“ทำไมถึงตื๊อไม่เลิกเช่นนี้นะ”
เฉ่าเหมยกระชากมือกลับ แต่เยว่เฉิงก็ไม่ยอมปล่อย ทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมาสักพัก เยว่เฉิงก็ตัดสินใจปล่อยมือซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เฉ่าเหมยกระชากมือตนออกเต็มแรง
“กรี๊ด!” เฉ่าเหมยล้มก้นจ้ำเบ้า นางหันขวับจ้องเยว่เฉิงด้วยความโกรธ “พระองค์แกล้งหม่อมฉัน!”
เยว่เฉิงยักคิ้วหลิ่วตา “เปล่าเสียหน่อย”
อีกแล้ว! ปากบอกชอบแต่การกระทำนั่นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นี่เป็นวิธีการจีบหญิงของชนชั้นสูงหรืออย่างไร
เฉ่าเหมยลุกขึ้นปัดกระโปรง แววตาเจ้าเล่ห์เหลือบมองเยว่เฉิงแวบหนึ่งก็พุ่งตัวเข้าไปผลักเขาหวังจะให้ตกลงไปในลำธาร แต่กลับกลายเป็นว่าถูกเยว่เฉิงกระชากตัวลงไปในน้ำด้วยเสียอย่างนั้น
“ไท่จื่อ!” เฉ่าเหมยตีน้ำใส่ “ทรงแกล้งหม่อมฉันอีกแล้ว!”
“เจ้าคิดแกล้งข้าก่อนนะ” ตอบพลางหัวเราะชอบใจ
เฉ่าเหมยขุ่นเคืองเต็มที่ ขณะเห็นเยว่เฉิงกำลังลุกขึ้นจากน้ำ นางก็รีบตรงเข้าไปฉุดตัวเขา แย่งที่จะขึ้นจากน้ำก่อน
เยว่เฉิงที่เห็นว่าเจ้าซุกซนอยากจะเอาชนะเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็ไม่ยอมง่ายๆ เขายกตัวเฉ่าเหมยขึ้นแล้วเดินลงไปยังจุดที่น้ำลึกขึ้น
“ทะ...ไท่จื่อ จะทรงทำอะไร ปล่อยหม่อมฉันลงนะ”
“อากาศร้อน ไปว่ายน้ำเล่นกัน”
“ไม่เอา! หม่อมฉันไม่อยากว่ายน้ำ”
ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ เยว่เฉิงตัวสูงใหญ่ ออกแรงเพียงนิดเฉ่าเหมยก็ต้านไม่ไหวแล้ว นางก้มมองระดับที่เพิ่มขึ้นจนเท้าแทบยืนไม่ติดพื้น ความกลัวทำนางหน้าซีดรีบกอดก่ายบุรุษไม่ให้ปล่อยตน
“นี่! ข้าหายใจไม่ออก”
“พระองค์ก็พาหม่อมฉันกลับสิ!”
“เจ้าจะได้หาเรื่องเอาชนะข้าน่ะสิ”
ความกลัวเพิ่มมากขึ้น เฉ่าเหมยเริ่มร้องไห้ออกมา นางซุกหน้าลงกับไหล่ของเยว่เฉิง เนื้อตัวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร
“เฉ่าเหมย เจ้าเป็นอะไร”
เยว่เฉิงที่ตกใจก็รีบหมุนตัวกลับพาหญิงสาวขึ้นฝั่งโดยเร็ว แม้จะถึงฝั่งแล้วเฉ่าเหมยก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ นางกอดเยว่เฉิงร้องไห้เหมือนเด็ก เยว่เฉิงต้องลูบหลังปลอบอยู่นานกว่าหญิงสาวจะสงบลง
“ไม่เป็นไรนะ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านเอง” เยว่เฉิงกระซิบเสียงอ่อนโยน ในใจร้อนรนไม่รู้ว่าเฉ่าเหมยจะกลัวน้ำเพียงนี้ หากรู้ก่อนเขาคงไม่คิดแกล้งนาง
…………..
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ถานเทียนสวี่ตวาดลั่นทันทีที่เห็นบุตรสาวถูกอุ้มกลับมาในสภาพเปียกปอน
“ความผิดข้าเอง ขอใต้เท้าอภัยด้วย” เยว่เฉิงเอ่ยอย่างรู้สึกผิด ขณะถานเทียนสวี่ตรงเข้ามารับตัวเฉ่าเหมยไป
บุรุษตวัดสายตามองเยว่เฉิงอย่างขุ่นเคือง ชั่วขณะนั้นคล้ายหลงลืมไปว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าคือองค์ชายรัชทายาท
“เกิดอะไรขึ้น! เหมยเหม่ยลูก” หวงสือหลิววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดูบุตรสาว พร้อมสั่งให้สาวใช้รีบไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการ
“ข้าจะพาลูกไปที่เรือนเอง” ถานเทียนสวี่บอก หางตาเหลือบมองเยว่เฉิงแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบากับหวงสือหลิว “เจ้าช่วยรับหน้าแทนที มิเช่นนั้นข้าคงอดไม่ได้ที่จะต่อยหน้าเขา”
หวงสือหลิวผงกศีรษะ ก่อนจะเอ่ยเชิญเยว่เฉิงเข้าไปพักที่เรือนด้านใน “บุตรสาวหม่อมฉันกลัวน้ำมาตั้งแต่เด็กเพคะ แม้โตขึ้นมาจะเริ่มคลายความกลัวลงได้บ้าง แต่ก็ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”
“ทำไมนางถึงกลัวน้ำมากเพียงนี้ ถานฮูหยินบอกได้หรือไม่”
หวงสือหลิวสูดลมหายใจ “เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว หม่อมฉันไม่อยากรื้อฟื้นเพคะ”
เยว่เฉิงพยักหน้าเข้าใจ “เช่นนั้นมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“ไท่จื่อหมายถึงอะไรเพคะ”
“ในภายหน้าพวกเราจะได้เกี่ยวดอง ข้าจำต้องรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับพระชายาข้า เป็นต้นว่า นางชอบอะไร ไม่ชอบอะไร กลัวอะไร หรือเกลียดสิ่งไหน”
ใบหน้าหวงสือหลิวเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที นางยืดตัวตรง กระแอมหนึ่งทีก่อนเอ่ย “หวงไท่จื่อเพคะ หม่อมฉันขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่”
เยว่เฉิงผายมือเชิญ
“ทำไมต้องเป็นเหมยเหม่ยเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบว่าบุตรสาวหม่อมฉันไม่ประสงค์จะอยู่ในวัง อีกทั้งไม่แสวงหาลาภยศหรือความก้าวหน้า”
ถึงใจจะรู้สึกกลัวที่ต้องเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา แต่เพื่อความสุขของเฉ่าเหมย หวงสือหลิวจำต้องงัดความกล้าของตนออกมา
“ฮูหยินไม่คิดบ้างเหรอว่าข้าหาได้มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าชอบที่จะอยู่กับเฉ่าเหมย”
หวงสือหลิวชะงักไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจนัก “หวงไท่จื่อ ท่านเป็นว่าที่ประมุขคนต่อไปของแคว้น การกระทำของพระองค์ล้วนต้องมีเหตุผล จะบอกว่าเพราะชอบพอเหมยเหม่ยจึงอยากแต่งกับนางอย่างนั้นหรือ”
การเกี่ยวดองกับตระกูลขุนนาง มิอาจทำได้ตามอำเภอใจ มันเกี่ยวพันถึงอนาคตในการขึ้นครองราชย์และความมั่นคงของราชวงศ์ หากไม่แต่งกับตระกูลที่ช่วยส่งเสริม ก็ไม่มีประโยชน์จะต้องข้องเกี่ยวกัน
แต่กลับกลายเป็นว่า เยว่เฉิงไม่ได้ตอบคำถามนางมากไปกว่า “ข้าชอบบุตรสาวท่านจากใจจริง”
หวงสือหลิวจ้องเข้าไปในดวงตาดำขลับที่ไร้ซึ่งการเสแสร้งนั่นก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
องค์ชายผู้นี้... มีหัวใจที่เด็ดเดี่ยวและซื่อตรงนัก แต่แค่ความรักเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอจะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่นได้หรอกนะ
ตกดึกในวันเดียวกัน หวงสือหลิวเข้าไปดูอาการเฉ่าเหมยที่คล้ายจะดีขึ้นมากแล้ว นางช่วยบุตรสาวผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และสางผมให้อย่างทุกที
“ท่านแม่ ท่านได้คุยอะไรกับไท่จื่อหรือเพคะ” เฉ่าเหมยเอ่ยถาม
“แม่เตือนเขา ไม่ให้เขาแกล้งพาเจ้าลงน้ำอีก”
“ท่านแม่ควรบอกเขาไม่ให้เข้าใกล้ข้า”
หวงสือหลิวยิ้มบาง “ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก เขาเป็นองค์ชาย อนาคตก็จะได้เป็นเจ้าของแผ่นดิน อำนาจของเขามีมากเกินสกุลถาน”
เหมือนเฉ่าเหมยจะรู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูด “ท่านแม่ ท่านรู้ว่าลูกมีคนในใจใช่หรือไม่”
หวงสือหลิวนิ่งไปก่อนจะวางหวีในมือลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจครึ่งไม่สบายใจครึ่ง “เหมยเหม่ย ชั่วชีวิตนี้แม่ปรารถนาให้เจ้าและน้องๆ มีความสุข แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต แม่ก็ยอมได้ เพียงแต่...แม่กลัวว่าแค่ชีวิตแม่ก็ไม่อาจปกป้องเจ้า”
“ท่านแม่” เฉ่าเหมยหมุนตัวกลับมาสวมกอดมารดา “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านแม่เสียสละตัวเองเพื่อข้า”
หลายปีมานี้เฉ่าเหมยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย นั่นก็เพราะได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่จากทั้งถานเทียนสวี่และหวงสือหลิว นางไม่เคยลืมบุญคุณของบุพการี อีกทั้งความสุขที่ได้รับก็มากเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยนะ พักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงก่อนดีกว่านะ”
หวงสือหลิวส่งเฉ่าเหมยเข้านอนแล้วจึงเดินกลับมาที่เรือน เห็นถานเทียนสวี่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือก็เดินเข้าไปโอบคอเขาจากทางด้านหลัง “ท่านพี่ ยังไม่หายโมโหอีกหรือ”
“ทำกับเฉ่าเหมยขนาดนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะวางใจให้นางไปอยู่กับคนแบบนั้นหรือ”
“คนแบบนั้นที่ท่านพี่พูดถึงคือหวงไท่จื่อนะ”
“ข้ารู้...” เสียงของบุรุษอ่อนลง เขาลูบแขนภรรยาแล้วดึงนางมานั่งลงบนตัก “อีกไม่นานจะถึงวันฉลองพระชนมายุขององค์ฮ่องเต้ ประจวบกับตอนนี้ที่ชายแดนไร้สงคราม การเพาะปลูกก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น ข้าจึงคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ยื่นขอร้องให้พระองค์ทรงยกเลิกงานหมั้น”
“ท่านพี่ ทำเช่นนี้จะดีหรือ”
“ต่อให้ต้องแลกด้วยตำแหน่งขุนนางข้าก็ยอม”
เพื่อความสุขของลูก ผู้เป็นพ่ออย่างเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้จะต้องสูญเสียอำนาจ เงินทอง หรือความก้าวหน้าในหน้าที่การเงิน ถานเทียนสวี่ก็พร้อมสละด้วยความเต็มใจ
หวงสือหลิวรับรู้ถึงความรู้สึกของชายหนุ่ม อีกทั้งรู้ว่าเขายังมีเรื่องกังวลในใจ “ฝีมือการปักผ้าของข้าก้าวหน้าไปมาก สตรีหลายนางจากจวนขุนนางล้วนกล่าวชื่นชม หากพวกเราย้ายกลับไปอยู่หมู่บ้านเดิม ข้าอาจไปขอทำงานที่ร้านเถ้าแก่เนี้ยหลีจิ้งได้”
“เจ้าจะไม่ลำบากหรือ”
“ไม่ลำบาก ขอแค่ครอบครัวเราอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ย่อมดีที่สุดแล้ว”
สองสามีภรรยาโอบกอดกันอย่างเข้าใจ ใช่ว่าพวกเขามิเคยผ่านพ้นความยากลำบาก ในอดีตนั่นเรียกว่าสร้างตัวจากสองมือเปล่า[1]เสียด้วยซ้ำ หากต้องกลับไปอยู่ในจุดเดิมก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไร
ทว่าสตรีที่แอบฟังอยู่นอกเรือนกลับไม่เห็นด้วย นางไม่อาจทนเห็นสิ่งที่บิดาสร้างมาต้องพังครืนลงเพราะตน มารดานั่นก็ลำบากตรากตรำทำงานหนักมาค่อนชีวิตแล้ว สมควรจะได้พักผ่อนอย่างสุขสบายเสียที
ไหนเลยจะยังมีน้องสาวและน้องชายอีกตั้งสองคนต้องดูแล
เฉ่าเหมยปาดน้ำตาแล้วเดินไปทางเรือนของเฉ่าลู่และเทียนตี้ ได้ยินเสียงหัวเราะหยอกล้อกับพวกแม่นมก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
นางไม่อาจเห็นแก่ความสุขของตัวเองกระทั่งเบียดเบียนความสุขของคนในครอบครัวได้
รุ่งเช้านั่น เฉ่าเหมยคิดอยากจะไปพูดคุยกับบิดาเรื่องงานหมั้นหมาย บางทีหากนางทูลบอกฮองเฮาเฟยอวี่โดยตรงจะมีโอกาสมากกว่าหรือไม่ ฮองเฮาเป็นสตรีเหมือนกันกับนาง อีกทั้งยังรักเฉ่าเหมยเหมือนธิดาของพระองค์ ไม่แน่ว่าอาจจะทรงเข้าใจความรู้สึกของเฉ่าเหมยในตอนนี้ก็ได้
“ท่านแม่ทัพไม่ลองคิดดูอีกทีจริงๆ หรือ ผลประโยชน์มหาศาลนัก ท่านและครอบครัวจะได้สุขสบายไปทั้งชาติเลยนะ”
ก่อนเฉ่าเหมยจะเปิดประตูเข้าไป พลันได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งดังลอดออกมา นางจึงยั้งมือและเงี่ยหูฟังแทน
“เงินที่ได้มาโดยวิธีสกปรกเช่นนั้น ข้าไม่อาจรับไว้ได้จริงๆ” ถานเทียนสวี่ตอบเสียงเย็น
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปสิ เอาไว้ลองคิดสักคืน..."
“ไม่ว่าจะวันพรุ่งนี้หรือวันไหนๆ คำตอบของข้าก็ยังเหมือนเดิม”
เสียงของตกแตกทำเฉ่าเหมยสะดุ้งตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงด่าทอด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
“แค่ฝ่าบาทโปรดเข้าหน่อยก็มองข้ามหัวข้าแล้วงั้นรึ! หรือเพราะบุตรสาวตัวเองจะได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทเลยจองหองทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งหรือไง!"
ชายผู้นั้นตวาดด่าอีกสองสามประโยคก็กระทืบเท้าออกจากเรือนไป โชคดีที่เฉ่าเหมยรีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังเสาได้ทัน นางมองตามชายที่สวมใส่ชุดผู้ดีมีตระกูล ทว่าลักษณะการเดินแปลกพิลึกนัก
เฉ่าเหมยเดินเข้าไปในเรือน เห็นถานเทียนสวี่นั่งดื่มชาอย่างไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อครู่ก็นึกแปลกใจ “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือ แล้วคนผู้นั้นคือใครเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ความเห็นไม่ลงรอยกันนะ”
“คนผู้นั้นคือใครเจ้าคะท่านพ่อ” เฉ่าเหมยถามซ้ำ
“คุณชายอวี้เจินหยาง ญาติผู้น้องของฮองเฮา”
ทุกครอบครัวล้วนมีพวกไม่อยู่กับร่องกับรอยหรือมีความคิดขวางโลกด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งกับตระกูลใหญ่ที่มีสมาชิกแตกแขนงราวรากของต้นไม้ด้วยแล้ว คนที่ทำตัวเป็นรากเน่ายิ่งเยอะตาม
เป็นต้นว่า อวี้เจินหยาง ชายหนุ่มที่ขาพิการมาแต่กำเนิด ถูกดูแคลนและมองข้ามจากครอบครัว กระทั่งต้องการเอาชนะและล้างแค้นเหล่าผู้คนที่เคยเย้ยหยันดูแคลนตน โดยไม่คำนึกถึงวิธีการหรือศีลธรรมความดีแต่อย่างใด
...............................................................................
สร้างตัวจากสองมือเปล่า[3] = การสร้างฐานะจากความยากจน ไม่มีเงิน ไม่มีทุน มีแต่แรงกายและแรงใจ