คิลเลียนคบหาดูใจกับเลทิเธีย อาเวอร์ตัน ลูกสาวนักุรกิจใหญ่ด้านเรือเดินสมุทรนับถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาเกือบสองปีเต็ม ซึ่งก่อนหน้านี้เลทิเธียไม่พร้อมที่จะเป็นเจ้าสาวด้วยข้ออ้างในการศึกษาต่อทางด้านธุรกิจการเงิน
แตเมื่อไม่นานมานี้คู่หมั้นของเขาเกิดเปลี่ยนใจ เธอและครอบครัวอยากให้เขาจัดงานวิวาห์ซึ่งเป็นสิ่งที่คิลเลียนไม่มีวันปฏิเสธคนรักของเขาอยู่แล้ว
แม้บางครั้งนายทหารเรือหนุ่มต้องเป็นฝ่ายรอและไม่ค่อยได้ติดต่อกับคู่หมั้นของเขาอย่างหนุ่มสาวที่รักกันโดยทั่วไป เขามีเวลาดี ๆ ที่น่าจดจำและประทับใจกับคู่หมั้นซึ่งพบกันจากการติดต่อของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
ทว่าไม่เคยมีช่วงเวลาแห่งความโรแมนติกระหว่างเขาและเธอตราบจนใกล้พิธีวิวาห์ คงไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ว่าเขาไม่เคยใกล้ชิดเลทิเธียมากกว่าการกอดและจูบดูดดื่มเหมือนคู่รักที่เพิ่งคบกันใหม่ ๆ อย่างไรอย่างนั้น
นาวาอากาศเอกหนุ่มครุ่นคิดเรื่องอาการคู่หมั้นของเขากระทั่งไปถึงโรงพยาบาลนิวยอร์คตามคำบอกกล่าวของซินดี้ มารดาของเลทิเธีย คิลเลียนตรงดิ่งไปถึงหน้าห้องฉุกเฉินที่เขาเห็นร่างของหญิงและชายวัยกลางคนยืนรออย่างกระวนกระวายใจ
“คิลเลียน!...โอ...คิลเลียน”
หญิงผมบลอนด์ทองอายุราวห้าสิบปลาย ๆ ในชุดกระโปรงสีอิฐวิ่งเข้ามาสวมกอดร่างสูงใหญ่ด้วยใบหน้ชื้นไปด้วยคราบน้ำตาทว่าก็มีรอยยิ้มบอกความยินดีที่เห็นว่าอีกฝ่ายมาถึง
“เลทิเธียล่ะครับ คุณแม่”
“เธอยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน...เรารอมาเกือบจะทั้งคืนแล้ว”
เฟเดอริก นักธุรกิจใหญ่ผู้เป็นบิดาของเลทิเธียกล่าวขึ้น เขายังอยู่ในชุดสูทและมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด คิลเลียนก้มลงดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเวลากำลังจะล่วงถึงตีห้าแล้ว ทว่าทุกอย่างกลับดูเชื่องช้าเสมือนเรือนแห่งกาลหยุดอยู่กับที่
“ทำใจดี ๆ นะครับคุณแม่...บอกหน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเลทิเธีย”
ชายหนุ่มยังกอดหญิงวัยกลางคนไว้แน่นขณะที่อีกฝ่ายเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เมื่อตอนหัวค่ำแม่ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่โรงแรมฟิฟท์ อะเวนิว แกรนด์ โฮเต็ล ว่าเลทิเธียตกบันไดบนชั้นที่ยี่สิบและหมดสติจนต้องส่งตัวมารับการรักษาโดยด่วนที่โรงพยาบาล แม่ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกเลยรีบตามมาที่นี่ แต่จนป่านนี้หมอก็ยังไม่ออกมาจากห้องฉุกเฉินเลย”
“ฟิฟท์ อะเวนิว แกรนด์ โฮเต็ล...เลทิเธียไปทำอะไรที่นั่นหรือครับคุณแม่?”
“เอ้อ...” ซินดี้อึกอัก “แม่ก็ไม่รู้จ้ะ...เขาคง...ไปหาเพื่อนที่นั่นล่ะกระมัง”
“เพื่อนหรือครับ?”
คิลเลียนยังแสดงสีหน้ากังขาแต่ไม่ทันจะคิดอะไรต่อประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก
“คุณหมอ...ลูกสาวของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
ซินดี้รีบผละจากอ้อมแขนของชายหนุ่มเข้าไปหานายแพทย์ในชุดกาวน์อายุราว ๆ สี่สิบในขณะที่คิลเลียนและเฟเดอริคต่างมองเป็นตาเดียวและรอคอยคำตอบจากนายแพทย์ที่กล่าวขึ้น
“คุณเป็นแม่ของผู้ป่วยหรือครับ?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้าและหญิงวัยกลางคนก็พยักหน้ารับ
“ค่ะ...ฉันซินดี้ อาเวอร์ตัน และนี่ เฟเดอริค อาเวอร์ตัน...เราสองคนเป็นพ่อกับแม่ของเธอค่ะ”
“อืม...ผมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ใช้ความพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือคุณเลทิเธียที่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกบันได แต่หมอก็อยากจะเรียนพวกคุณตามตรงว่าเคสที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากพอสมควร ศีรษะของเธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนทำให้สมองหลายส่วนเสียหาย และมันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ลูกสาวของพวกคุณกลับมาเป็นปกติได้ในตอนนี้”
“เธอจะตายหรือครับคุณหมอ?”
เฟเดอริคถามอย่างสิ้นหวังทว่านายแพทย์กลับส่ายหน้า
“เธอจะยังมีชีวิตอยู่...เพียงแต่...จะอยู่ในสภาพของเจ้าหญิงนิทราครับ”
“โอ...ไม่! พระเจ้า!”
ซินดี้กรีดร้องก่อนหมดสติในอ้อมแขนของคิลเลียนที่เข้ามารับร่างนั้นไว้ได้ทันและเขาก็มีสีหน้าตระหนกไม่แพ้กันในขณะที่นางพยาบาลสองคนที่ติดตามออกมารีบเข้าไปช่วยปฐมพยาบาล นาวาอากาศเอกหนุ่มช้อนร่างไร้สติไว้ในอ้อมแขนก่อนหันมาทางเฟเดอริค
“ผมจะพาคุณแม่ไปพักผ่อนก่อนนะครับคุณพ่อ...ไม่ต้องเป็นห่วงผมจะดูแลเองครับ”
เฟเดอริคได้แต่พยักหน้า ดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นมองตามร่างสูงใหญ่ที่อุ้มภรรยาของเขาออกไปพร้อมกับนางพยาบาล
“ขอโทษด้วยนะครับ คุณเฟเดอริค ที่ผมต้องเรียนให้ทราบตามตรง มันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับญาติที่จะต้องรับรู้ในอาการของคนไข้ขณะนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับหมอ เพราะถึงยังไงผมกับภรยาก็ต้องเข้าใจอยู่ดี”
“แต่หมอมีข่าวดีจะแจ้งให้คุณทราบอีกอย่างนะครับ”
เฟเดอริคย่นคิ้วเมื่อเห็นรอยยิ้มจางบนใบหน้าของนายแพทย์
“ข่าวดีหรือครับหมอ?”
“ครับ...มันเป็นข่าวดีที่น่าอัศจรรย์ นั่นคือทารกในครรภ์ของคนไข้ปลอดภัยครับ และทารกก็จะยังเจริญเติบโตได้ตราบเท่าที่เรายังคอยดูแลและให้การรักษาแม้ว่าคนไข้จะอยู่ในสภาพของเจ้าหญิงนิทราก็ตาม”
คราวนี้สีหน้าของคนฟังยิ่งประหลาดใจมากกว่าเก่า เลทิเธียมีครรภ์ทั้งที่อาการโคม่าร์
“หมอครับ...เอ้อ...” เฟเดอริกรีบรั่งแขนนายแพทย์ที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันทีที่นึกอะไรได้
“มีอะไรหรือครับ คุณเฟเดอริค”