โสรัตน์ห่วงเรื่องสมบัติมากกว่าการสืบด้วยซ้ำ เพราะมองไม่เห็นทางว่าหลานจะหาอะไรได้ “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูดาวจัดการเอง รับรองว่าหนูดาวทำได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันแน่ๆ ค่ะ เธอสองคนด้วยนะยัยนาย่ากับยัยนุ” พร้อมกับหันไปหาเพื่อน
“เราจะอยู่ช่วยได้เดือนสองเดือนแค่นั้นนะ ว่าแต่หล่อนจะแต่งเมื่อไหร่ล่ะยะ” นรรยารีบออกตัว
“สองอาทิตย์”
“อะไรนะ!!! แล้วจะไปเตรียมอะไรทันล่ะ ชุดเชิดอีก ไหนจะที่จัดเลี้ยงอีก ไหนจะเชิญแขกอีก โอ๊ย!!! หล่อนจะบ้าหรือไงยะ ทำไมมันเร็วอย่างนี้” อนุทัยถึงกับแต๋วออกอีกรอบเมื่อได้คำตอบ
“จะไปยุ่งยากอะไรล่ะ ในเมื่อนายนั่นจะเป็นคนจัดการทั้งหมดเอง ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากหาชุดให้ตัวเองกับเชิญแขกของฉันที่มีไม่กี่คนเท่านั้น อีกอย่างมันก็เป็นแค่งานแต่งหลอกๆ จะอะไรนักหนาล่ะ”
“แต่หล่อนก็ต้องสวยให้สมกับจะเป็นเจ้าของ ‘นายแสงตะวัน ผลทับทอง’ นะยะหล่อน ไม่ใช่จะหาอะไรมาใส่ก็ได้” นรรยาไม่ยอมเด็ดขาด แค่คิดก็หงุดหงิดใจแล้ว
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า รับรองว่าฉันจะทำให้นายนั่นน้ำลายหกจนลืมแม่คู่ขาสารพัดไปเลยล่ะ ไม่เชื่อพวกหล่อนคอยดูสิ”
“ดีมากเพื่อน อย่าทำให้ฉันน้อยหน้าคู่ควงคู่ขานายนั่นนะ ฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“ได้เลยเพื่อน งั้นเราคงจะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ กันเลยดีมั้ยล่ะ จะได้ไปหาห้องเสื้อกับหาช่างแต่งหน้ามือดีๆ ไว้ให้หล่อนไง” นรรยารีบเสนอ
“มันของตายอยู่แล้วเพื่อน งั้นเรากลับวันนี้เลยนะคะแม่ ใกล้วันงานค่อยมาอีกที” เหมือนดาวหันไปหาแม่และทุกคน เพราะมองไม่เห็นประโยชน์อะไรจะมาอยู่นี่ถึงสองอาทิตย์ก่อนวันงาน สู้กลับบ้านไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวและเตรียมตัวเตรียมใจไว้รับศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังชีวิตแต่งงานจะเป็นการดีกว่าแน่
ตอนที่ 3
สาวสวยกับกางเกงขาสั้นเสื้อเกาะอกยืนอยู่ระเบียงห้องนอนชั้นสามซึ่งเป็นห้องประจำเวลามาพักที่นี่อย่างคนใช้ความคิด เมื่อต้องมารับรู้ว่าผู้ชายที่ตัวเองคบหาอยู่จู่ๆ ดันมีเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาให้ต้องขุ่นใจ นั่นคือเขาจดทะเบียนสมรสแล้ว และกำลังจะจัดงานแต่งให้ผู้คนรับรู้อย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่วันนี้ แม้เขาจะบอกว่าเป็นไปเพราะเรื่องธุรกิจ
และจะแต่งกันเพียงแค่ในนาม เหมือนตอนจดทะเบียนสมรสกันเงียบๆ แบบไม่ยุ่งเกี่ยวกันมากว่าหกปีแล้วก็ตามที และปกปิดไว้ไม่ยอมบอกตั้งแต่ตอนคบหากันใหม่ๆ ก่อน แต่สนันตนาก็อดหวาดหวั่นไม่ได้เมื่อเห็นเด็กสาวคนนั้นแล้วว่าสวยไม่ใช่เล่น
“แล้วเรื่องของเราจะทำยังไงล่ะคะตะวัน” น้ำเสียงราบเรียบกับท่าทีนิ่งเฉยของคนถาม ทำให้แสงตะวันพอใจไม่น้อย เพราะคงจะไม่สร้างปัญหายุ่งยากอะไรให้เขาต้องลำบากใจนักเหมือนที่กลัวไว้ในตอนแรก
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่ครับ ผมกับเขาอยู่คนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกันแบบเมื่อก่อนยังไง ตอนนี้หรือในอนาคตก็จะเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะหย่ากัน”
“ไม่แต่งไม่ได้เหรอคะ หรือไม่ทำไมคุณไม่หย่าแล้วยกกิจการให้ไปเลยล่ะคะ ทำไมจะต้องมาวุ่นวายแต่งแล้วให้ย้ายมาอยู่นี่ด้วยคะ แนทไม่ชอบเลยบอกตรงๆ ค่ะ” น้อยครั้งนักหนาที่สนันตนาจะเผลอฉุนเฉียวให้เขาเห็น กระนั้นเขาก็ยังไม่ชอบอยู่ดี เพราะไม่ปรารถนาจะให้สตรีนางไหนมามีอำนาจเหนือตัวเองได้
“คุณกำลังทำตัวไม่มีเหตุผลแล้วนะแนท ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ และถ้าผมบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณนะ แต่ผมบอกตามความจริงที่จะเป็นไป ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องเราก็อย่าเพิ่งคุยตอนนี้ดีกว่า ไว้ให้อารมณ์เย็นก่อนค่อยมาว่ากัน”
สนันตนาโกรธทั้งคนที่กำลังเดินออกจากห้องไป และโกรธตัวเองด้วย ที่ไม่อาจจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ให้มั่นคงกว่านี้ได้ จนต้องทำให้เขาเดินหนีไปในที่สุด แต่ก็โกรธแม่เด็กจอมป่วนนั่นมากกว่าใคร “คุณจะให้ฉันควบคุมตัวเองยังไงไหวคะตะวัน ในเมื่อคุณกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แล้วแนทล่ะคะ คุณจะให้ยืนอยู่ตรงไหนในชีวิต”
จึงได้แต่พูดกับตัวเองเพียงลำพัง โดยเขาไม่ได้มารับรู้ถ้อยคำเหล่านี้เลย แล้วไม่นานในหัวใจก็ร้อนรุ่มเหมือนไฟสุมอยู่กลางอก ที่ต้องเสียผู้ชายที่ตัวเองหมายปองมาหลายปีดีดักให้กับเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็ว่าได้
“แกจะมาแย่งเขาไปง่ายๆ น่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก ฉันจะไม่มีวันยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้หรอก รู้มั้ยว่ากว่าฉันจะได้เขามา ฉันต้องทุ่มเทเท่าไหร่ แล้วแกเป็นใคร อยู่ดีๆ แกมาชุบมือเปิบไปได้ยังไง แกจะต้องได้เห็นดีกับฉันแน่”
“แกจะมาโวยวายกับฉันทำไมล่ะ ฉันทำแบบนี้มันก็ยุติธรรมกันทั้งสองฝ่ายแล้วนี่” อาทิตย์สวนกลับทันทีเมื่อลูกเดินเข้ามาหาในห้องหนังสือด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ กับการทำหน้าที่อันไม่ถูกไม่ควรของพ่อ
“ยุติธรรมตรงไหนครับ ที่ป๋าทำไปเมื่อกี้มันเรียกว่าฆ่าผมชัดๆ ผมไม่เห็นว่าเราจะจำเป็นต้องทำตามคำขอของเด็กแก่แดดนั่นเลยสักนิด ถ้าไม่อยากฝึกงานอยู่นี่ก็เชิญกลับไปอยู่บ้านได้ตามสบาย ไม่เห็นจะต้องเอาชีวิตผมไปล่ามกับเด็กนั่นเลย” แสงตะวันแสดงท่าทีฉุนเฉียวใส่พ่ออย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะไม่พอใจเอามากๆ ตั้งแต่อยู่ในห้องประชุมแล้ว แต่ไม่อยากจะขัดใจพ่อต่อหน้าคนอื่นเท่านั้นเอง
“ใครกันแน่ถูกล่าม แกหรือว่าเขา ถ้าแกไม่อยากแต่งงานแกก็หย่าไปสิ แล้วคืนทุกอย่างไปเท่านั้นก็จบ เพราะฉันไม่ได้ยื่นคำขาดว่าแกจะต้องแต่ง แต่แกเลือกจะไม่หย่าเองก็ช่วยไม่ได้ ที่ฉันจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้ฝ่ายโน้นคิดว่าถูกเรารังแกเพราะมีอำนาจเหนือกว่า”
ผู้พ่อก็ไม่คิดจะยอมเช่นกัน เมื่อเห็นว่าลูกทำอะไรเกินกว่าเหตุไปหน่อย “ผมมีเหตุผลที่จะไม่หย่าในตอนนี้”
“แล้วเหตุผลนั่นมันคืออะไรล่ะ”