้เอ่ยปากว่า “มีเหตุผล เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ แต่แค่วันเดียวนะ..”
“ค่ะ” ร่างบางตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เธอรู้จุดประสงค์ของแม่ลดาที่ให้เธอปิดบังใบหน้าแท้จริงไม่ใช่เพราะความน่าเชื่อถือ แต่เพราะกลัวว่ามิชรินทร์จะเป็นอะไรไป หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีรู้ตัวตนของมิชรินทร์เข้า จะเดือดร้อนกันไปใหญ่ อีกอย่างหนึ่งคือ การเตรียมตัวรับมือ หากวันหนึ่งความสามารถพิเศษนี้หายไป ผู้ใดจะจำตัวตนของเธอไม่ได้
ตึก!
ตึก
เสียงฝีเท้าหนัก ของคุณชายตระกูลอัล กำลังสาวเท้าเข้ามายังหน้าตำหนักบุพเพอย่างไม่สบอารมณ์ เดิมทีคุณหญิงวาสนาแจ้งว่าจะพามาทานข้าว ทว่าเหตุใดถึงพามายังตำหนักบุพเพ สถานที่อัลเฟรดเกลียดที่สุด
ในตอนที่เขารู้ว่าแม่ของเขา ให้จอดรถตรงนี้ซึ่งเป็นที่จอดรถส่วนบุคคลของตำหนักบุพเพ ลูกชายคนโตของตระกูลดังรับรู้ได้ทันทีว่าถูกมารดาหลอกมาเสียแล้ว
เมื่อร่างสูงจะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวกลับบ้าน กลับถูกคุณแม่จับมือหนาเอาไว้ จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ออกมา อีกทั้งยังพูดจาน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะทุกประโยคที่มารดาพูดช่างเสียดแทงหัวใจของชายหนุ่มเสียจริง
‘ลูกทำเพื่อแม่ได้ไหม ทำเพื่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย หากลูกดูเนื้อคู่แล้ว แม่จะไม่พามาที่นี่อีก ได้ไหม…หรือลูกจะให้แม่ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีห่วง….’
‘คุณแม่อย่าพูดเรื่องตายสิครับ มันป็นลางไม่ดี..’
‘หากไม่ให้แม่พูดลูกก็ทำตามแม่หน่อยสิ’
อัลเฟรดไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อ จึงได้แต่มองบน ถอนหายใจออกมาแรง ๆ จำยอมเดินเข้ามายังตำหนักบุพเพแห่งนี้
พลันเมื่อนึกถึงคำขอร้องอ้อนวอนของมารดาของตน ร่างหนาก็ทำได้แค่เพียงเคร่งขรึม กำหมัดแน่น และกัดฟันกรอด ๆ เพื่อข่มอารมณ์
คุกรุ่นนี้ไว้
เขาไม่ชอบที่แห่งนี้ มันเป็นสถานที่ ที่น่ารังเกียจ เอาความเชื่อของคนมาทำมาหากิน
สายตาคมเข้มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ของตกแต่งไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย จอมปลอมทั้งนั้น สิบแปดมงกุฎชัด ๆ ไม่รู้ว่าแม่ของตนเชื่อเข้าไปได้อย่างไร
เพียงชั่วพริบตาดวงตาสีนิลบังเอิญสบตากับดวงตาคู่งามของ
หมอดูน้อยเข้า จึงเผลอสำรวจร่างกายของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
ยังอายุน้อยอยู่เลยนี่ ไม่รู้คนไปปักใจเชื่อได้อย่างไร ยัยสิบแปดมงกุฎ!
ร่างหนาได้แต่คิดในใจ แววตามองร่างบางอย่างจงใจให้รู้ว่าเขาไม่ชอบเธออย่างแรง
มิชรินทร์เห็นแววตาของอัลเฟรดมองมาถึงกับสะดุ้งโหยง ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น สายตาของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกินไม่เคยมีใครมองเธอแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าไปกินรังแตนที่ไหนมา ใบหน้าถึงบูดบึ้งอย่างนี้
“ผู้ชายคนนี้เหรอคะแม่?” เจ้าของใบหน้างามแอบกระซิบกระซาบผู้เป็นแม่เบา ๆ
“จ้ะ” แม่ลดาตอบ หันไปมองยังร่างสูงที่เดินมา ทำไมรู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่เป็นมิตรเช่นนี้
แต่ทว่าหัวใจดวงน้อยของมิชรินทร์รู้สึกแปลก ๆ ทำไมถึงถึงเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือว่านี่คือการตกหลุมรัก….คนตัวเล็กจ้องมองใบหน้าอัลเฟรดไม่วางตา….ยกมือเรียวเล็กสัมผัสตำแหน่งหัวใจเบา ๆ อย่างประหลาดใจ เพียงพบหน้า เป็นไปได้หรือว่าจะตกหลุมรัก….
พรึบ!
อัลเฟรดนั่งลงยังเก้าอี้ตรงข้ามของแม่ดูน้อย ใบหน้าหล่อเหลายังคงฉายแววความไม่เป็นมิตรออกมา มือหนาหนึ่งข้างยื่นไปวางไว้
บนโต๊ะ หรี่ตามองร่างบางแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าชะงักนิ่งไปแล้ว เขาจึงได้เอ่ยปากพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบว่า
“นั่งนิ่งทำไม ดูสิ!”
น้ำเสียงเย็นชาทำให้หมอดูน้อยละล่ำละลักตอบ
“ค่ะ…ค่ะ…”
จากนั้นมิชรินทร์เอื้อมมือออกไปแตะฝ่ามือของทายาทตระกูลอัล กลับพบว่า ในนิมิตเธอเห็นตัวเองอยู่ในนั้น ใบหน้างามขมวดคิ้ว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
ทะ….ทำไม….ถึงเป็นมิชรินทร์
คนตัวเล็กชักมือกลับ ยังคงไม่แน่ใจ ว่าภาพที่เห็นในนิมิตคือความจริง มือบางจึงเอื้อมมือไปกุมมือของร่างสูงของอัลเฟรดเอาไว้
อีกครั้ง
คุณหญิงวาสนาเห็นท่าทีของหมอดูน้อย มีสีหน้าค่อนข้างเครียด ไม่พูดออกมาเสียที จึงได้เอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย
“เป็นอย่างไรบ้างจ้ะ เนื้อคู่ของลูกชายฉันคือใคร”
“เอ่อ…คือ…” มิชรินทร์ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ทำไมคำถามนี้มันยากที่จะตอบ
อัลเฟรดเห็นท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าละล่ำละลักที่จะตอบ นัยต์ตาสีนิลจึงมองเธออย่างไม่พอใจ สะบัดมือออกด้วยความรำคาญ
“เอ่อ อะไรนักหนา ตอบไม่ได้ ก็ยอมรับมา!”
ทายาทตระกูลดังเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา ทำให้คุณหญิงวาสนาเข้าไปแตะแขนของอัลเฟรดเอาไว้ เพื่อปรามไม่ให้ลูกชายของตนเสียมารยาท
“ว่าอย่างไรล่ะลูก บอกพี่เขาไปสิจ้ะ”ผู้เป็นแม่เองยังคงเร่งเร้า ทุกสายตาต่างส่งแรงกดดันมายังร่างบาง ภายใต้แรงกดดันนั้น มิชรินทร์ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา แล้วแจ้งคำตอบแก่ผู้ที่มาเยือน
“เนื้อคู่ของคุณคือฉันค่ะ….”
เจ้าของคำทำนายชะงักไปเพียงแวบเดียว ไม่เชื่อคำพูดของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า นี่เธอใช้วิธีแบบนี้เพื่อจับคนรวยงั้นหรือ หมอดูคนนี้ใช้ความเชื่อของแม่อัลเฟรด เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
“ยัยสิบแปดมงกุฎ!”