“เหตุใดไม่ได้!” อวี้เจินหยางปัดขนมที่นางกำนัลยกมาให้ตกกระจายเต็มพื้นห้อง
ฮองเฮาเฟยอวี่ได้แต่ส่ายพระพักตร์อย่างระอา ก่อนรับสั่งให้นางกำนัลทั้งหมดออกไป เมื่อประตูตำหนักปิดลง นางก็ตวัดสายตาดุมาทางบุรุษเอาแต่ใจ
“อวี้เจินหยาง ปีนี้อายุของเจ้าก็ขึ้นเลขสี่แล้ว เหตุใดยังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก หรือสมองของเจ้าไม่ได้โตตามอายุเลยหรืออย่างไร”
ยามปกติฮองเฮาเฟยอวี่เป็นสตรีสุภาพอ่อนโยน กล่าวว่าน้ำพระทัยใสดุจน้ำค้างยามเช้า สามารถสยบสนมร้ายกาจทุกนางได้ด้วยความดีจากภายใน เว้นเสียแต่ต้องเผชิญหน้ากับญาติผู้น้องจอมโอหัง
“วันพรุ่งนี้เป็นฤกษ์ดี จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อฝ่าบาท แต่เจ้ากลับมาร้องโวยวายอยู่ที่ตำหนักข้าเช่นนี้มันใช้ได้หรือ!”
“ท่านพี่ก็รับปากข้าสิ รับปากว่าจะทูลขอตำแหน่งขุนนางจากฮ่องเต้ให้ข้า”
“ตำแหน่งขุนนางใช่สิ่งที่จะร้องขอกันง่ายๆ เสียเมื่อไร”
อวี้เจินหยางเชิดปาก “เพราะท่านเห็นข้าพิการขาเป๋ใช่หรือไม่ พวกท่านเลยพาลกันรังเกียจข้า!”
“เหลวไหลใหญ่แล้ว ทั้งข้าและสกุลอวี้หาได้คิดรังเกียจเจ้าเลย เป็นเจ้าต่างหากที่ทำตัวเอง” มือเรียวเล็กยกขึ้นนวดขมับของตน
“เจินหยาง หากเจ้าแสดงให้ข้าเห็นถึงความพยายามสักนิด บางทีข้าอาจเห็นใจแล้วออกหน้าแทนเจ้าได้ แต่นอกจากเจ้าจะคร้านการเรียนแล้ว พฤติกรรมยังย่ำแย่ ถามจริงเถิด เจ้ามีคุณสมบัติใดคู่ควรต่อการเป็นขุนนางบ้าง”
ฮองเฮาเฟยอวี่ไม่ต้องการให้น้องชายยกเอาความพิการของตนมาเป็นข้ออ้างเพื่อเรียกหาความสงสารหรือเห็นใจ พระนางเชื่อเสมอว่าหากคนเรามีความพยายาม แม้จะยากเย็นแค่ไหน สักวันก็จะต้องมองเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่อวี้เจินหยางทำมีเพียงเลี้ยงร้องขอ มิเคยพยายามด้วยตัวเองเลยสักครั้ง
“ท่านก็แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองฟังขึ้นก็เท่านั้น! ข้าสู้อุตส่าห์คิดว่าท่านเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เข้าใจและเห็นใจข้ามากที่สุดแท้ๆ”
“เจินหยาง”
“ท่านเองก็เหมือนกันคนอื่น! ได้ดีแล้วก็ถีบหัวส่งข้า! คอยดูเถอะ ไม่ว่าจะตระกูลอวี้หรือฐานะฮองเฮาของท่าน ข้าคนนี้จะทำลายให้สิ้น!”
เพียะ!
ฮองเฮาเฟยอวี่เงื้อมือฟาดใส่ข้างแก้มของอวี้เจินหยางด้วยแรงไม่เบาไม่หนัก โดยหวังอยากเรียกสติของชายหนุ่ม ทว่ากลับกลายเป็นว่าอวี้เจินหยางกลับโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม
“ข้าไม่ยอมง่ายแน่ๆ!” แววตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับแค้นและโกรธเคือง “ข้าไม่ยอมง่ายๆ แน่!” แววตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับแค้นและโกรธเคือง “ข้าจะเอาคืนทุกคน!!! ทุกคนจะต้องชดใช้!!!”
อวี้เจินหยางกวาดถ้วยชาบนโต๊ะลงมาที่พื้นแล้วหันหลังเดินออกมาจากตำหนัก เสียงของตกแตกทำเหล่านางกำนัลรีบร้อนเข้ามาดูฮองเฮาเฟยอวี่ด้วยความเป็นห่วง
อวี้เจินหยางหันมามองด้วยสายตาเย้ยหยัน ถ่มน้ำลายใส่พื้นแล้วเดินกะเผลกขาออกไป แต่แล้วกลับเจอหวงสือหลิวและเฉ่าเหมยที่เดินเลี้ยวเข้ามาในตำหนักพอดี
คราแรกอวี้เจินหยางคิดปล่อยผ่าน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนคือภรรยาและบุตรสาวของถานเทียนสวี่ เขาก็คิดหาเรื่องพวกนางโดยทันที
“ถานฮูหยิน เข้านอกออกในวังหลวงยังกะเป็นบ้านตัวเองเลยนะ ไม่ทราบว่าจะไปเลียแข้งเลียขาพี่สาวข้าหรือไร”
หวงสือหลิวเหลือบตามอง ทว่าไม่หันหน้ามาพูดด้วยโดยตรง “คนเราหลากความคิด ข้าไม่กล้าวิจารณ์ความคิดคุณชายหรอกว่าสกปรกเพียงใด”
“นะ...นี่เจ้า บังอาจ!”
“เหมยเหม่ย พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ”
หวงสือหลิวไม่ให้ค่าพวกคนที่ด้อยค่าคนอื่นก่อน นางเชิดหน้าแล้วจูงมือบุตรสาวเดินต่อ โดยหารู้ไม่ว่าสายตาที่จับจ้องมาที่นางเริ่มเปลี่ยนไป มันฉายแววความเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมขึ้นทีละน้อย
…………..
“ฮองเฮาเพคะ ทรงเมื่อยหรือไม่เพคะ” เฉ่าเหมยว่าพลางบีบนวดขาให้เจ้าของตำหนัก
“เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะ” ฮองเฮาเฟยอวี่ตรัสพลางแย้มยิ้ม ลูบศีรษะเฉ่าเหมยด้วยความเอ็นดู
เฉ่าเหมยเหลือบมองมารดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ย “หม่อมฉัน...ไม่อยากแต่งให้หวงไท่จื่อเพคะ”
ฮองเฮาเฟยอวี่นิ่งชะงัก “ทำไมล่ะ เจ้าไม่ชอบลูกชายข้าเหรอ ถึงเขาจะชอบแกล้งเจ้าไปบ้าง แต่ใจจริงเขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยนะ”
“หม่อมฉันทราบเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันมีคนในใจอยู่แล้ว ฮองเฮาโปรดเมตตา คิดเสียว่าทำบุญปล่อยลูกนกลูกปลาเถอะนะเพคะ”
ฮองเฮาเฟยอวี่นิ่งอึ้งยิ่งกว่าเดิม ขณะเหลือบมองไปทางหวงสือหลิวก็ทรงตรัสเสียงเย็น “เจ้าออกไปก่อน ข้าขอคุยถานฮูหยินตามลำพังสักครู่”
เฉ่าเหมยพยักหน้ารับ รู้สึกหวั่นใจต่อท่าทีของฮองเฮามิน้อย แต่นางคิดว่ามารดาของนางจะต้องหาเหตุผลมาโน้มน้าวฮองเฮาเฟยอวี่ได้อย่างแน่นอน
หญิงสาวออกมาเดินเล่นในสวนอุทยาน ระหว่างนั้นพลันได้ยินเสียงเหล่าองค์หญิงดังแววมา เฉ่าเหมยกำลังจะหมุนตัวกลับทว่าไม่ทันกาล องค์หญิงสิบแปด นามซือรุ่ย บังเอิญเห็นและตะโกนเรียกเฉ่าเหมยไว้เสียก่อน
“พวกข้ากำลังจะไปคอกม้า อยากไปด้วยหรือไม่” องค์หญิงซือรุ่ยถามแกมส่งสายตาบังคับ “เจ้าควรไปนะ ไหนๆ ก็จะเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ควรผูกมิตรกันหน่อยถึงจะถูก”
เฉ่าเหมยยิ้มเจื่อน ข้าไม่อยากผูกมิตรด้วยสักหน่อย!
แต่แล้วก็ยอมพยักหน้า เดินตามไปด้วย
คอกม้าของราชวังใหญ่โต สะอาดสะอ้านต่างจากคอกม้าทั่วไป ครั้นได้ยินว่าเหล่าองค์หญิงจะเสด็จมาเยี่ยมชมลูกม้าที่เพิ่งคลอดใหม่ เหล่าบ่าวรับใช้ก็รีบจัดการทำความสะอาดกันตั้งแต่เช้าตรู่
“นั่นใช่หรือไม่ ลูกม้าที่เพิ่งคลอด”
“สวยงามนัก ได้ยินว่าก่อนคลอดมีคนเห็นดาวตกด้วยนะ ดูแล้วเจ้าม้านี้จะต้องเป็นดาวนำโชคแน่ๆ”
“ข้าอยากได้ม้าตัวนั่นมาเป็นสัตว์เลี้ยงส่วนตัวนัก”
องค์หญิงซือรุ่ยได้ยินเหล่าน้องๆ ปรารถนาต้องการลูกม้าสีขาวลักษณะสวยสง่าเหมือนภูติสัตว์จากแดนเทพก็หัวเราะยกใหญ่
“โธ่ๆ พวกเจ้านี่นะหวังสูงเสียจริง อย่างไรม้าตัวนี้เสด็จพ่อก็ต้องยกให้กับคนที่คู่ควรเหมาะสม เป็นต้นบุตรีที่พระองค์รักที่สุดอย่างข้า”
เฉ่าเหมยรู้สึกอยากจะขย้อนอาหารเช้าที่กินไปออกมานัก องค์หญิงซือรุ่ยผู้นี้หลงตัวเองมาตั้งแต่เด็ก นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหยางกุ้ยเฟย มักได้รับการเอาใจใส่จากฮ่องเต้ฝูเย่าผู้เป็นบิดาอยู่เสมอ
องค์หญิงซือรุ่ยมักชอบอวดอ้างว่าตนนั้นเป็นที่รักและเหนือกว่าพี่น้องทุกคนอยู่เสมอ
“นี่พวกเจ้าเพิ่งทำความสะอาดคอกม้าหรือ”
เหล่าข้าทาสผงกศีรษะ พยายามเสนอหน้าเพื่อเอาความดีความชอบต่อองค์หญิงสิบแปด
“น่าสั่งโบยนัก! อย่างงี้ข้าก็หมดสนุกกันพอดีสิ” ว่าพลางชำเลืองมองไปทางเฉ่าเหมย
เฉ่าเหมยรู้ได้ทันทีว่าองค์หญิงซือรุ่ยวางแผนอยากจะให้นางมาทำความสะอาดคอกม้าเป็นแน่
“หม่อมฉันต้องกลับไปหาท่านแม่แล้ว ขอตัวก่อนนะเพคะ” เนื่องด้วยยังมีเรื่องต้องจัดการ อีกทั้งพรุ่งนี้เป็นวันมงคลของฮ่องเต้ เฉ่าเหมยจึงเลี่ยงที่จะปะทะคารม
แต่องค์หญิงซือรุ่ยหาได้คิดเช่นนั้น เมื่อเห็นเฉ่าเหมยกำลังจะเดินผ่านกองขี้เลน องค์หญิงขี้แกล้งก็รีบเข้าไปหมายจะถีบเข้าที่บั้นท้ายของหญิงสาว
ทว่าเพียงยกเท้าขึ้นก็ถูกมือของใครบางคนคว้าตัวไว้แล้วผลักจนล้มหน้าทิ่มลงไปกับกองขี้เลนแทน
“กรี๊ด!!! ใครบังอาจ!!! เจ้าเป็นใคร!!!” องค์หญิงซือรุ่ยกรีดร้อง รู้สึกว่าบนหน้าของตนทั้งเหนียวทั้งเหม็น ขณะยังไม่สามารถลืมตาขึ้น มือก็ชี้ด่าจะเอาเรื่องคนที่ทำร้ายตน
“เจ้ากล้าเอาเรื่องข้าจริงหรือ”
เสียงเย็นชาเอ่ยถาม องค์หญิงซือรุ่ยชะงักไป นางพยายามลืมตาก่อนจะหน้าถอดสีแล้วรีบลุกขึ้นย่อตัวคารวะ
“ทะ...ไท่จื่อเองหรือเพคะ”
ถึงจะนับว่าเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน แต่มารดาผู้ให้กำเนิดต่างฐานะ จึงไม่อาจทำตัวสนิทสนมเท่าเทียม
หวงไท่จื่อเป็นว่าที่ประมุขคนต่อไป สายเลือดเพียงคนเดียวของฮองเฮาเฟยอวี่ อีกทั้งได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ฝูเย่าที่สุด มีใครบ้างจะไม่ยำเกรง
สายตาคมตวัดมองตำหนิทุกคน แต่เมื่อหันมาทางเฉ่าเหมย นัยน์ตากลับเป็นประกายระยับเต็มไปด้วยความเสน่ห์หายิ่ง
“ถวายพระพรไท่จื่อ” เฉ่าเหมยย่อตัว ชำเลืองมองสภาพที่น่าสังเวชขององค์หญิงซือรุ่ยคราหนึ่ง มุมปากอมยิ้มพยายามกลั้นขำแล้วรีบหมุนตัวเดินออกมา
เยว่เฉิงส่งสายตาดุใส่องค์หญิงซือรุ่ยอีกครั้ง เป็นเชิงบอกเป็นนัยว่าหากยังริอ่านแตะต้องเฉ่าเหมย เขาจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ เหมือนครั้งนี้แน่
เยว่เฉิงวิ่งตามเฉ่าเหมยออกมา เห็นหญิงสาวหยุดเดินแล้วยืนพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ก็นึกสงสัยจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดู ก่อนจะเห็นว่าเฉ่าเหมยกำลังหัวเราะจนน้ำตาเล็ด สองมือจับที่หน้าท้องพลางงอตัวไปด้วย
“ขำน้องสาวข้าขนาดนั้นเลยหรือ”
เฉ่าเหมยสะดุ้งโหยง รีบตีหน้านิ่งกลบเกลื่อนทันที “มะ...หม่อมฉันไม่ได้ขำเพคะ”
“หึ! เห็นอยู่ชัดๆ ยังกล้าโกหก”
เฉ่าเหมยหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าบุรุษจอมหาเรื่อง “เป็นความผิดองค์หญิงสิบแปดที่อยากแกล้งหม่อมฉัน ฟ้าดินลงโทษก็สมควรแล้ว”
“ฟ้าดินอะไร เป็นข้ามิใช่หรือที่ช่วยเจ้า”
เฉ่าเหมยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งมองไปทางอื่น เยว่เฉิงจึงยื่นมือมาเขกศีรษะเล็กเบาๆ
“เจ้าคนไม่รู้จักบุญคุณ”
“เจ็บนะเพคะ!”
“หากเมื่อครู่ไม่ได้ข้าช่วยไว้ คนที่หน้าปักขี้เลนคงเป็นเจ้าแล้วรู้หรือไม่”
“อยากให้หม่อมฉันขอบคุณสินะ ไท่จื่ออย่างพระองค์ก็คิดทำดีหวังผลด้วยงั้นสิ” ขณะพูดจาเสียดสีอยู่นั้น เฉ่าเหมยก็ไม่ทันระวังตัวแล้วถูกบุรุษขโมยหอมแก้มไปหนึ่งที
“ทะ...ไท่จื่อ!”
“อะไร”
“คนฉวยโอกาส!”
“ว่าที่สามีภรรยาหอมกันผิดตรงไหน”
หน้าหนา บุรุษคนนี้ช่างหน้าหนานัก! เฉ่าเหมยเม้มปาก หน้าแดงลามไปจนถึงใบหู “หม่อมฉันบอกพระองค์ไปแล้ว เรื่องงานแต่งอย่างไรก็จะไม่เกิดขึ้น”
เยว่เฉิงยืนกอดอกฟังสิ่งที่เฉ่าเหมยสาธยาย ทั้งเหตุผลที่นางไม่ได้รักเขา กล่าวถึงคนในใจที่นางเฝ้ารอจะพบ และครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนยืนเคียงข้างนาง
“แล้วหากชายในใจเจ้าไม่กลับมาเล่า เจ้าจะรอเขาทั้งชีวิตเลยหรือไง”
“เขาต้องกลับมาแน่ ก็เรา...สัญญากันไว้แล้ว”
เยว่เฉิงจ้องเฉ่าเหมยด้วยแววตานิ่งเฉย ไม่อาจเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ “สัญญาเพียงลมปากเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนกัน แทนที่จะจมปลักอยู่กับอดีต ทำไมไม่ลองมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าบ้าง”
หัวใจเฉ่าเหมยคล้ายถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด สั่นสะท้านและหนาวเหน็บในเวลาเดียวกัน
“ข้าอยากให้เจ้าเปิดใจรับข้า อย่างน้อย...ก็ช่วยรับรู้ความรู้สึกที่ข้ามีให้สักนิดก็ยังดี”
“ไท่จื่อ ความรู้สึกคนยากนักจะบังคับได้ ถึงท่านแสดงความจริงใจมากแค่ไหน ข้ารังแต่จะรู้สึกอึดอัด” ว่าพลางก้มหน้ามองปลายเท้าของตน “อย่าพยายามเลยเพคะ หม่อมฉันรักพระองค์ไม่ได้หรอก”