ตอนที่2_อสุรกายในร้านหมูกระทะ

3017 Words
ตอนที่ 2 อสุรกายในร้านหมูกระทะ (เช้าวันถัดมา) หลังจากได้รับรูปปั้นประหลาดมาจากชายแก่ขอทานแล้ว เปาผู้เป็นพ่อก็ยังคงขัดถูรูปปั้นอย่างทะนุถนอมอยู่ในห้องสะสมเครื่องรางของตนพร้อมกับชาไทยลูกชายหัวแดงของตนที่ถูกบังคับให้มาช่วยงานอย่างไม่ค่อยเต็มใจแต่เช้า “เอ่อ …เอาล่ะนะชาไทยลูกพ่อ ในนี้บอกว่าแค่นำเนื้อดิบว่าถวายรูปปั้น พ่อว่าเราใช้เนื้อที่ใกล้เสียหรือเสียแล้วที่ค้างสต๊อกอยู่ก็คงไม่น่าเป็นไรหรอกมั้งนะ” “พ่อจะทำอะไรก็เรื่องของพ่อเลยแล้วกัน ผมง่วงจะตายอยู่แล้ว หาว~” ชาไทยพูดตอบกลับขณะที่กำลังงัวเงียอยู่ เมื่อชาไทยที่พอจะสนใจในเรื่องเครื่องรางของขลังและเรื่องลี้ลับเป็นงานอดิเรกเหมือนอย่างเช่นพ่อของเขาอยู่แล้วจึงเออออไปตามระเบียบ ทั้งสองพ่อลูกจึงจัดเตรียมถวายเครื่องบูชาเป็นเนื้อหมูดิบแก่รูปปั้นและจุดธูปทำพิธีจนเสร็จแล้วแยกย้ายกันไปทำกิจวัตรของตัวเองต่อ จ้อกแจ้ก จ้อกแจ้ก ภายในเย็นวันนั้นหลังจากทำการเปิดร้านทั้งสามคน พ่อ แม่ ลูก แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อลูกค้าที่ปกติจะมีเพียงสองถึงสามกลุ่มแต่วันนี้ลูกค้ากลับแน่นร้าน จนที่นั่งแทบจะไม่พอ บริการกันแทบจะไม่ทันของที่มีอยู่ทุกอย่างก็ถูกตักจนหมดเกลี้ยง ทั้งสามคนถึงกับมองหน้ากันด้วยอารมณ์ที่ทั้งแปลกใจ ดีใจปนเปกันไปพร้อมกับนึกถึงรูปปั้นยักษ์ประหลาด “ว้าว มาจากไหนกันเยอะแยะไปหมดเนี่ย” กุ้งไม่คิดไม่ฝันว่าคนจะเข้ามาเยอะขนาดนี้ “ละ เหลือจะเชื่อหรือว่าจะเป็นเพราะรูปปั้นประหลาดๆนั่นจริงๆ” ชาไทยที่เมื่อก่อนชื่นชอบในเรื่องสิ่งลี้ลับเพียงเพราะอยากฆ่าเวลายามว่างและมักเอาเครื่องรางของขลังที่พ่อของตนเก็บสะสมเอาไว้มาเล่นเอาสนุกเพียงเท่านั้นก็เริ่มจะเปิดใจเชื่อเรื่องลี้ลับขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “คนเยอะเลย คนเยอะเลย เย้ เย้” ชามะลิเด็กชายตัวน้อยตื่นเต้นเมื่อได้เห็นลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาแทบจนล้นออกจากร้าน “ชาไทย! ชามะลิ! มาช่วยแม่เติมของที่หมดหน่อยเร็วลูก” กุ้งเรียกลูกๆของตนที่มัวแต่ยืนดูอย่างเดียวเข้าไปช่วยงาน “โก โก โก” เด็กชายตัวน้อยวิ่งตามผู้เป็นแม่ไปด้วยพลังงานที่เหลือล้น “หุ หุ เห็นไหมละต้องเป็นเพราะรูปปั้นจากตาแก่ขอทานนั่นแน่ๆ ถ้ามาอีกเมื่อไหร่จะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้เวลารวยกันแล้วล่ะงานนี้พรรคพวกเอ๋ย” เปายืดอกพูดขึ้นมาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ หลังจากวันนั้นทั้งสี่คน พ่อ แม่ ลูก ก็ถวายบูชาเนื้อดิบต่างๆ แก่รูปปั้นประหลาดอย่างไม่ขาดตกบกพร่องทุกวันโดยเฉพาะเปาผู้เป็นพ่อเอาหมกตัวอยู่แต่ในห้องสะสมทั้งบูชาขัดถูรูปปั้นจนเงาวับโดดเด่นกว่าชิ้นไหนๆ สวดมนต์เช้าเย็นอย่างเป็นกิจวัตร ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีอย่างผิดหูผิดตา กิจการดีขึ้น รายได้เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยผ่านไป 1 สัปดาห์ ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ร้าน ยักษ์ ยักษ์ซุปเปอร์หมูกระทะบุฟเฟต์มีลูกค้าแน่นร้านตามเคย จ้อกแจ้กจอแจ “อ่า~เสียงพูดคุยกันของลูกค้าและเสียงย่างเนื้อที่อยู่บนกระทะมันช่างไพเราะเหลือเชื่อจริงๆ~”ชาไทยยิ้มหน้าบานพึมพำกับตัวเองอย่างเคลิบเคลิ้มไปกับการฟังเสียงและเฝ้าดูภาพบรรยากาศที่เห็นตรงหน้า “ชาไทย! รู้ไหมลูกว่าพ่อเค้าไปอยู่ไหน? แม่ไปดูที่ห้องสะสมของพ่อก็ไม่เจอเลยคนเยอะขนาดนี้แท้ๆแอบไปอู้ที่ไหนกัน พักนี้ก็ดูแปลกๆ พอตกเย็นก็ชอบหายไปไหนไม่บอกกันก่อนแบบนี้ประจำ” กุ้งบ่นจู้จี้ ชาไทยส่ายหัวพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเติมของวัตถุดิบและการบริการลูกค้า กุ้งผู้เป็นแม่จึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปเปิดประตูโกดังเก็บสินค้าหลังร้านเพื่อจะนำวัตถุดิบออกมาเตรียมไว้ช่วยลูกชายอีกแรง กร้วม กร้วม เสียงเคี้ยวกัดแทะของอะไรบางอย่างดังออกมาจากภายในส่วนลึกสุดของโกดังเก็บสินค้า “หือ? เสียงอะไรนะ อย่าบอกนะไอ้หย็องมาแอบกินอีกแล้วสินะ หน็อยทีนี้แหละจะตีให้เข็ด!” กุ้งค่อยๆเดินไปบ่นไปเพราะคิดว่าไอ้หย็องสุนัขของเพื่อนบ้านเข้ามาขโมยกินเศษเนื้ออีกแล้วจึงหาไม้เพื่อที่จะไปตีให้รู้สำนึก ก่อนจะพบความจริง… เพล้ง! “กรี๊ดดดด!!” เสียงแก้วที่หลุดจากมือของกุ้งตกลงพื้นจนแตกละเอียดมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องตกใจดังสนั่นของกุ้ง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของกุ้งกลับไม่ใช่ไอ้หย็องสุนัขของเพื่อนบ้านที่คิดไว้แต่กลับเป็นร่างของบางสิ่งรูปร่างใหญ่โตคล้ายคนดวงตาแดงก่ำส่องสว่างสะท้อนแสงในความมืดกำลังคุ้ยหาและกัดแทะกินเนื้อดิบอย่างตะกละตะกลาม จนกุ้งถึงกับล้มหมดสติไปกับพื้น… “เครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟหรือยังครับ” พนักงานชายภายในร้านหมูกระทะถามขึ้น “ได้แล้วๆ จานนี้ของโต๊ะ 2 นะครับ…หือ?” เสียงของกุ้งดังขึ้นทำให้ชาไทยเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ “หือ?! เสียงของคุณกุ้งไม่ใช่เหรอคะ” พนักงานหญิงที่อยู่ใกล้เคียงก็หันไปมองยังที่มาของเสียงอย่างพร้อมเพรียง เสียงกรี๊ดของกุ้งดังสนั่นจนแทรกเล็ดลอดเข้าไปในร้านแม้จะมีเสียงดนตรีบรรเลงคลอเคลียเบาๆ อยู่ก็ตาม ชาไทยรวมถึงพนักงานและลูกค้าในร้านเริ่มสงสัยที่มาของเสียง ด้วยความผิดสังเกตชาไทยจึงเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ชาไทยกำลังจะเอื้อมมือไปจับประตูก็มีบางสิ่งขนาดใหญ่พุ่งกระแทกประตูออกมาเข้าใส่ตัวชายหนุ่มผมแดงอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไปหน้าร้านที่เป็นโซนลานหมูกระทะกลางแจ้ง โครม! กรรรร! อสุรกายที่กระโจนออกมากระแทกใส่ชายหนุ่มมีร่างกายสูงใหญ่โตท้องกลมพองแต่แขนขากลับผอมแห้ง ผิวหนังหยาบกร้านแทบจะติดกระดูก ดวงตาเบิกกว้างสีแดงก่ำ เขี้ยวแหลมงอโค้งดูคล้ายอสุรกายยักษ์ที่หลุดออกมาจากหนังสือหรือภาพยนตร์ไทยพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมา รอยเลือดที่หยดลงพื้นและเศษเนื้อเปรอะเปื้อนติดตามบริเวณปากดูน่าสยดสยองมันสูดดมกลิ่นอยู่สักพักแล้ววิ่งกระโจนเข้าใส่ลูกค้าภายในร้านด้วยความหิวกระหาย “กรี๊ดดดด!!” “ตะ ตัวเชี่ยอะไรวะเนี่ย!!” เสียงของผู้คนในร้านเอะอะโวยวายเสียงดัง พนักงานและลูกค้าจำนวนมากที่เห็นหรือสบสายตากับอสุรกายต่างรีบลุกออกจากที่นั่งของตนอย่างชุลมุน บางคนใจกล้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย หวังบันทึกไว้เป็นหลักฐานก่อนจะพบว่าไม่มีสิ่งใดถูกบันทึกในหน้าจอเห็นเพียงโต๊ะและเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดเท่านั้น บางคนตะโกนกรีดร้องด้วยความแตกตื่นพร้อมกับวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปจากร้าน “กรี๊ดดดด!! น่ะ…หนีเร็ว!” “ยะ อย่าเข้ามาน๊า!” “โอ๊ย…ห่ะ เห้ย!? มะ ไม่ใช่พวกถ่ายคลิปแกล้งกันอยู่หรอกนะ” ชาไทยกวาดตามองไปมาเพื่อว่าจะมีกล้องที่แอบถ่ายอยู่ตรงไหนบ้าง ชาไทยที่เห็นอสุรกายกำลังจะมุ่งหน้าเข้าหากลุ่มลูกค้าแม้จะกลัวจนตัวสั่นและยังหาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นคือเรื่องจริงหรือไม่อย่างไรและด้วยความที่คิดว่าตัวเองพอจะมีเชิงมวยอยู่บ้าง อาจจะพอถ่วงเวลาเพื่อหวังให้ลูกค้าหนีออกไปได้ จึงรวบรวมความกล้าพุ่งตัววิ่งเข้าใส่พร้อมใช้หมัดขวาต่อยเข้าไปที่บริเวณใบหน้าของอสุรกายอย่างเต็มแรง “ย๊ากกก!!” ผลัวะ! “เอ๊ะ?! ขะ ของจริงหรอฟะ!” หมัดขวาของชาไทยที่ต่อยออกไปสุดแรงไม่ระคายผิวของอสุรกายแม้แต่น้อย กรรร!!! ร่างของอสุรกายไม่แม้แต่มีรอยขีดข่วนในจุดที่โดนต่อย ซ้ำยังละความสนใจจากกลุ่มลูกค้าแล้วหันมาสนใจเหยื่อคนใหม่อย่างหนุ่มผมแดงแทน อสุรกายพุ่งเข้าใส่ง้างเล็บแหลมคมฟาดใส่ชายหนุ่ม แม้ชาไทยจะนำแขนทั้งสองข้างขึ้นมาป้องกันตัวไว้ได้ทันก็ตาม แต่ก็ไม่อาจทนแรงอันมหาศาลของอสุรกายได้จนถูกขว้างกระเด็นลอยไปกระแทกเข้ากับฝาผนังกระเบื้องของร้าน โครม!! “เหวอ…ไอ๊หยา! ตกใจหมดเลยวุ้ย โอ้ววเจ้าหัวเงาะ! ข้าเห็นน้า~ กล้าดีนี่หว่าโดนพลังหมัดของกุมภัณฑ์หิวโซซัดเข้าไปแบบนั้นแต่แทบจะไม่เป็นอะไรเลยนะเจ้าเงาะ ฮี่ ฮี่” เสียงพูดของชายแก่สูงอายุผมขาวหนวดยาวเคราเฟิ้มดูสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย ใส่แว่นตาใสกลมโตพร้อมกับสวมสร้อยหินประคำเต็มคอ มีการแต่งตัวจัดจ้านสไตล์ฮิปปี้เสื้อสีม่วงขาวแหวกอกกางเกงขายาวทรงกระบอก “ง่ำ ง่ำ อืมมม ใช่ ข้าเห็นด้วยกับท่านนะอาจารย์ใหญ่ ไอ้หนุ่มนี่ก็แรงดีจริงๆแหละ ไม่แปลกใจที่อาจารย์กิ่งแก้วถึงขั้นสั่งให้พวกเรามารับตัวหมอนี่ด้วยตัวเอง…เอิ้ก แต่แค่นี้ก็คงเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีดีแค่ร่างกายเท่านั้นแหละ” ชายวัยกลางคนร่างท้วมสูงใหญ่ มีหนวดเคราหนา ผมหยิกฟูกระเซอะกระเซิงสีน้ำตาลเข้มดูๆแล้วคล้ายแผงคอสิงโต คิ้วหนาดกดำ ใส่ชุดนอนมาสคอตจระเข้สีเขียวทั้งตัวแบบมีซิปด้านหน้าที่กำลังเคี้ยวเนื้อในปากอย่างมูมมามเห็นด้วย “พี่ของผมเจ๋งใช่มั้ยล้า~ พี่เขาทนหมัดของนักชกดาวรุ่งอย่างรถตู้ จิตหงุดหงิดได้ถึง 13 วินาทีเลยน๊า” เด็กชายตัวน้อยที่โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงกล่าวขึ้นขณะที่กำลังนั่งพลิกหมูไปมาอยู่ข้างๆ “เอ๊? เจ้าเด็กน้อยนี่มาตั้งแต่ตอนไหนกันเนี่ย เอาเต๊อะนั่งอยู่เฉยๆ อย่าให้โดนลูกหลงก็แล้วกัน” ชายแก่ฮิปปี้กล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “เจ้าหนูน้อย นี่เจ้าไม่กลัวเจ้าอสูรร้ายตัวนั้นงั้นเหรอ” ชายร่างท้วมถามเด็กชายที่นั่งเคี้ยวหมูอยู่ข้างๆ “ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลยก็เห็นแบบนั้นตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา ง่ำ ง่ำ” เด็กชายตัวน้อยพูดออกมาเพราะคงจะเคยเห็นรูปปั้นประหลาดต่างๆ และของสะสมของพ่อตั้งแต่จำความได้แล้ว “อืม เป็นเด็กที่แปลกดีจริงๆ หลบอยู่หลังข้าล่ะจะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย” ชายร่างท้วมกล่าวบอกอย่างใจดีแม้ตนเองจะโดนเศษหินเล็กหินน้อยลอยมากระแทกรบกวนการกินก็ตาม “แค่ก!!” “แค่ก ไอ้เวรนี่หมัดหนักกว่าไอ้รถตู้ขี้เก๊กปากมากนั่นซะอีก” ชาไทยที่เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเศษฝุ่นพยายามครองสติลุกขึ้นมาอีกครั้ง ชาไทยที่อยู่ในสภาพเนื้อตัวสะบักสะบอมลุกขึ้นแล้วหันไปเห็นชายที่ดูท่าทางสติไม่ดีทั้งสองคนด้านข้างตนเองที่กำลังปิ้งหมูบนกระทะและคีบเนื้อเข้าปากเคี้ยวกันอย่างสบายใจเฉิบไม่มีทีท่าร้อนรนหรือสั่นกลัวใดๆ เฉกเช่นลูกค้ารายอื่นๆ ที่วิ่งหนีออกไปก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย กรอด ชาไทยกัดฟันแน่นเตรียมตัวมุ่งตรงเข้าใส่อสุรกายอีกครั้งและพยายามใช้ตัวเข้ารับการโจมตีเพื่อปกป้องชายที่ดูท่าทางแปลกประหลาดทั้ง 2 คนเอาไว้ “หน็อยแน่ เจ็บชะมัดไอ้เวร! แล้วนี่พวกลุงเป็นใครกันออกไปกันได้แล้ว ทำไมยังไม่หนีไปอีกถ้าไม่รีบหนีไปตอนนี้คงจะ…อ๊ะ!!” ผลัวะ!! ไม่ทันได้พูดจบหมัดตะปุ่มตะป่ำของอสุรกายก็พุ่งเข้าใส่ไปที่ใบหน้าของชาไทยอีกครั้ง เลือดสีแดงเข้มคำโตกระอักออกมาจากปากจนทำให้สติอันน้อยนิดของชายหนุ่มเกือบจะดับวูบไป แผลบ อสุรกายแลบลิ้นที่เรียวยาวขรุขระสีม่วงออกมาจากปากตวัดไปมาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเพื่อลิ้มรสชาติเลือดสดๆ ที่กำลังไหลรินออกมาจากปากของหนุ่มผมแดงอย่างเคลิบเคลิ้ม จากนั้นมันจึงใช้แขนทั้งสองข้างที่ทรงพลังจับบีบรัดคอของชายหนุ่มเอาไว้พร้อมกับอ้าปากจนริมฝีปากฉีกออกถึงหูเผยให้เห็นฟันโค้งงอสกปรกเหม็นเน่าที่มีเศษเนื้อติดอยู่และหวังจะกลืนกินหนุ่มผมแดงเข้าไปทั้งตัว “ปะ ปล่อยนะเว้ย มะ…ไม่ยอมเข้าไปในปากเหม็นเน่าโสโครกของแกหรอกนะโว้ย!” หนุ่มผมแดงดิ้นรนต่อต้านตะโกนลั่นใส่หน้าอสุรกายด้วยความสิ้นหวัง แม้หนุ่มผมแดงที่พยายามยื้อยุดขัดขืนอย่างสุดกำลังก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากการบีบรัดอันทรงพลังนี้ได้ จนสติของชายหนุ่มเริ่มเลือนรางลงและร่างกายที่พยายามต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ก็แน่นิ่งไปในที่สุด… หือ? “อืมๆ หมดสภาพซะแล้วนะไอ้หนุ่มนั่น สงสัยคงจะไม่พ้นมือข้าอีกแล้วล่ะมั้งนะ” ชายร่างท้วมในชุดนอนมาสคอตจระเข้สีเขียวเข้มกล่าวขึ้นขณะที่กำลังเตรียมลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อที่จะไปช่วยหนุ่มผมแดงที่หมดสภาพจากเงื้อมมือของอสูรร้าย “เอาหน่า เอาหน่า ใจเย็นก่อนสิอาจารย์ไกรเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป รอดูอีกสักหน่อยเต๊อะเหมือนว่าข้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากเจ้าหัวเงาะนั่น ดูๆ ไปแล้วก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยล่ะเน้อ” ชายแก่ฮิปปี้พูดห้ามปรามเพราะสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับบางอย่างภายในตัวของหนุ่มผมแดงที่ร่างกายแน่นิ่งไปแล้ว ไกรได้แต่ทำหน้างุนงงเพราะคนเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังจะถูกกลืนเข้าไปทั้งเป็นอยู่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่มีทางเลือกต้องเข้าไปจัดการขัดขวางเป็นธรรมดาแม้ที่ผ่านมาตนเองจะนั่งคีบหมูกระทะเข้าปากอย่างสบายใจเฉิบและมองดูลูกค้าคนอื่นๆ วิ่งออกไปอย่างชุลมุนด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไรก็ตาม เพราะอะไรเขาถึงต้องร้อนรนเพื่อรีบไปช่วยหนุ่มผมแดงคนนั้นกัน ส่วนแววตาสีดำอมเทาของชายแก่ฮิปปี้ได้แต่จับจ้องมองไปยังส่วนที่อยู่ลึกที่สุดภายในจิตใจของชายหนุ่มผมแดงตรงหน้าเหมือนกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่… (พื้นที่ภายในจิตใจ) หลังจากชายหนุ่มหมดสติไปก็ได้เข้ามาอยู่ในห้วงมิติดำมืด พื้นที่อันขุ่นมัวภายในส่วนลึกของจิตใจชายหนุ่ม มันทั้งว่างเปล่าจนไม่อาจเห็นสิ่งใดอย่างผู้มืดบอด มันทั้งเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงที่อยู่ลึกที่สุดภายในจิตใจดังออกมาได้… ‘เฮ้ย!’ ‘เฮ้ย!’ ‘เฮ้ย! เฮ้ย! โฮ้ย! ได้ยินรึเปล่าวะไอ้บื้อ เจอแค่ยักษ์พันทางกระจอกๆ อย่างไอ้พวกกุมภัณฑ์แค่นี้ก็หมดสภาพแล้วหรอวะ ไอ้มนุษย์!’ หนุ่มผมแดงรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงต่ำเข้ม แข็งกร้าวที่ดูราวกับนักเลงห้าวเป้งแต่ออกแนวกวนๆ พูดดังก้องขึ้นภายในห้วงลึกของจิตใจแม้จะไม่สามารถสัมผัสหรือระบุตัวตนที่มาของเสียงนั้นได้ก็ตาม ‘…’ ชาไทยพยายามตอบกลับแต่ก็ไม่สามารถเปิดปากของตนเองเพื่อที่จะโต้ตอบออกไปได้ ‘ข้าล่ะไม่อยากจะโม้จริงจริ๊งถ้าเป็นข้าเมื่อสมัยอดีตละก็แค่ดีดนิ้วเป๊าะเดียวเจ้ากุมภัณฑ์นั่นก็ได้กลับบ้านเก่าไปแล้วนา’ เสียงปริศนายังคงพูดเรื่อยเปื่อยซึ่งชาไทยเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังพูดถึงอะไรกันแน่ ‘เฮ้อ~ เอาเถอะ ถ้าเอ็งตายไปมีหวังนายท่านของข้าคงยัวะสุดๆ แน่เลยฟะ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่ข้าจะต้องแสดงตัวออกไปแต่ก็คงช่วยไม่ได้ถือซะว่าข้าใจดีสุดๆ แล้วนะเฟ้ยเจ้ามนุษย์บื้อ!’ ‘แต่ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าร่างกายมนุษย์อันบอบบางของเอ็งมันจะทนรับแรงกดดันจากพลังงานอาคมของข้าได้รึเปล่า ข้าหวังว่าร่างกายของเอ็งมันจะไม่ถูกเผาไหม้ไปเสียก่อนละไม่งั้นคนที่ซวยคงเป็นข้าแน่ๆ เข้าใจไหมเจ้ามนุษย์’ ‘…’ ชาไทยที่ไม่สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้สักคำเดียว ได้แต่ทำสีหน้าไม่เอาด้วยอย่างแรงแม้เจ้าของเสียงปริศนาจะไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็ตาม ‘เอาละงั้น …เอ็งก็เตรียมตัวเตรียมใจปล่อยร่างกายกับจิตใจไปตามสบายได้เลยข้าจะออกไปเตะตูดไอ้พันทางโง่นั่นให้แทนเอ็ง แล้วจะแสดงให้เอ็งเห็นเองว่ายักษ์ของจริงมันเป็นยังไง…’ เจ้าของคำพูดแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมดวงตาสีแดงที่ส่องเป็นประกายในความมืด… หลังจากสิ้นเสียงคำพูดสุดท้ายของตัวตนปริศนาจบลงร่างกายของชาไทยก็ขยับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังงานอาคมความร้อนที่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ฟู่~
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD