“เจ้าบ่าวโอบเจ้าสาวด้วยสิครับ” แสงตะวันต้องเดินไปยืนชิดๆ เจ้าสาวที่ยืนอยู่หน้าซุ้มเข้างานอย่างเสียไม่ได้ และยังต้องยิ้มให้ช่างภาพอย่างเสียไม่ได้เช่นกัน รวมทั้งจะต้องยิ้มให้แขกที่ต่างเริ่มทยอยมาเข้างานต้องถ่ายรูปไว้ก่อนด้วยนั่นเอง
“แขกเริ่มจะเต็มงานแล้ว คุณตะวันเตรียมตัวรอขึ้นเวทีทางโน้นเลยดีกว่าครับ” อิสระปกติจะเป็นจัดการฟาร์ม แต่วันนี้ต้องทำหน้าที่เป็นพิธีกรตามคำสั่งของอาทิตย์ รวมทั้งเป็นหัวแรงสำคัญในการจัดงานครั้งนี้ด้วยเดินเข้ามากระซิบบอกทั้งสองคน
“ขอบคุณครับที่มางานของเรา” และกับประโยคสั้นๆ นี้ของเขาทำเอาแขกส่งเสียงหัวเราะด้วยความขำ แต่ผู้เป็นเจ้าสาวกลับขำไม่ออก ขณะรับไมค์จากมืออิสระมาถือไว้ แล้วโปรยยิ้มให้แขกจนทั่วงานก่อนเอ่ย
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ที่ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านกรุณามาร่วมแสดงความยินดีกับเราสองคนค่ะ หนูดาวต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ถ้าการต้อนรับขาดตกบกพร่องหรือไม่ทั่วถึงค่ะ อยากได้อะไรก็บอกน้องๆ ได้นะคะ ขอบคุณค่ะ...”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวในความชอบใจกับเจ้าสาวหน้าใสวัยละอ่อนที่รู้จักเจรจามากกว่าสามีเป็นไหนๆ ขณะทั้งสองก้าวลงเวทีสูงแค่เข่าเท่านั้น
“หนูดาวมาทางนี้แป๊บสิ” แสงตะวันหันไปมองเพื่อนสาวผมทรงเห็ดหอมแปลกตาที่เดินมาพาเจ้าสาวเขาไปด้านหลังเวที โดยมีพ่อหนุ่มหน้าใสกับสาววัยถึกสองเพศที่เขาเดาได้ว่าน่าจะเป็นช่างแต่งหน้าเดินตามไปไม่ห่าง
ไม่เข้าใจว่าทั้งสามมีอะไรจะคุยกันนักหนาเพราะจะต้องเดินไปไหว้แขกตามโต๊ะแล้ว แต่เพียงไม่กี่นาทีที่เจ้าสาวหายไป ถึงกับทำเขาอึ้งอีกครั้ง เมื่อกระโปรงทรงสุ่มราวเจ้าหญิงถูกสลัดทิ้งเหลือกระโปรงยาวทรงหางปลามาแทน เสื้อคลุมผ้าลูกไม้ที่หุ้มไหล่กับแขนตอนยืนต้อนรับแขกก็หายไปคงเหลือไว้แต่เกาะอก
ผมตอนเย็นเกล้าเบี่ยงเป็นลอนไปไว้บนบ่าซ้าย ตอนนี้ถูกเกล้าขึ้นไปเก็บไว้กลางศีรษะทั้งหมดแทน ทำให้สวยเก๋แปลกตาขณะใช้เวลาอย่างรวดเร็วได้ในทันที ไม่ใช่แค่เจ้าบ่าวเท่านั้นที่แปลกตา แปลกใจ แต่แขกในงานก็ต่างจ้องมองเจ้าสาวแสนสวย หุ่นสุดเซ็กซี่กับรองเท้าส้นเรียบไม่ได้ทำให้คนใส่เตี้ยลงแม้แต่นิดเดียว หากเดินสบายกว่าเจ้าสาวที่เขาเคยเห็นมาหลายงานแล้วมากกว่า
เพราะพื้นหญ้าไม่สม่ำเสมอย่อมจะทำให้ส้นสูงปักลงไปในดินเดินลำบากไปก็เท่านั้น ถือว่าเจ้าหล่อนวางแผนมาดี คิดการณ์ไกลได้ไม่น้อย เขาเลยหายห่วงระหว่างเดินไหว้แขกกว่าร้อยโต๊ะ “สาวๆ อกหักไปตามๆ กันเลยคุณตะวันน่ะ เห็นเงียบๆ แบบนี้ไม่ยักรู้นะคะว่าซ่อนเจ้าสาวแสนสวยเอาไว้แล้วมาแต่งปุบปับเลย แบบนี้มีอะไรอยู่ในก่อไผ่หรือเปล่าคะ”
สาวใหญ่วัยห้าสิบนั่งอยู่ข้างสามีแซวเจ้าบ่าวอย่างคนคุ้นเคยทันทีเมื่อทั้งสองเดินไปถึง “ไม่มีอะไรเลยครับพี่นิด ป๋าอยากได้หลานผมก็ต้องแต่งให้เท่านั้นเองครับ” แสงตะวันแบ่งรับแบ่งสู้อย่างคนคุ้นเคยไม่แพ้กัน ก่อนจะยืนให้ช่างภาพที่จ่อกล้องรออยู่แล้วเท่านั้น เขาภาวนาขอให้งานจบลงโดยเร็ว เพราะเหนื่อยเต็มที
และสามทุ่มยี่สิบเก้านาทีก็เป็นเวลาที่เขากับเจ้าสาวต้องนั่งพับเพียบอยู่ในห้องหอที่ไม่ได้รอรักแต่อย่างใด หากแต่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ทำตามประเพณีเท่านั้น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นเพียงงานแต่งหลอกตาผู้คนก็ตาม
“พ่อขอให้ลูกทั้งสองจงอยู่ครองคู่กันอย่างมีความสุขจวบจนถือไม้เท่ายอดทองกระบองยอดเพชรนะ แล้วรีบๆ มีหลานให้พ่ออุ้มไวๆ ล่ะ”
อาทิตย์ยังเลือกสรรแต่คำพูดดีๆ เป็นสิริมงคลให้ลูกทั้งสองด้วยเช่นกัน แสงตะวันก้มกราบแทบเท้าพ่อแม้นี่จะเป็นเพียงการแต่งหลอกๆ แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะได้ทำแบบนี้กับพ่อ เหมือนดาวเองก็ก้มกราบตามด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของอาทิตย์ที่มีมา ถ้าให้เดาเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ส่งให้ตัวเองเรียนจนจบปริญญามานี้ ก็น่าจะเป็นเงินอาทิตย์มากกว่าจะเป็นเงินของคนนั่งข้างๆ แน่
“แม่ขอให้ลูกมีความสุขเหมือนกันนะ หนูดาว! แต่งงานแล้วก็ต้องคอยเชื่อฟังคำของคุณตะวันนะลูก อย่าดื้อมาก ส่วนคุณตะวันน้าก็ฝากช่วยดูแลน้องให้ดีๆ ด้วยนะคะ น้าอนุญาตให้ตีได้ถ้าแผลงฤทธิ์จนเกินเหตุ ขออย่างเดียวอย่าทำให้ลูกน้าเสียใจก็เป็นพอค่ะ”
ดุจเดือนเองก็เลือกทำเหมือนกัน เพราะในส่วนลึกแล้วอยากให้งานแต่งนี้เป็นจริงมากกว่าจะแต่งหลอกๆ เพราะถือว่าลูกสาวได้สามีสมบูรณ์แบบไปแทบทุกด้าน เว้นก็เสียแต่มากหญิงไปหน่อยเท่านั้น หรือไม่แน่อาจจะบ้างานเหมือนณรงค์สามีเก่าผู้ล่วงลับด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในใจก็เฝ้าภาวนาว่าอย่าเป็นแบบนั้นเลย เพราะไม่อยากเห็นลูกนั่งรอสามีกลับบ้านยันเช้าเหมือนตัวเองในอดีต จนอดรนทนไม่ไหว สุดท้ายต้องเลิกรากันไป แบ่งลูกแบ่งสมบัติ ต่างคนต่างไปต่างคนต่างอยู่กระทั่งล้มหายตายจากกันโดยไม่คาดคิดมาก่อนเท่านั้นเอง
“อาขอให้หลานทั้งสองรักกันตลอดไปนะ” โสรัตน์ที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนพ่อของเจ้าสาว อวยพรเท่านี้ ด้วยรู้ดีว่าเจ้าบ่าวไม่ได้จริงจังกับงานนี้เฉกเช่นผู้ใหญ่นัก
และก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่ส่งผู้ใหญ่ออกจากห้องได้ เขาก็ลุกเดินไปยืนเอาไหล่พิงขอบหน้าต่างหันหลังให้เจ้าสาวที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าทันที เพราะไม่อาจจะเล่นละครหลอกตัวเองเหมือนเจ้าหล่อนทำอีกต่อไปได้แล้ว
“จะนอนห้องนี้ก็ได้นะถ้าคุณต้องการ แต่ผมอนุญาตให้แค่คืนเดียวเท่านั้น และโชคร้ายหน่อยนะที่เจ้าบ่าวจอมปลอมของคุณจะอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะผมเล่นละครหลอกใครไม่เก่งเท่าคุณ” พอหันมาหาเขาก็เอ่ยวาจาที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเป็นคำแรกในคืนส่งตัวด้วยซ้ำ แต่มีหรือจะแคร์ในเมื่อเตรียมตัวเตรียมใจไว้รับมือรับฝีปากร้ายๆ ของเขามาเป็นอย่างดีแล้ว