“อืม ร่างกายหายแล้วใช่ไหม เข้าอำเภอไหวหรือเปล่า” เฉินหยางคุนคล้ายกับคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงเอ่ยถาม
“หายแล้วค่ะ ว่าแต่พี่จะเข้าอำเภอกับฉันเหรอ แล้วไปทำไม”
“รออยู่ที่นี่นะเดี๋ยวมา ผมขอไปลางานที่คอมมูนและไปเอาจักรยานก่อน”
หากรอเกวียนคงต้องรออีกสักพักใหญ่ เพราะเกวียนเที่ยวนี้เพิ่งออกไปได้ไม่นาน หากต้องเดินไปเขากลัวว่าร่างบอบบางของมู่อันเหมยจะไม่ไหวเอา เพิ่งจะหายป่วยด้วย
ดังนั้นปั่นจักรยานไปจึงดีที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องชายหญิงที่ไม่ควรใกล้ชิดเพราะยังไม่แต่งงานเขาไม่สนใจ ในเมื่อเขาและมู่อันเหมยมีสัญญาหมั้นหมายกัน และเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ในเมืองคงไม่เรียกตรวจเอกสารกับเขา!
เฉินหยางคุนเลือกที่จะไม่ตอบ แต่บอกให้เธอรออยู่ที่นี่แทน ส่วนเขาหมุนตัวเดินกลับไปยังคอมมูนทันที
“เฮ้อ…ไม่คิดจะเอาคำตอบเลยใช่ไหม คนอะไรจะประหยัดคำพูดได้ขนาดนั้น ว่าแต่เข้าอำเภอเหรอ…ฉันต้องเปลี่ยนชุดไหม”
มู่อันเหมยพึมพำกับตนเอง แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ใส่ดูเก่าจนเกินกว่าจะไปในเมืองได้ เธอจึงเลือกที่จะกลับเข้าไปในห้องของตนเอง เพื่อเปลี่ยนชุดและแต่งหน้าเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาจะพาเข้าอำเภอทำไม หากมอมแมมไปคงไม่ดีแน่
ระหว่างเดินกลับคอมมูนเฉินหยางคุนเจอใครบางคนส่งยิ้มให้ ทว่าชายหนุ่มไม่สนใจ เดินมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ต้องการ ทำให้หญิงสาวคนนี้ได้แต่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
“ทำเป็นหยิ่ง ฉันหรืออุตส่าห์ยิ้มให้ คนอะไรช่างไร้ไมตรี ใบหน้ามีแต่ความเย็นชา”
หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลานสาวฝ่ายภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อเพ่ยหลัน เธอเพิ่งเข้ามาอยู่หมู่บ้านนี้ได้เพียงปีกว่าและรับรู้ว่าบ้านเฉินนั้นพอมีฐานะ และยังมีเงินจากถูกใส่ความอีกหลายพันหยวน ทำให้เพ่ยหลันหมายมั่นไว้ว่าตนเองจะแต่งเข้าบ้านนี้ให้ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าบ้านเฉินและบ้านรองมู่มีสัญญาหมั้นหมายกัน
“หล่อนจะโวยวายทำไม ยังไม่ชินกับพี่ใหญ่เฉินอีกเหรอ” มู่ลี่จางเอ่ยแกมสัพยอก สหายของเธอช่างตาถึงจริง ๆ ชอบใครไม่ชอบกลับชอบลูกชายบ้านเฉิน
“หล่อนไม่ต้องมาเยาะเย้ยฉันเลยนะลี่จาง ไม่ใช่ว่าหล่อนเองไม่ถูกกับญาติผู้น้องบ้านรองเหรอ ยายอันเหมยนั่นน่ะ”
“แล้วยังไง ต่อให้ฉันไม่ชอบอันเหมยเพราะนิสัยของเธอ แต่ทว่าพ่อและอารองไม่ได้เกลียดหรือทะเลาะกันเสียหน่อย ทำไมฉันต้องมีปัญหากับบ้านรองด้วยล่ะ หากเป็นบ้านสามก็ว่าไปอย่าง”
น่าแปลกไหม ที่บ้านสามได้อยู่บ้านปู่ แต่บ้านใหญ่และบ้านรองกลับต้องแยกบ้านออกมาแทน ยิ่งคิดยิ่งโมโห
เฉินหยางคุนเดินเข้ามาสำนักงานของคอมมูนเพื่อมาขอพบหัวหน้า จากนั้นจึงขอลาหยุด
“วันนี้ฉันลาหยุดนะ นายมีปัญหาอะไรไหม”
“ฉันจะกล้ามีปัญหากับนายได้อย่างไรอาคุน นายเป็นทั้งสหายและคนสนับสนุนคอมมูนแห่งนี้ยามที่อาหารที่ภาครัฐแบ่งจ่ายมาไม่เพียงพอ ฉันจะกล้ามีปัญหาหรือไง” ต้านหม่าเจินตวัดสายตามองค้อนสหาย
ใช่แล้ว เขาและหยางคุนเป็นสหายร่วมรบ และสี่ปีที่แล้วเขาได้ปลดประจำการกลับไปอยู่บ้านเพราะบาดเจ็บ จึงไม่รู้เรื่องที่สหายถูกใส่ร้าย ทว่าเขาได้มาอยู่ที่คอมมูนแห่งนี้โดยอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าก็เพราะสหายคนนี้ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าทำไมหยางคุนจึงมีอาหารมากมายมาสนับสนุน ไม่เพียงแค่คอมมูนของเขาเท่านั้น
แต่รวมไปถึงกองทัพของเมืองนี้ที่หยางคุนเป็นตัวแทนจัดหาอาหารให้อย่างไม่ขัดสน ทำให้ท่านนายพลหลี่เอ็นดูสหายของเขาคนนี้ไม่น้อย และคิดที่จะมอบตำแหน่งให้
ทว่าเรื่องนี้เฉินหยางคุนปฏิเสธ และพูดว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นทหารอีก ในเมื่อตัวเขายังทำผิดโดยการหาอาหารมาขายให้กองทัพยามขัดสน แล้วเขาจะรักษากฎหมายได้อย่างไร
เรื่องนี้เขารู้ดีว่าเป็นเพียงข้ออ้าง เฉินหยางคุนนั้นมีบางอย่างที่เขาและใครหลายคนเข้าไม่ถึง แต่ไม่ว่าเบื้องหลังของเฉินหยางคุนจะเป็นอย่างไร สำหรับเขาเฉินหยางคุนคนนี้เป็นทั้งสหายและผู้มีพระคุณที่ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะตอบแทนหมดหรือไม่
เฉินหยางคุนกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินสหายกล่าวเช่นนั้น
“คราวนี้ลางานจะไปไหนล่ะ”
“จะเข้าอำเภอ พาอันเหมยไปซื้อของใช้จำเป็น อีกสามวันต้องไปทำงานที่โรงงานยาสูบแล้ว”
คราวนี้ต้านหม่าเจินทำหน้าเหมือนเห็นผี พร้อมกับเอานิ้วแหย่หูคล้ายกับว่าตนเองฟังผิดไป
“นายญาติดีกับลูกสาวบ้านรองมู่แล้วเหรอ ไหนก่อนหน้านี้เธอตั้งท่ารังเกียจนายแทบไม่อยากเฉียดใกล้ หรือข่าวที่เธอล้มหัวฟาดเมื่อวานเป็นเรื่องจริง วันนี้สมองเลยได้รับความกระทบกระเทือน”
“อืม”
คำตอบเดียวที่ได้รับกลับมา ทำให้ต้านหม่าเจินเข้าใจทุกอย่าง อย่างน้อยเขาก็มีหวังได้เห็นสหายแต่งงานในอนาคตอันใกล้นี้
เฉินหยางคุนเดินออกมาจากสำนักงานก็มุ่งหน้าไปที่แปลงงาน ก่อนจะใช้สายตากวาดมองจนพบกับร่างของมู่เฟยหยวน จากนั้นจึงเดินไปแจ้งเรื่องจะพามู่อันเหมยเข้าอำเภอไปซื้อของใช้ในการทำงาน
มู่เฟยหยวนทำเพียงพยักหน้ารับ เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงการบอกกล่าวให้รับรู้ ไม่ใช่มาขออนุญาต หากทั้งสองไม่มีสัญญาหมั้นหมายกัน เขาคงไม่ปล่อยให้ชายใดเข้าใกล้น้องสาวแน่
ทว่าเพื่อสร้างความใกล้ชิดให้กับทั้งสองคนเผื่ออันเหมยจะใจอ่อน โดยที่พี่ชายอย่างมู่เฟยหยวนไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนนั้นตกลงกันเรียบร้อยแล้ว
หลังจากจัดการสิ่งที่ควรทำแล้ว เฉินหยางคุนจึงกลับมายังบ้านเฉินเพื่อเอาจักรยานไปรับมู่อันเหมย นางอี่หนิงเห็นเข้าจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“จะไปไหนเหรออาคุน เข้าในเมืองอีกแล้วเหรอ ระวังตัวหน่อยนะลูก”
“ครับแม่”
“ผมจะเข้าในเมืองหน่อยครับแม่ อีกสามวันอันเหมยจะเริ่มงานวันแรก ผมเลยคิดจะพาเธอไปซื้อของใช้ครับ”
เฉินหยางคุนใช้น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนักเมื่อพูดคุยกับแม่ของตน
“ลูกว่าอะไรนะ ลูกจะเข้าเมืองไปกับใครนะ” นางอี่หนิงคล้ายกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอตกข่าวเรื่องอะไรหรือไม่ หรือว่าเธอได้ยินอะไรผิดไป
“ผมจะเข้าเมืองพาอันเหมยว่าที่ภรรยาเข้าเมืองครับแม่” ใบหน้าที่มักจะเย็นชายิ้มให้แม่อย่างอ่อนโยน ก่อนจะย้ำถึงสถานะของเขาและมู่อันเหมยอีกครั้งให้มารดาได้ยิน
“อย่าพูดอย่างนั้นเชียว อันเหมยยังไม่รับปาก ลูกพูดแบบนั้นน้องจะเสียหาย” บ้านรองมู่และบ้านเฉินล้วนสนิทกันตั้งแต่รุ่นพ่อ อย่าทำให้มาผิดใจกันเพราะรุ่นลูกเลย
“ใครบอกแม่ล่ะครับว่าผมกับอันเหมยยังไม่ตกลงกันเรื่องแต่งงาน น้องขอเวลาทำงานหนึ่งปีครับ หลังจากนี้หนึ่งปีแม่ได้ลูกสะใภ้แล้วนะครับ”
“จริงเหรอ อาคุนไม่หลอกแม่ใช่ไหม”
นางอี่หนิงดีใจอย่างมาก เธอกังวลเรื่องนี้มานานแล้ว กลัวว่าลูกสาวบ้านรองมู่จะไม่ยอมแต่งเข้าบ้านเฉิน ไม่คิดว่าลูกชายของเธอจะได้รับคำตอบมาแล้ว
“จริงครับ น้องเพิ่งคุยกับผมก่อนหน้านี้ไม่นาน สายแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ ว่าแต่อาหารบ้านเราใกล้จะหมดหรือยังผมจะได้ซื้อเข้ามา”
ในเมื่อต้องเข้าเมือง เขาเลยถามถึงอาหารที่เหลือว่ามีพอไหม อย่างน้อยเขาจะได้มีข้ออ้าง เมื่อต้องเติมอาหารหรือของใช้เข้าบ้าน
“ยังมีอยู่ลูก อาคุนรีบไปเถอะ เดี๋ยวน้องจะรอนาน”
นางอี่หนิงรีบเร่งลูกชาย เธอกลัวว่ามู่อันเหมยจะรอนาน และวาดหวังว่าอีกหนึ่งปีหยางคุนของเธอคงจะมีความสุขเสียที ไม่ใช่เธอไม่รู้ว่าในใจของลูกชายมีมู่อันเหมยเพียงคนเดียวเท่านั้น