ตอนที่ 1 ความบังเอิญ พรมลิขิต โชคชะตา
(ภายในสนามมวยไทยเก่าๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
ภายในสังเวียนสี่เหลี่ยมที่ใกล้ระอุไปด้วยความบ้าคลั่งของ 2 นักชกมวยไทยรุ่นใหม่ไฟแรงที่พร้อมจะเข้าแลกกำปั้นกัน
“เห้ยไอ้เขียว! ครั้งนี้เด็กเอ็งไปฝึกมาดีแล้วใช่ไหมวะ ไม่ใช่ว่าจะต้องถูกหามส่งโรงบาลเหมือนครั้งที่แล้วหรอกนะโว้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชายอ้วนที่เป็นพี่เลี้ยงฝั่งน้ำเงินตะโกนถามพี่เลี้ยงของฝั่งแดงด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
“เออ! เดี๋ยวเอ็งได้รู้แน่ว่าฝั่งข้าก็เอาจริงเหมือนกัน” พี่เลี้ยงฝั่งแดงตะโกนท้าทายกลับไป
“ฟังนะไอ้ไทยหลบหมัดซ้ายของมันให้ได้ ถ้ามันใช้หมัดซ้ายที่เป็นไม้ตายของมันไม่ได้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว” พี่เลี้ยงฝั่งแดงหันกลับมาเตือนสตินักชกฝั่งตน
“ไม่ต้องห่วงหน่าน้าเขียว ครั้งนี้ผมมั่นใจว่าจะต้องซัดมันให้ลงไปนอนร้องไห้กับพื้นได้แน่” ชาไทย นักชกฝั่งแดงผู้มีผมสีแดงเป็นเอกลักษณ์กล่าวตอบอย่างมั่นใจเต็มร้อย
เกร๊ง เกร๊ง เกร๊ง
เสียงระฆังเริ่มต้นการชก เฮ่ เฮ่ เฮ่ วู้ วู้!! เสียงตะโกนของผู้คนที่มาเชียร์มวยไทยอึกทึกครึกโครมไปทั่วทั้งสนาม
ตึบ ตึบ! ฮึบ ฮึบ!
“ฟู่~ เตรียมตัวโดนงัดปลายคางได้เลย” นักชกฝั่งแดงตั้งท่าอย่างดี
“หึ หึ เข้ามาเลยไอ้กระสอบทรายหัวแดง ครั้งนี้ข้าก็จะส่งไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มอีกครั้งก็แล้วกัน” นักชกฝั่งน้ำเงินโยกย้ายหลอกล่อไปมาหลังจากเสียงระฆังดังขึ้น
“ครั้งนี้แหละเอ็งได้ถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่ ย๊ากกก” หนุ่มนักชกฝั่งแดงรูปร่างกำยำพุ่งเข้าใส่
“หึ หึ งั้นขอลองเชิงด้วยหมัดขวาก่อนก็แล้วกัน ฮึบ!” นักชกฝั่งน้ำเงินเตรียมง้างหมัดขวาที่ไม่ถนัดออกไปข้างหน้าหวังเป็นหมัดชิมลางเพื่อลองเชิงคู่ต่อสู้
“ไอ้ไทย! ระวังซ้ายโว้ยๆ” เสียงของพี่เลี้ยงฝั่งแดงตะโกนบอก
“หึ! เสร็จข้าละไอ้โง่” นักชกฝั่งน้ำเงินแสยะยิ้มออกมา
แสยะ
“รู้แล้วน่…!” อั๊ก! ไม่ทันขาดคำ หมัดซ้ายอาวุธลับไม้ตายของนักชกฝั่งน้ำเงินก็พุ่งเข้าไปสัมผัสกับปลายคางของนักชกฝั่งแดงอย่างรวดเร็วจนทำให้การชกสิ้นสุดลงในพริบตา
ผลัวะ!
ตุบ!
สิ้นเสียงตอบกลับนักชกฝั่งแดงก็โดนหมัดซ้ายมหาประลัยของ รถตู้ จิตหงุดหงิด หมู่87 นักชกฝั่งน้ำเงินเสยเข้าปลายคางอย่างจังจนล้มลงไปนอนหมดสภาพอย่างอนาถกับพื้นสนาม
เกร๊ง เกร๊ง เกร๊ง
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี~ ชัยชนะในครั้งนี้เป็นของนักชกฝั่งน้ำเงินนักชกมวยไทยดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ เขาคนนั้นก็คือออ~ รถตู้ จิตหงุดหงิด หมู่87 คร้าบบบ!”
“จึงทำให้สถิติไร้พ่ายของ รถตู้ จิตหงุดหงิด หมู่87 ยังคงดำเนินต่อไปและอีกสถิติใหม่ก็คือสามารถชนะน๊อกได้เร็วที่สุดตลอดการชกอาชีพของเขาในเวลาเพียงแค่ 13 วินาทีเท่านั้นครับ! ขอเสียงปรบมืออีกครั้งด้วยคร้าบบบ” เสียงของพิธีกรหน้าหล่อใสกิ๊งประกาศผลผ่านไมค์
หู่ หู่ หู่ เสียงโห่ร้องสาปส่งของผู้ชมแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาทุกคนต้องการที่จะเข้ามาเพื่อดูมวยไทยมันส์ๆ ที่แลกกันด้วยหมัดต่อหมัดด้วยกำปั้นอย่างดุเดือนแต่กลับต้องจบลงในเวลาเพียงแค่ 13 วินาทีเท่านั้น ถึงแม้จะมีนักชกคู่อื่นๆ ให้ชมต่อ แต่ถ้าไม่ใช่การขึ้นชกบนสังเวียนของนักมวยดาวรุ่งอย่าง รถตู้ จิตหงุดหงิด หมู่87 ก็คงไม่มีความหมายอะไรที่จะรับชมต่อ
“พะ พร้อมกับสถิติใหม่ของนักชกฝั่งแดง ชาไทย ศิษย์ชาเขียวที่แพ้ติดต่อกันมา 7 นัดแล้วคร้าบบบ~!” เสียงของพิธีกรหน้าหล่อที่ยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มที่แม้จะมีสิ่งของถูกปาลงมาจากที่นั่งคนดูก็ตาม
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไงละไอเขียวเด็กเอ็งแพ้เด็กข้าเป็นรอบที่ 3 แล้วนะเว้ย ข้านี่แบกเงินจนหลังยอกไปหมดแล้วนะเนี่ย ก๊าก กั๊ก กั๊ก” เสียงของชายอ้วนหัวโล้นพี่เลี้ยงของนักชกฝั่งน้ำเงินเข้ามาเย้ยหยันชาเขียวพี่เลี้ยงฝั่งแดงพร้อมกับเดินผิวปากกลับไปฉลองชัยชนะอย่างอารมณ์ดี
ตุบ!
“หน็อยแหน่! ไออ้วนเวรเอ๊ย” ชาเขียวที่ต้องยอมรับชะตากรรมและขายขี้หน้าอย่างหมดรูป ทุบโต๊ะด้วยอารมณ์หงุดหงิด
(หนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ห้องเตรียมตัวนักกีฬา)
“ฮะ?! โถ่~ ขอร้องล่ะนะน้าเขียวอย่าเพิ่งพักตัวผมเลยนะ ผมต้องหาเงินไปเรียนต่อนะน้า” เสียงขอร้องอ้อนวอนของชาไทยหนุ่มผมแดงที่มีต่อน้าชายผู้เป็นพี่เลี้ยงของเขา
“สงสารข้าก็สงสารเอ็งอยู่แต่ข้าต้องทำวะ ไอไทย เอ็งแพ้มา 7 นัดติดแล้วนะเว้ย กลับไปพักตัวแล้วฝึกซ้อมมาใหม่ดีๆดีกว่าว่ะหรือไม่ก็กลับไปช่วยงานที่ร้านซะ” ชาเขียวผู้เป็นน้ากล่าวบอกด้วยท่าทีเอือมระอา
“ข้าล่ะเสียดายร่างกายดีๆแบบเอ็งชะมัด ถึงเอ็งจะมีรูปร่างดีใช้ได้ยังไงแต่เชิงมวยของเอ็งกลับไม่พัฒนาขึ้นเลย ข้าคงปล่อยเอ็งลงชกไม่ได้หรอกว่ะ พักตัวซะเถอะ”ชาเขียวยังคงหนักแน่นในคำพูดของตน
“เหอะ! ก็ได้” ชาไทยผู้เป็นหลานที่รู้ตัวดีว่าถึงแม้จะหยอดคำอ้อนวอนหรือทำตัวน่าสงสารยังไงก็คงไม่ได้กลับไปแข่งในเร็ววันแน่จึงถอดใจยอมพักตัวแล้วเดินทางกลับบ้านของตนเองแต่โดยดี
(ภายในร้านหมูกระทะเล็กๆแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสนามมวยไทย)
ขณะที่กำลังทำการปิดร้าน ภายในโกดังเก็บสต๊อกสินค้าของร้าน ยักษ์ ยักษ์ซุปเปอร์หมูกระทะบุฟเฟต์ สองสามีภรรยาวัยกลางคนที่กำลังจัดการกับสารพัดกองเนื้อดิบทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัวและกองอาหารทะเลต่างๆมากมายที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นแสบทรมานจมูก
“โธ่เอ๊ย เนื้อเน่าไปหมดแล้วเนี่ย เสียเวลาจริงๆ” ผู้เป็นภรรยาบ่นออกมา
“ใจเย็นๆ นะกุ้ง” ผู้เป็นสามีไกล่เกลี่ย
“หน็อย นี่คุณ! ไหนบอกว่าแฟรนไชส์หมูกระทะร้านนี้มันดังมากเลยไง ทำไมผ่านมาตั้งสามสัปดาห์แล้วลูกค้าที่เข้าร้านถึงมีแค่ไม่กี่คนเองล่ะ ทำเลก็ดีไม่มีคู่แข่งแถมที่ลงทุนไปก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ” ฝ่ายภรรยาแสดงออกด้วยท่าทางหงุดหงิดเพราะเงินที่ลงทุนไปขาดทุนยับ
“เอาหน่ากุ้ง อย่าโมโหไปสิคุณ ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง ปากต่อปากบอกต่อถึงความอร่อยไงคุณ… โอ๊ย!” เปาผู้เป็นสามียังพูดไม่ทันจบก็โดนกุ้งผู้เป็นภรรยาหยิกหูจนร้องลั่น
“ไม่ได้ฟังที่พูดหรือไง นี่มันสามสัปดาห์แล้ว สาม! สัป! ดาร์! เลยนะเปา”
ตึก ตึก ตึก ตึก
ก่อนที่เปาฝ่ายชายจะโดนกุ้งฝ่ายหญิงผู้เป็นภรรยาขย่ำหัวสั่งสอนอยู่นั้นก็มีเสียงและกลิ่นเหม็นเน่าโชยเข้ามาภายในห้องเก็บสินค้าตีผสมปนเปกันกับกลิ่นคาวของอาหารที่กำลังเน่าเสีย
ชายแก่ลึกลับที่มีเส้นผมหนวดเคราหยิกกระเซอะกระเซิงคล้ายเป็นสังกะตัง เสื้อผ้าสกปรกขาดรุ่งริ่ง ห้อยพระเต็มคอดูรกรุงรังเดินเข้ามาแทรกพร้อมกับยื่นรูปปั้นที่มีลักษณะคล้ายคนนั่งขัดสมาดมีเขี้ยวโค้งงอ รูปร่างคล้ายยักษ์ในเรื่องราวของชาวพุทธขนาดไม่ใหญ่มากยื่นชี้ไปยังทิศทางที่สองสามีภรรยายืนอยู่
“นี่ นี่ มาเอาไปสิ ข้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้าพูดคุยกันเมื่อกี้พอดี ขายไม่ดี ขายไม่ได้ ไม่มีคนเข้าร้านใช่ไหมล่ะ นี่ไงรูปปั้นร่ำรวยของข้า ถ้าหากพวกเจ้านำไปบูชาละก็ข้ารับรองเลยว่าไม่ผิดหวัง หึหึ หึ” ชายแก่ที่ดูเหมือนคนบ้าสติไม่ดีเปิดปากพูดขึ้นจนเห็นฟันดำหลอชักชวนให้ทั้งคู่เข้าไปหา
“เฮ้ย! ไอ้แก่ขอทานซกมกเข้ามาพูดไร้สาระอะไรวะ ออกไปจากร้านซะไปถ้าไม่ออกไปดีๆ อย่าหาว่าไม่เตือนนะโว้ย” แม้จะตกใจที่ชายแก่เข้ามาได้ยังไงแต่กุ้งก็ยังคงมีสติ
“หือ?! นะ นั่นมัน…” เปาหันหลังกลับไปสบตากับรูปปั้นในมือของชายแก่ขอทาน
“นี่คุณก็ด้วยอย่าแม้แต่จะคิ…” กุ้งตะโกนใส่ชายแก่ขอทาน
เสียงของกุ้งผู้เป็นภรรยาตะคอกเสียงดังใส่ชายชราพร้อมหยิบกระทะเหล็กเข้าหาตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ผิดกับเปาผู้เป็นสามีรีบวิ่งกระโดดหน้าตั้งเข้าใส่ชายชราอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจจนตาเป็นประกายเพราะงานอดิเรกของฝ่ายชายคือการเช่าพระเก็บสะสมเครื่องรางของขลังหรือวัตถุโบราณเป็นชีวิตจิตใจจึงไม่แปลกที่จะมีท่าทางแบบนั้น
“นี่ลุง บอกว่าไอ้นี่จะทำให้รวยเงินไหลมาเทมาใช่ปะ? ขายให้ผมหน่อยเถอะนะ เท่าไหร่ว่ามาเลยลุง ผมพร้อมจ่าย” เปาจ้องรูปปั้นตาเป็นมันพร้อมกับถูมือไปมาไม่สนใจว่าชายแก่ขอทานจะเข้ามาด้วยเจตนาอะไรเพราะของที่ชายแก่ขอทานยื่นมาให้นั้น ช่างล่อตาล่อใจเปาเหลือเกิน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตาถึงนี่หว่าไอ้รูปหล่อ ข้าไม่ได้จะขายแต่จะให้เลยต่างหากเล่าเห็นพวกเอ็งดูท่าทางกำลังลำบากคนอย่างข้าที่ได้ของดีมาก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา” ชายแก่พูดอย่างเจ้าเล่ห์ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยปริศนาคาดเดาไม่ได้
“อย่าคืนคำนะลุง! ถ้ามาเอาคืนวันหลังผมไม่ให้คืนหรอกนะจะบอกให้” เปาคว้ารูปปั้นประหลาดมาจากมือของชายแก่อย่างรวดเร็ว
ขวับ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่คงจะเป็นความบังเอิญ พรมลิขิตหรือโชคชะตากันแน่ที่ข้าได้พบกับเอ็ง หึ หึ หึ” ชายแก่ขอทานทำหน้ากรุ้มกริ่มพึมพำอะไรบางอย่างในลำคอ
กุ้งไม่ทันที่จะได้ห้ามปรามสามีของตน รูปปั้นแปลกประหลาดก็มาอยู่ในมือของเปาเสียแล้ว ชายชราเดินกะเผลกออกจากโกดังเก็บสินค้าด้วยท่าทางมีความสุขพร้อมกับพึมพำหัวเราะคิกคักเบาๆ อยู่ในลำคอ
“ดะ เดี๋ยวก่อนสิไอ้ขอทานเอาได้รูปปั้นบ้านี่กลับไปด้วย” กุ้งตะโกนเรียก
ขวับ
เงียบฉี่~
กุ้งผู้ที่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องงมงายไร้สาระต้องการจะนำรูปปั้นแปลกประหลาดไปคืน จึงตั้งสติรีบหยิบคว้ารูปปั้นจากมือของเปาเพื่อที่จะไปคืนชายชรา แต่เมื่อสายตาโผล่ออกมาพ้นประตูโกดังก็ไม่เจอชายแก่ขอทานทั้งๆ ที่ตนเองก็วิ่งตามหลังออกมาติดๆ แท้ๆ
ตึก ตึก ตึก ตึก
“หายไปไหนกันวะไอ้ขอทาน เร็วชะมัดแล้วทีนี้จะเอาไปทิ้งที่ไหนล่ะเนี่ย” กุ้งบ่นพร้อมกับมองรูปปั้นประหลาดในมือด้วยความหงุดหงิด
หมับ
“นี่คุณ! ผมเป็นคนได้มาน่ะ ของฟรีๆดีๆอย่างนี้จะเอาไปคืนให้เสียของทำไม” เปาที่ตามออกมาคว้ารูปปั้นในมือฝ่ายหญิงไปลูบกอดด้วยท่าทางหวงแหน
“ของดีงั้นเหรอ? ของโจรสิไม่ว่า ไม่รู้ว่าไอ้ขอทานนั่นมันไปขโมยรูปปั้นสยองขวัญนี่มาจากไหน โยนๆ มันทิ้งไปซะเถอะคุณ” กุ้งกล่าวบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
กุกกัก กุกกัก
“อ้อ! แอ่! อองอ๋าอะไออันอ้างอ้อกออ?”( พ่อ! แม่! มองหาอะไรกันข้างนอกหรอ?) หนุ่มผมแดงพูดอู้อี้ด้วยปากที่ปวมออกมาอย่างกับลูกมะกรูด
เสียงอู้อี้ของชายหนุ่มผมแดงโดดเด่นที่มีใบหน้าปูดช้ำผู้เป็นลูกชายของสองสามีภรรยากำลังเดินเข้ามาหาหลังจากกลับจากการแข่งขันชกมวยไทยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
ชาไทย เป็นหนุ่มนักเรียนอายุ 18 ปีผู้ย้อมผมทั้งหัวเป็นสีแดงเขาเพิ่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 6 แต่ด้วยความที่ไม่มีเงินเก็บพอค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อและไม่อยากขอเงินพ่อแม่จึงมุ่งหน้าซ้อมมวยไทยที่ยิมของน้าใกล้บ้านเพื่อหวังว่าจะเป็นทุนเก็บเอาไว้ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับมหาวิทยาลัยต่อไป
โดยงานอดิเรกยามว่างของเขาก็คงหนีไม่พ้นความชอบในเรื่องของเครื่องรางของขลังและเหล่าสิ่งมีชีวิตในตำนานหรือเรื่องเล่าลี้ลับน่ากลัวๆในพื้นที่ต่างๆเหมือนอย่างเช่นพ่อของเขา
ตึก ตึก ตึก ตึก
“หาว~ งืม งืม เสียงดังอะไรกันเหรอพ่อ แม่ อ๊ะพี่ชาไทยทำไมหน้าพี่ถึงดูตลกอย่างนั้นล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กชายตัวน้อยอายุราวๆ 6 ขวบเดินลากตุ๊กตาหมีขนปุยออกมาอย่างสะลึมสะลือเพราะเสียงดังที่รบกวนการนอนของเจ้าตัว ก่อนจะหัวเราะขึ้นเสียงดังเพราะหันไปเห็นใบหน้าพี่ชายของตนเอง
“เอียบไอเอยเอ้าเอี้ย”( เงียบไปเลยเจ้าเตี้ย) หนุ่มผมแดงพูดไปกุมปากไป
“อ้าวไอ้ไทย! พูดแบบนั้นใครเขาจะไปฟังรู้เรื่องกัน อมอะไรอยู่ในปากน่ะลูก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เปาผู้เป็นพ่อถามขึ้นพร้อมกับหัวเราะขำใบหน้าของลูกชายของตนก่อนจะเดินเข้าร้านไปอย่างอารมณ์ดี
“หึ หุบปากไปเลยคุณน่ะ” กุ้งยังคงอารมณ์เสีย
จากนั้นทั้งสองแม่ลูกจึงพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นและได้รับรู้ความจริง
“โธ่~ เรื่องแค่นี้เองแม่ ขอทานแถวนี้ก็ชอบเข้ามาขอข้าวกินออกจะบ่อย อีกอย่างแม่ก็รู้ว่าพ่อเป็นแบบนั้นประจำชอบสะสมของไร้สาระอยู่เรื่อย ถึงจะห้ามไปยังไงตอนนี้ก็คงกู่ไม่กลับแล้วละ” ชาไทยที่พยายามทนเจ็บพูดบอกแม่ของตนถึงความดื้อของพ่อตัวเอง
“เฮ้ย~ ไร้สารงไร้สาระอะไรกันวะ เงียบๆไปเหอะน่าไอลูกคนนี้เห็นๆกันอยู่ว่าถ้าพ่อเผลอเมื่อไรก็เสร็จเอ็งหยิบไปเล่นแน่” เปาที่กู่ไม่กลับแล้วได้ยินจึงพูดดุหยอกล้อด้วยท่าทางไม่จริงจัง
“แล้วผลการชกเป็นยังไงบ้างละลูก” กุ้งเอ่ยถาม
“แน่นอน! ก็ต้องแพ้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ ฮ่า ฮ่า” เด็กชายตัวน้อยหัวเราะร่าออกมา
“ห๊า! เจ้าบ้านี่ แม่ก็ไม่น่าถามนะแม่ แม่คงจะเห็นหน้าของผมแล้วใช่ไหมล่ะคงจะรู้ผลอยู่แล้วสินะแม่” ชาไทยพูดอย่างยากลำบากด้วยเสียงอู้อี้
“ฮ่า ฮ่า แม่เป็นแม่ของลูกนะ แม่นะรู้ผลตั้งแต่ลูกออกจากบ้านแล้วละ กะว่าจะต้องปิดร้านแล้วไปรับลูกที่โรงพยาบาลเหมือนครั้งก่อนเสียด้วยซ้ำแต่ยังดีที่ครั้งนี้กลับมาเองได้นะ ฮ่า ฮ่า” ผู้เป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายปนกวนหยอกล้อลูกชายผมแดงของตนเองร่วมกันกับลูกชายคนเล็กอย่างสนุกปาก
จากนั้นทั้งสามคนแม่ลูกก็ได้แต่นั่งดูผู้เป็นสามีและพ่อของตนทั้งปัดทั้งขัดรูปปั้นหน้าตาประหลาดอย่างหน่ายใจก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อน