เมื่อเห็นว่าสามีเดินจากไปแล้วย่ามู่จึงหันมากล่าวกับลูกสะใภ้คนโปรดต่อ เพื่อจะหาทางเอาตำแหน่งหน้าที่ของมู่อันเหมยมาเป็นของครอบครัวตนเอง
ทันทีที่ตกลงกันได้ แม่สามีและลูกสะใภ้คู่นี้จึงยิ้มกริ่มและคิดว่าพรุ่งนี้จะจัดการเรื่องนี้อีกครั้ง
จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้าย สะใภ้สามจึงเดินไปยังห้องครัวเพื่อดูว่าลูกสะใภ้ที่เธอไม่ถูกชะตาได้เตรียมอาหารเย็นให้กับทุกคนหรือยัง ส่วนตนเองนั้นวาดฝันว่าลูกชายคนรองของเธอจะต้องได้งานที่โรงงานนี้แทนลูกสาวบ้านรอง
หลังจากที่แยกตัวกลับมา เฉินหยางคุนไม่ใช่คนโง่ หากใครที่เป็นอันตรายต่อมู่อันเหมย ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาไม่ปล่อยให้คนผู้นั้นอยู่อย่างสงบสุข
และเขารู้ว่ามู่อันเหมยวาดหวังว่าจะเข้าทำงานที่โรงงานแห่งนี้เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว หากบ้านสามคิดที่จะแย่งสิ่งนี้ไป ตัวต้นเรื่องคงไม่พ้นมู่จื่อจ้ง ลูกชายคนรองของบ้านสามมู่
เมื่อคิดถึงข้อนี้ ใบหน้าของเฉินหยางคุนมีแววโหดเหี้ยมเล็กน้อย
ทว่ายังกลับไม่ถึงบ้านกลับมีเสียงเรียกเขาไว้เสียก่อน
“พี่หยางคุน”
จื้อเฉียงเอ่ยเรียกเจ้านายของตน เมื่ออยู่ในหมู่บ้านเขาจะใช้คำเรียกดั่งเช่นคนทั่วไป
จื้อเฉียงและจงอี้เป็นหนุ่มจากต่างเมืองที่เฉินหยางคุนช่วยไว้เมื่อตอนจะกลับมายังหมู่บ้าน ซึ่งสองคนนี้เป็นลูกน้องของเขามาตั้งแต่นั้นและรู้ถึงตัวตนของเขาว่าเป็นใคร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเข้ามาในหมู่บ้านล่ะ หรือว่างานมีปัญหา”
เฉินหยางคุนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ น้อยนักที่ทั้งสองคนจะเข้ามาหาเขาในหมู่บ้าน
จื้อเฉียงมองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นใครจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“นายพลหม่าส่งข่าวมาว่าต้องการให้ทางเราส่งอาหารแห้งไปยังกองทัพทางเหนือ ตอนนี้อาหารของกองทัพกำลังขาดแคลนครับ”
เขาเพิ่งได้รับข่าวเมื่อช่วงเย็น จะเข้ามาเวลานั้นคงไม่สะดวกเท่าไร เลยรอให้มืดแล้วค่อยเข้ามา
“เรื่องขนส่งใครจัดการ ฝ่ายเราหรือฝ่ายท่านนายพล”
“ฝ่ายท่านนายพลครับ นอกจากอาหารแห้งแล้วยังมีเครื่องนุ่งห่ม ปีนี้ทางรัฐน่าจะจัดสรรให้น้อย กลัวว่ากำลังทหารที่มีของที่ส่งมาจะไม่พอครับ”
“อืม จัดการไปตามที่ขอ”
เพียงได้รับคำตอบเท่านี้ ลูกน้องคู่ใจทั้งสองคนรู้ได้ทันทีว่าเจ้านายยอมส่งของให้กับนายพลหม่า
“พวกนายจัดหาคนให้สักสี่ห้าคนสิ ฉันมีเรื่องจะให้ทำ”
เฉินหยางคุนเอ่ยขึ้นมาเมื่อคุยงานกับลูกน้องทั้งสองคนเสร็จ
“พี่จะเอาไปทำอะไรครับ เรื่องด่วนไหม”
“ด่วน คืนนี้ ฉันอยากให้ไปปล้นบ้านใครสักหน่อย แต่ไม่ต้องทำร้ายผู้อื่น ทำงานเงียบ ๆ ขอแค่คนคนเดียวเท่านั้นที่เอาจนขาหักหรือนอนติดที่สักเดือน”
“ฮะ!”
เฉินหยางคุนแววตาเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย ในเมื่ออยู่กันอย่างสงบไม่ได้ก็ลองนอนติดที่ดูก็แล้วกัน แค่นี้ถือว่าเขาปรานีมากแล้ว คิดจะชิงงานไปจากมู่อันเหมยเหรอ ไม่มีวันเสียหรอก!
จากนั้นเฉินหยางคุนกระซิบชื่อเป้าหมายให้ทั้งสองคนได้ยิน
การที่เจ้านายอย่างเฉินหยางคุนคิดจะเล่นงานใคร คนคนนั้นย่อมไม่รอด
แต่ครั้งนี้เพียงต้องการแค่ขาหัก เท่ากับว่านี่เป็นการสั่งสอน พอรู้เป้าหมายพวกเขาจึงเข้าใจว่าย่อมต้องเกี่ยวกับว่าที่นายหญิง เพราะบ้านสามมู่คือบ้านอาของมู่อันเหมย!
“ครับ พวกเราจะรีบจัดการให้ พี่รอฟังข่าวได้เลย”
จื้อเฉียงรับคำ งานนี้เขาต้องใช้มือดีเสียหน่อย เรื่องนี้ต้องทำให้เงียบที่สุด ถึงแม้คนบ้านสามจะแจ้งทางการ แต่ไม่รู้ว่าใครทำ แจ้งไปก็เท่านั้น ต่อให้แจ้งทหารแดงก็ตาม
จากนั้นทั้งสองคนจึงรีบกลับไปเพราะต้องจัดการงานตามที่สั่งคืนนี้ เนื่องจากเจ้านายกำลังรอข่าวอยู่
เมื่อสั่งงานลูกน้องแล้ว เฉินหยางคุนจึงเดินกลับบ้านเฉินทันที
แต่เหมือนสวรรค์เป็นใจให้กับจื้อเฉียงและจงอี้ ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ออกจากหมู่บ้านก็เจอเข้ากับจื่อจ้งกับสหายกำลังเดินมาคล้ายคนเมาและเดินเซซ้ายเซขวาอยู่พอดี ทั้งสองคนจึงหยิบผ้าผูกเอวขึ้นมาปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินเข้าหาเป้าหมายทันที
“พวกนายเป็นใคร มาขวางทางพวกเราทำไม” สหายของมู่จื่อจ้งเอ่ยถาม สหายคนนี้ดูท่าจะเมาน้อยกว่า จึงพอจะพูดรู้เรื่อง
“ไม่ใช่เรื่องของนาย พวกเรามีเรื่องกับจื่อจ้ง” จงอี้ดัดเสียงเล็กน้อยเพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองคนนี้รู้เสียงที่แท้จริง
ชายคนนี้ดูท่าจะรักสหายมาก เมื่อได้ยินแบบนั้นก็รีบถอยหลังไปยืนในมุมของตนเอง
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่าเขาเกี่ยวอะไร มู่จื่อจ้งกลับโดนทั้งมือทั้งเท้าของจื้อเฉียงและจงอี้ แบบไม่ต้องนับว่าโดนไปเท่าไร
สุดท้ายร่างของมู่จื่อจ้งล้มฟุบไปนอนกองพร้อมกระอักเลือดออกมา แต่เพื่อให้เหตุการณ์ไม่ดูน่าสงสัย จงอี้จึงค้นเอาเงินจากตัวของมู่จื่อจ้งมาได้เกือบสองหยวน จากนั้นทั้งสองจึงเดินหายเข้าป่าข้างทางทันที
สหายของมู่จื่อจ้งคล้ายกับได้สติเมื่อเห็นร่างของสหายสะบักสะบอมและกระอักเลือดออกมา เขาจึงแหกปากวิ่งเข้ามายังในหมู่บ้านอย่างหวาดกลัว
“ช่วยด้วยจื่อจ้งโดนปล้น ช่วยด้วย จื่อจ้งตายแล้ว”
แม้ว่าเวลานี้ท้องฟ้าจะเริ่มมืดและหลายบ้านต่างเตรียมตัวเข้านอน แต่เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของใครบางคน บ้านส่วนใหญ่จะจุดตะเกียงเพื่อหาแสงสว่างและเดินออกมาดู
เสียงร้องโวยวายของชายหนุ่มยังดังไม่หยุดจนไปถึงบ้านสามมู่
ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูดังจนคนในบ้านต้องรีบจุดตะเกียงเดินออกมาดู
“เกิดอะไรขึ้นอาฟง แล้วเจ้ารองไม่กลับมาด้วยเหรอ” มู่เฉาหมิงจุดตะเกียงหาความสว่าง พร้อมกับถือตะเกียงเดินออกมา เมื่อมองหาน้องชายตัวดีไม่เจอจึงได้เอ่ยถาม
“จื่อ...จื่อจ้ง อาจ้งโดนซ้อม ไม่รู้ตายไหม” หลังจากที่ยืนหอบไม่นาน เขาจึงเอ่ยตอบพี่ชายของสหาย นั่นทำให้ย่ามู่และทุกคนที่เดินตามมาต้องร้องเสียงหลงและตกใจแทบสิ้นสติที่ได้ยินว่าหลานชายโดนทำร้ายอาการปางตาย
“รีบนำทางไปสิ ป่านนี้อาจ้งเป็นยังไงบ้างไม่รู้” ย่ามู่ตวาดเสียงดัง เวลานี้เธออยากเห็นหลานชายใจจะขาด ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง
จากนั้นชายหนุ่มจึงรีบนำคนบ้านสามมู่ไปยังทิศทางที่มู่จื่อจ้งถูกทำร้ายทันที
นอกจากบ้านสามมู่แล้ว ชาวบ้านและบ้านอื่น ๆ ที่ได้ยินเสียงของอาฟงตะโกนว่ามู่จื่อจ้งตายแล้วต่างก็ออกมาดูยังที่เกิดเหตุเช่นกัน
“ใครกัน! ใครมันกล้าทำร้ายลูกชายฉันแบบนี้”
สะใภ้สามมู่รีบมาดูร่างของลูกชาย เมื่อเห็นว่าเขายังมีลมหายใจก็เบาใจขึ้นมาก่อนจะตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อสายตาปะทะเข้ากับบ้านรองมู่ที่ออกมาดูเหตุการณ์ จึงชี้หน้ามู่อันเหมยอย่างเกลียดชัง เพราะคิดว่าเรื่องนี้มู่อันเหมยอาจจะจ้างคนมาทำร้ายเพราะไม่ต้องการยกตำแหน่งงานให้
“เพราะหล่อน หล่อนนั่นแหละส่งคนมาทำร้ายอาจ้งของฉัน”
มู่อันเหมยทำหน้าเหมือนเห็นผี เมื่ออยู่ดี ๆ เรื่องก็ตกมาใส่หัวเธอ ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำการในหมู่บ้านมองมู่อันเหมยด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อนนะอาสะใภ้ อาสะใภ้สติยังดีหรือเปล่า หรือเพราะเห็นอาการของลูกชายเป็นแบบนี้สติเลยหลุด อยู่ดี ๆ ก็โยนคุกมาใส่หัวฉัน”
“เพราะหล่อน หล่อนคนเดียว” สะใภ้สามยังฟูมฟายไม่หยุด
ทำให้ชาวบ้านที่มองมาต่างส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ต่อให้มู่อันเหมยลูกสาวจากบ้านรองจะขี้เกียจและนิสัยไม่ค่อยดี แต่เรื่องทำร้ายคนปางตายเช่นนี้ก็ยังไม่มีใครเชื่อ
“ในขณะที่อาสะใภ้กำลังกล่าวหาฉัน ทำไมไม่พาลูกชายไปหาหมอก่อนเล่า เดี๋ยวตายขึ้นมาอาสะใภ้คงกล่าวหาว่าฉันเป็นฆาตกรอีก แล้วที่กล่าวหาฉันนี่ อาสะใภ้มีเหตุผลอะไรช่วยบอกหน่อยได้ไหม”
แทนที่จะให้ใครพาจื่อจ้งไปหาหมอก่อน แต่นี่กลับปล่อยให้เขานอนสลบแล้วมาโยนข้อหาให้เธอ สงสัยจะบ้าไปแล้ว