“ลดทำไม” ฐิรดลถามยิ้ม ๆ
“ก็ ลดให้ที่...ที่ช่วยมาส่งพราวไงคะ” บอกเขิน ๆ “แบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งนายพราน...”
“มีที่ไหนกันสุภาษิตแบบนั้น” ฐิรดลโต้กลับแล้วก็ขำออกมาดังลั่น “อันนั้นมันน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไม่ใช่หรือ”
เด็กสาวหน้าแดงอายหนักกว่าเดิม เพราะเรื่องนี้เป็นปมด้อยของเธอเลย เธอไม่ค่อยสันทัดสุภาษิตคำพังเพยสักเท่าไร ยิ้มแหย ก้มหน้างุด ตอบรับตามเขาไป
“ใช่ค่ะ ใช่ ใช่อย่างที่พี่คีย์พูดนั่นแหละค่ะ”
แว่วเสียงทุ้มบอกกลับมาว่า “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก”
เขาคุยกับเธอด้วย แถมยังเป็นกันเองอีกต่างหาก ภัทรวรินทร์อยากร้องกรี๊ด ๆ ออกมานัก แต่เธอไม่เคยทำกิริยาเช่นนั้น หากให้กรี๊ดออกมาจริง ๆ ก็คงมีเพียงเสียง เบา ๆ ผ่านออกจากปากเท่านั้นเองละมั้ง เด็กสาวเก็บอาการดีใจเอาไว้จนมิดชิด ก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อเห็นว่าเขาพารถเลี้ยวเข้าซอยไปยังอีกทางที่ไม่ใช่ทางกลับบ้านของเธอ
และเพราะว่ามัวแต่ตกใจเลยไม่ทันได้สังเกตว่าฝนเริ่มตกลงมาอีก รอบนี้ดูจะตกหนักกว่าเมื่อครู่นี้อีกด้วย
เห็นเขาพารถออกนอกเส้นทาง ตรงเข้าไปจอดในบ้านที่ภายนอกดูมืด ลึกลับ น่ากลัว ก็ทำให้ใจคอไม่ดีขึ้นในทันที
ฐิรดลจอดรถแล้วถอดหมวกนิรภัยของเขาออกแล้วหันมาบอกเธอว่า “แวะบ้านเพื่อนพี่หลบฝนก่อนนะ”
อ้าปากจะบอกเขาว่าเธอลุยฝนกลับบ้านได้ แต่แล้วเสียงทักทายก็แผดดังออกมาจากด้านในเสียก่อน “ใครมาวะ มาไม่บอกก่อน เดี๋ยวยิงหัวหลุดเลย”
ฐิรดลส่ายหัวเบา ๆ ตะโกนตอบคนถามกลับไป
“กูเอง”
คนในบ้านกรูกันออกมาเมื่อได้ยินว่าใครมาเยือน ภัทรวรินทร์เห็นคนพวกนั้นก็มองด้วยสายตาระแวงไม่ไว้ใจกอดถุงของแนบกับอกแน่น มองซ้าย มองขวา หาทางหนีทีไล่
เด็กสาวเกิด เติบโต ใช้ชีวิตในเรือนมาลี ที่ไม่ใช่โลกสีชมพูแสนสวยงาม แล้วยังถูกสมสมรพูดกรอกหูเธออยู่บ่อย ๆ ว่าอย่าได้ไว้ใจใครโดยเฉพาะพวกผู้ชาย ทั้งยังยกกรณีข่าวและเรื่องเล่า ปากต่อปากจากใครต่อใครมาคอยขู่เสมอ ทั้งเรื่องถูกปล้ำ ถูกล่วงเกิน ล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ลืมย้ำตอนท้ายว่าให้เธอหัดกลัวบ้าง หากกลัวแล้วก็จะรู้จักระแวงระวังภยันตรายไม่ให้เข้ามากล้ำกรายใกล้ตัวได้
“ใครวะ”
เสียงชายหนึ่งในนั้นถามเสียงดังขัดความคิดของเธอ ฐิรดลมองมาที่เธอแล้วก็ตอบทางนั้นไปว่า “เพื่อนยายครีม”
“อ๊ะ ๆ เพื่อนน้องครีม น่ารักกว่าน้องครีมอีก นะเว้ยเฮ้ย หวัดดีครับคนสวยเพื่อนน้องครีม”
“ชื่ออะไรครับ”
“พราวค่ะ”
“มึงอย่าวุ่นวายกับน้องมากนัก”
“พี่ชื่อโพด ไอ้นั่นพิษ นี่ชื่อไพ คนโน้นพิพู”
จากที่กลัวพวกเขาในทีแรก ภัทรวรินทร์หัวเราะจนตาปิดเมื่อได้รับการแนะนำตลก ๆ จากเพื่อนของฐิรดล
ช่วงที่รอให้ฝนซาคนเหล่านั้นชวนสนทนาอยู่ตลอด ทั้งยกน้ำดื่มและขนมมาวางให้เธอกินไปพลาง ๆ อีกด้วย
ทีแรกเธอกลัวไม่กล้ากิน ฐิรดลเห็นแล้วก็เข้าใจบอกให้คนในวงสนทนาที่ทำหน้าที่บริการคนอื่น ๆ ไปซื้อน้ำดื่มที่ร้านค้าข้าง ๆ มาให้เธอ จึงเปิดดื่มจิบน้อย ๆ ฟังพวกเขาคุย
ค่อยพบว่าเป็นคอเดียวกันในหลาย ๆ เรื่อง พวกเขาคุยสนุกและตลกดี ที่สำคัญไม่มีใครพูดจาไร้มารยาทแทะโลมเธอเลยแม้แต่คนเดียว ไม่เหมือนพวกที่นั่งดื่มกันตรงร้านค้าปากซอยก่อนจะเดินเข้าบ้าน พวกนั้นตะโกนเรียกเธอ ถามเธอด้วยคำถามหยาบ ๆ หลายต่อหลายครั้ง
“ฝนซาแล้วนะ” เสียงบอกเป็นรอบที่สามดังขึ้น
ภัทรวรินทร์มองออกไปด้านนอกแล้วก็นั่งฟังเรื่องเล่าของชายที่ดูโตสุดที่ชื่อไพ
คนที่แนะนำตัวคนแรกด้วยชื่อโพดกล่าวหยอกเย้าเขากลับไปว่า
“ไหนครับ ฝนซาแล้วซาตรงไหน ยังลงเม็ดอยู่เลย ขี้หวงนะเนี่ย”
ฐิรดลพยักเพยิดหน้าใส่เพื่อน ไม่ตอบว่าอะไร “คุณรีบกลับก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวกูไปส่งน้องพราวเองก็ได้ครับ คุณคีย์รีบกลับไปนอน ก็กลับก่อนได้เลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ฐิรดลถอนใจเบา ๆ แล้วลุกไปเอาของของเธอมาอุ้มถือก่อนจะส่งสายตาเรียกด้วยแววตาขรึม ๆ บอกขึ้นว่า “กลับได้แล้วพราว เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง”
เธอขยับตัวลุกยืนในทันที แล้วยกมือไหว้เพื่อน ๆ ของเขา
“พราวไปนะคะ ขอบคุณพี่ ๆ มากค่ะ”
“เดี๋ยวครับน้องพราว” หนึ่งในกลุ่มร้องเรียกเธอไว้ ก่อนจะหายเข้าไปหลังบ้าน กุลีกุจอวิ่งไปหลังบ้านแบ่งชมพู่สาแหรกที่ผลสีแดงเข้มใส่ถุงใบใหญ่ พร้อมกับวิ่งกลับออกมา ยื่นถุงใส่ผลไม้ให้เธอ
“เอาม่าเหมี่ยวไปด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้คนให้อีกครั้งก่อนรับของฝากมาถือแล้วเปิดออกดูอย่างสนใจ
“ว่าง ๆ พาน้องมาอีกนะเว้ยคุณคีย์”
“เรื่องอะไร”
ภัทรวรินทร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอหันไปมองเขาก็เห็นว่าฐิรดลทำเพียงโบกมือลาพรรคพวกของเขาอย่างเอือม ๆ ยื่นมือมาเอาถุงผลไม้ไปถือเอง รอจนเธอขึ้นซ้อนรถเรียบร้อย ค่อยขับออกจากบ้านหลังนั้นไป
ฝนยังลงเม็ดเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะเลี้ยวออกมา มีรถคันใหญ่ตัดหน้ารถของฐิรดล จนเกือบเสียหลักทำรถล้ม พอตั้งรถใหม่ได้ เขาดึงมือเธอให้ไปกอดเอวของเขา
ภัทรวรินทร์ขืนเอาไว้ ด้วยความอาย
“กอดไว้ เดี๋ยวตกรถ”
เขาบอกแค่นั้น เธอเลยต้องกอดเอวเขาไว้หลวม ๆ เขาพารถออกมาจากตรงนั้นแล้วก็ขับไปอีกเป็นระยะทางพอสมควร จนมาจอดที่หน้าร้านของสมสมรในที่สุด