เมื่อมาถึงบ้านรองมู่ ทุกคนต่างก็เข้าบ้าน ปล่อยให้มู่อันเหมยยืนคุยกับเฉินหยางคุนต่อ
“เดินกลับดี ๆ นะพี่ใหญ่เฉิน มืดค่ำแล้ว แต่เดี๋ยวฉันเข้าไปเอาตะเกียงให้พี่ดีกว่า”
มู่อันเหมยเอ่ยขึ้นเมื่อคิดว่าเขาต้องเดินกลับมืด ๆ อีกทั้งเขายังไม่ถือตะเกียงมาด้วย เธอเลยคิดว่าควรจะเข้าไปเอาตะเกียงมาให้เขายืม
“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ผมเดินออกจะบ่อย ไม่มีอันตรายอะไรหรอก แต่…” เขาไม่ต้องการให้เธอเรียกเขาว่าพี่ใหญ่เฉิน เขาอยากให้เธอเรียกเขาว่าพี่หยางคุน เพราะมันดูไม่ห่างเหิน
ทว่าเมื่อเฉินหยางคุนคล้ายกับพูดไม่จบประโยค มู่อันเหมยได้แต่มองตาแป๋ว เพราะตั้งใจจะฟังประโยคถัดไปแต่กลับไม่มี
อาการและท่าทางของเธอดูน่าเอ็นดูในสายตาของเฉินหยางคุนยิ่งนัก เขาอยากคว้าตัวเธอมากอดเสียเหลือเกิน
“อ้าว…ทำไมไม่พูดต่อล่ะพี่ใหญ่เฉิน ฉันหรืออุตส่าห์ตั้งใจฟัง”
“เรียกพี่หยางคุนได้ไหม เรียกพี่ใหญ่เฉินมันไม่ดี”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะพี่ ใครเขาก็เรียกพี่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ” มู่อันเหมยคล้ายกับไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉินหยางคุนกล่าวมา
คนหนึ่งพูดน้อย อีกคนไม่เข้าใจ วันนี้จะคุยกับจบหรือไม่ นี่คือสิ่งที่คนแอบดูอย่างมู่เฟยหยวนต้องเกาหัวแกรก ๆ
เมื่อทนดูไม่ได้จึงเดินออกมาแล้วพูดแทน
“พี่ใหญ่เฉินที่น้องเรียกนั้น อยากให้เรียกพี่หยางคุน เพราะจะได้ดูสนิทสนมขึ้นหน่อย ส่วนเราน่ะอันเหมย อีกปีเดียวก็จะเป็นเจ้าสาวแล้ว ก็อย่าเรียกพี่หยางคุนอย่างห่างเหิน พี่ใหญ่เฉินนั้นควรให้คนนอกเรียก”
พูดจบมู่เฟยหยวนจึงเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้ง
หลังจากที่พี่ชายมาอธิบายประโยคของเฉินหยางคุนแล้วมู่อันเหมยจึงยิ้มกว้าง แม้ว่าเธอจะหัวดี แต่ก็ไม่ได้ฉลาดทุกเรื่อง อย่างเช่นเรื่องที่ขยายความในประโยคของชายตัวโตตรงหน้าพูด
“พี่อยากให้ฉันเรียกว่าพี่หยางคุนไม่ใช่พี่ใหญ่เฉินใช่ไหมคะ”
เฉินหยางคุนพยักหน้า ทว่าหูของเขาแดงเล็กน้อย หากเป็นกลางวันมู่อันเหมยคงเห็นแล้ว
“ได้ค่ะพี่หยางคุน แต่พี่ไม่ต้องแทนตัวว่าผม และไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหรอก มันดูห่างเหินเหมือนกัน นี่ก็ค่ำแล้ว พี่รีบกลับบ้านเถอะ อันตราย”
เธอไม่ได้ไล่ แต่นี่มันมืดแล้ว จะให้ยืมตะเกียงส่องทางก็ไม่เอา
อีกทั้งเธออยากจะเข้าไปคุยกับพี่ใหญ่ด้วยเรื่องที่บ้านสามมาขอยืมเงินบ้านเฉิน และต้องการตำแหน่งงานของเธอ แต่ไม่ว่าบ้านสามจะทำอย่างไร เธอไม่มีทางปล่อยตำแหน่งงานที่เธอมุมานะพากเพียรจนสอบเข้าได้หรอกนะ
“ครับ เหมยเหมยเข้าบ้านเถอะ พี่กลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยพบกัน”
เฉินหยางคุนกล่าวจบก็รีบหมุนตัวเดินจากไป หากมู่อันเหมยเห็นคงอดที่จะยิ้มไม่ได้ เพราะท่าทางของชายตัวโตเดินยิ้มไปตลอดทาง ก่อนจะทำทีเอามือล้วงเข้ากระเป๋าเสื้อแล้วหยิบไฟฉายในมิติออกมา จากนั้นจึงเดินไปยังทิศทางที่บ้านเฉินอยู่
ทางมู่อันเหมยก็เช่นกัน หลังจากที่หมุนตัวเข้าบ้านใบหน้าของหญิงสาวก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจนมู่เฟยหยวนต้องเอ่ยแซว
“หุบยิ้มบ้างก็ได้ อะไรทำให้เราเปลี่ยนใจยอมแต่งเข้าบ้านเฉิน”
เมื่ออยู่กันสองคนมู่เฟยหยวนจึงเอ่ยถามน้องสาวอย่างที่สงสัย
“ก็ไม่มีอะไรพี่ใหญ่ ฉันเห็นว่าพี่หยางคุนไม่ใช่คนเลวร้าย อีกทั้งเขาก็ช่วยเหลือครอบครัวเรามาตลอดไม่ใช่เหรอ หากฉันต้องแต่งงาน พี่หยางคุนก็น่าจะเป็นสามีที่ดีได้ พี่ว่าจริงไหม จริงสิ วันนี้ตอนที่ฉันอยู่บ้านเฉิน อาสะใภ้สามไปยืมเงินแม่พี่หยางคุนด้วยนะ พี่รู้ไหมว่าอาสะใภ้สามให้เหตุผลอะไรกับการขอยืมเงินครั้งนี้”
มู่อันเหมยคล้ายกับจะคิดได้ว่าจะคุยกับพี่ชายเรื่องอะไร จึงเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบัง และเชื่อว่าวันพรุ่งนี้บ้านสามย่อมต้องมาหาเรื่องแน่ ๆ
มู่เฟยหยวนมองหน้าน้องสาวสงบนิ่ง เรื่องนี้เขาคิดไว้แล้ว หากบ้านสามรู้ข่าวเรื่องอันเหมยสอบเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้ ต่อให้ต้องเสียเงินเพื่อเปลี่ยนคน บ้านสามยินดีที่จะทำ
“แล้วป้าสะใภ้เฉินว่าอย่างไรบ้าง”
“ป้าสะใภ้เฉินด่ากลับไปน่ะสิ แถมยังทวงเงินที่ค้างด้วย ฉันละสะใจนัก ป้าสะใภ้เฉินบอกว่าฉันไม่ต้องกังวล ท่านไม่ยอมให้เงินบ้านสามแน่ และยิ่งรู้ว่าบ้านสามต้องการเงินเพื่อไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ฝ่ายในโรงงานเพื่อขอเปลี่ยนชื่อจากฉันเป็นลูกชายบ้านสาม ป้าสะใภ้เฉินเลยไม่ให้”
มู่อันเหมยเล่าให้พี่ชายฟังทั้งหมดเรื่องที่เธอพบเจอมา ทว่าเธอยังมีความกังวลเล็กน้อย หากปู่กับย่าออกหน้า แล้วอ้างเรื่องความกตัญญูล่ะ แต่ชาติก่อนเธอยังผ่านมาได้ ชาตินี้เธอก็ต้องทำได้เหมือนกัน
“ในเมื่อบ้านเราไม่ยอมเสียอย่าง ปู่กับย่าทำอะไรไม่ได้หรอก อย่าลืมสิว่าบ้านเรากับบ้านปู่แยกบ้านกันแล้ว ที่สำคัญเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาที่ส่งอาหาร อันเหมยไม่ต้องเป็นกังวล แต่พี่ถามหน่อยสิ มั่นใจแล้วใช่ไหมเรื่องพี่หยางคุน หากน้อง…”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล เรื่องแต่งงานกับพี่หยางคุนฉันเองที่ตัดสินใจ และครั้งนี้ไม่ใช่เพราะสมองฉันกระทบกระเทือนแน่ เริ่มมืดแล้วรีบเข้าบ้านดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้า”
มู่อันเหมยยิ้มกว้างก่อนจะเดินคล้องแขนพี่ชายเข้าบ้าน ใบหน้าของมู่เฟยหยวนประดับไปด้วยรอยยิ้ม ภาพของสองพี่น้องเดินหยอกล้อกันเข้าบ้าน ทำให้สามคนที่อยู่ในบ้านพลอยยิ้มตาม
ทางด้านบ้านสามมู่ สะใภ้สามเดินหน้าบึ้งเข้ามาทำให้ย่ามู่ต้องถามด้วยความสงสัยและคิดว่าแค่ไปยืมเงินบ้านเฉินทำไมต้องทำหน้าเช่นนั้นตอนกลับมา
“สะใภ้สาม หล่อนเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น หรือบ้านเฉินไม่ยอมให้ยืมเงิน”
“ก็ใช่น่ะสิแม่ แม่รู้ไหมว่านอกจากบ้านเฉินไม่ให้ยืม ยังทวงเงินของเก่าอีก และที่สำคัญฉันเห็นอันเหมยอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ใช่อันเหมยปฏิเสธการแต่งงานมาตลอดเหรอ”
“หล่อนแน่ใจเหรอว่านังอันเหมยอยู่ที่บ้านเฉิน หรือว่านังเด็กนั่นมันยอมแต่งเข้าบ้านเฉินจริง ๆ” ย่ามู่ย้อนถามกลับเมื่อคิดถึงสาเหตุที่มู่อันเหมยไปที่บ้านเฉิน
“เรื่องนี้ฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ พี่สะใภ้เฉินพูดว่าเด็กนั่นคือว่าที่ลูกสะใภ้และหากแต่งงานเมื่อไหร่เธอจะวางมือให้สะใภ้จัดการเรื่องเงินและเรื่องทุกอย่างในบ้าน
จริงสิแม่ นังอันเหมยไม่ยอมยกงานที่โรงงานให้เจ้ารองของฉัน แล้วแบบนี้เราจะทำอย่างไร หากนังอันเหมยไม่ยอมเซ็นชื่อเราก็ไม่มีทางแย่งงานมาได้นะคะ”
เรื่องอื่นเธอยังไม่กังวล แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือชามข้าวเหล็กที่ครอบครัวเธอควรจะได้ บรรดาโรงงานทั้งหมด มีโรงงานยาสูบนี่แหละที่สวัสดิการดีที่สุด นอกจากเงินเดือนเริ่มต้นยี่สิบห้าหยวนแล้ว ยังมีคูปองอาหารและคูปองอื่น ๆ ให้อีก หากลูกชายเธอได้งานนี้ รับรองบ้านสามสบายไปตลอดและไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่อีกเลย
“แล้วเวลานี้บ้านรองอยู่ที่ไหนกัน” ย่ามู่เมื่อรู้ว่าชามข้าวเหล็กบ้านสามจะไม่ได้ก็โมโหขึ้นมา คิดจะไปจัดการกับบ้านรองด้วยตนเอง ทว่ากลับได้ยินเสียงปู่มู่ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เธอจะอะไรกับลูกมากมายหรือ จะบ้านใหญ่ บ้านรอง หรือบ้านสามก็ลูกเหมือนกัน อันเหมยได้งานในโรงงาน เธอควรจะดีใจที่หลานได้ดี ไม่ใช่คอยแต่จะเอารัดเอาเปรียบหลาน”
ปู่มู่กล่าวขึ้นมา เขารู้สึกว่านับวันภรรยาของเขาจะไม่เหมือนเดิม เขาไม่เห็นด้วยตั้งแต่เรื่องที่ให้ลูกชายคนโตแยกบ้านออกไปพร้อมกับบ้านรองแล้ว เพียงแต่ไม่อยากขัด จึงหลับตาข้างหนึ่งเสมอมา ไม่คิดว่านานวันเข้าภรรยาของตนนั้นจะยิ่งมีความคิดแปลกประหลาดขึ้นทุกวัน
“หากไม่คิดจะสนับสนุนคุณไม่ต้องเสนอความคิดเห็น เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ย่ามู่หันกลับมาตอบสามีด้วยความไม่พอใจ เธอไม่ได้ขอความคิดเห็นเสียหน่อย
ปู่มู่เดินจากมาพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา หากเขามีความเด็ดขาดกว่านี้ลูกอีกสองคนคงไม่อยู่อย่างลำบาก